โลกาวินาศ เป็นคำที่สามารถเชื่อมโยงได้ถึงอีกหลายสิ่ง เช่น นิมิตร วิวรณ์ การประจักษ์ เป็นต้น

 

  ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านควบคู่กัน ในอีกนัยหนึ่งหากมีจตุรอาชาแห่งวันโลกาวินาศ ก็ควรมีบทวิวรณ์กล่าวถึงสิ่งที่ต่อกรกับเหล่าอาชา

 

  อินกองได้ยินเกี่ยวกับจตุรอาชาครั้งแรกผ่านแสงสุดท้าย ทว่าแสงสุดท้ายมิได้กล่าวถึงนิยามของโลกาวินาศ นางเพียงเปรยถึงสี่เภทภัยตัวตนผู้แสวงซึ่งหายนะ 

 

  อาจด้วยว่าตัวอินกองยังไม่คู่ควรกับเรื่องราว  ไม่เขาใจในความหมายที่แอบแฝง หรือแม้แต่แสงสุดท้ายก็ไม่สามารถคาดเดาจุดจบ

 

  ด้านหอสมุดของวังจอมมาร ระดับเกียรติยศกับผลงานของอินกองพอเพียงแค่การเข้าถึงข้อมูลในชั้นแรกของหอสมุด หากอินกองต้องการข้อมูลในชั้นสูงกว่านี้ เขารู้ตัวดีว่าต้องทำอย่างไร

 

  เมื่อเสร็จสิ้นการสนธนากับเฟลิซี เหล่าผู้รอดชีวิตก็ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ประจำค่ายกลเคลื่อนมิติบริเวณตัวเมืองทาก้า อุปกรณ์สื่อสารที่ติดตั้งบนเรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬมีคุณภาพที่ดี ระยะห่างของคณะสำรวจในขณะนี้มิเป็นปัญหา

 

  การส่งต่อข้อมูลย่อมกระจายต่อไปยังป้อมปราการอื่น จนถึงป้อมปราการลำดับที่สี่ในเวลาต่อมา

 

“เจ้าหญิงเฟลิซีปลอดภัย พวกเราจะเคลื่อนตัวกลับในเร็วพลัน”

 

  สิ่งสำคัญในการส่งผ่านข้อความคือ ใจความที่สั้นและรัดกุมมากที่สุด

 

  อินกองฝึกทักษะบางส่วนตามกิจวัตรประจำวันก่อนนอน แล้วเตรียมตัวเข้าสำรวจซากโบราณสถานในวันรุ่งขึ้น

 

&

 

  การสำรวจในวันนี้มีเพียงอินกอง เฟลิซี กับ เดเลียเท่านั้น

 

  เรียกว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างประมาทแต่ด้วยสภาพของซิลวานที่ยังไม่ได้สติ กับซีพิร่าที่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์ คารัคจึงอยู่เพื่อช่วยเฝ้าเวรยามให้กับทั้งสอง จริงอยู่ที่ยังมีลูกเรือผู้รอดชีวิตอีกสามตนแต่อินกองเชื่อในตัวคารัคมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหน้าที่ของลูกเรือยังเน้นหลักไปที่การจัดการเรือเหาะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสียมากกว่า

 

“เดเลีย มิใช่ว่าเธอควรพักผ่อนเหมือนกันหรือ?”

 

  เฟลิซีเสนอขึ้นระหว่างทั้งสามเดินทางเข้าซากอารยธรรม นั่นเพราะเดเลียผ่านการต่อสู้ถึงตายเช่นเดียวกับซีพิร่า ร่างกายนางอาจอยู่มีบาดแผลน้อยกว่าแต่เป็นเพียงการมองดูจากภายนอก

 

“การพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับข้าพระพุทธเจ้า คือการที่องค์รัชทายาททรงปลอดภัยเพคะ”

 

  คำพูดเยินยอที่หากพินิจพิเคราะห์ถี่ถ้วนล้วนเป็นความจริงอย่างหนึ่ง การที่เจ้านายปลอดภัยย่อมช่วยลดภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของทหารคุ้มกันส่วนตัว

 

“แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน”

 

  เฟลิซีขมวดคิ้วตอบอย่างห่วงใย เดเลียรับการโจมตีจากอาชาแห่งทุพภิกขภัยย่อมมีการบาดเจ็บ ยิ่งกว่านั้นบาดแผลภายในเรียกได้ว่าอันตรายกว่าบาดแผลภายนอก

 

  เดเลียตอบปฏิเสธอีกครั้ง

 

“ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอาการบาดเจ็บเพคะ เกราะจากท่านอมิตาภายอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงเพคะ”

 

  นี่เป็นสิ่งที่เดเลียผู้รับการโจมตีสังเกตเห็นเพียงตนเดียว ในขณะที่นางรับการโจมตีอย่างเลี่ยงมิได้ เกราะได้เรืองแสงขึ้นสร้างม่านพลังขึ้นปัดป้องทิศทางการโจมตี ถึงกระนั้นแรงกระแทกยังรุนแรงจนนางกระเด็น

 

“ดาบของซิลวานฮยองก็เหมือนกัน มองดูแล้วได้แต่ทึ่งในความสามารถ…”

“อย่างที่ทรงตรัสเพคะ… นี่เป็นสิ่งที่เทียบเท่าของวิเศษเพคะ”

 

  เมื่อหยิบเรื่องความสามารถของอมิตาภา อินกองกับเดเลียหันมาสบตากันก่อนทั่งคู่ยิ้มเล็กน้อย ถึงกระนั้นเฟลิซีก็ยังคงเป็นกังวล

 

“ถึงเครื่องป้องกันจะดีมากขนาดไหน ยังไงเธอก็ไม่ควรหวังพึ่งพามันมากเกินไป เข้าใจมั้ย?”

“เพคะ”

 

  เดเลียอาจตอบรับปาก แต่ทั้งอินกองกับเฟลิซีต่างรู้ดีว่าเมื่อถึงสถานการณ์จริง เดเลียไม่คิดลังเลใช้ตนเองรับการโจมตีแทน ความคิดของเหล่าองครักษ์ไม่ต่างกันออกไปเสียเท่าไร เช่นคารัค

 

“กลับมาเรื่องโบราณสถานก่อน อักขระพวกนั้น… ถูกพบบริเวณทางเข้า”

 

  เฟลิซีตบมือเพื่อดึงความสนใจกลับมาก่อนเริ่มเดินไปยังบริเวณที่ระบุ

 

  ครู่ต่อมาก็มีเสียงตบมือจากเฟลิซีอีกครั้ง มาพร้อมกับเสียงกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ

 

“ทันทีที่เห็น… เธออ่านมันได้ในทันทีที่เห็น! โกงที่สุด เธอนี่มันลวงโลกชัดๆ!”

 

  หูที่แดงจากการสูบฉีดของโลหิตอันเนื่องด้วยแรงโกรธ มองในมุมของเฟลิซีและนักโบราณคดีทั้งหลายความสามารถของอินกองคู่ควรเรียกว่ากลโกง นางใช้เวลาอยู่หลายคืนเพื่อเปรียบเทียบจารึก คาดเดาสมมติฐาน ผ่านขั้นตอนต่างต่างนานาเพื่อที่จะถอดความหมายอักขระแต่ละตัว ส่วนเจ้าชายฉัตร? เขามองครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจได้ทันที

 

  เฟลิซีบ่นอุบอิบถึงกรรมวิธีในการทำงานของนาง

 

“เคทลินนูนะ… จะบอกว่าผมสุดยอด”

 

  การจ้องมองราวกับจะกินเลือดเนื้อของเฟลิซีทำให้อินกองนึกถึงแววตาชื่นชมอันบริสุทธิ์ของเคทลิน คำพูดนี่ทำให้เฟลิซีหยุดชะงักขมวดคิ้วทันที เดเลียพยายามกลั้นหัวเราะออกมา

 

  เฟลิซีได้บอกข้อมูลเพิ่มให้กับเดเลียว่าอินกองได้รับพรวิเศษ นางรู้ดีว่าขอบเขตคือจุดไหนและมิได้กล่าวถึงในเรื่องของเหล่าจตุรอาชา

 

  อย่างไรก็ตามสีหน้าของเฟลิซีแสดงออกซึ่งหลากอารมณ์ อิจฉา โกรธ ผิดหวัง และอื่นอื่น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากยิ่ง

 

“นายท่าน นายท่าน”

 

  กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้น นางกระแอมเรียกก่อนตีหน้ายิ้มแย้มทำตาโตเมื่ออินกองหันมอง

 

“นายท่านสุดยอด”

 

  อินกองรู้สึกสั่นไหวอยู่บ้างแต่ถึงกระนั้น

 

“ไม่ใช่ มันเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป”

 

  พี่สาวสุดยอดมีบางอย่างมากกว่านี้ อาจยากจะหาผู้เทียบเคียง?

 

  กรีนวินด์ไม่พอใจกับมาตรฐานการให้คะแนนจากอินกอง นางทำแกมป่องอย่างผิดหวังสลายกายเนื้อ

 

“เรื่องโกงไว้ก่อนก็ได้ ว่าแต่มันเขียนไว้ว่าอะไรบ้าง?”

 

  ความอยากรู้ของเฟลิซีเอาชนะความโกรธในที่สุด อินกองหันไปอ่านอักขระอีกครั้ง ระดับทักษะความเข้าใจอักขระโบราณของอินกองยังน้อยกว่าอักขระดวอฟทำให้เขาต้องใช้เวลามากกว่า

 

‘เอ่อนี่มัน คล้ายๆโรงไฟฟ้า?’

 

  หลังจากใช้พลังแห่งอาณัตติเข้าช่วย อินกองก็สามารถหาสิ่งมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้

 

  จากความเข้าใจของอินกอง โบราณสถานแห่งนี้เทียบได้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เหตุที่ชั้นที่ลึกลงไปรับรู้ถึงพลังเวทได้มากขึ้นเพราะมีอุปกรณ์ผลิตแน่นหนาขึ้น

 

  อินกองสรุปใจความให้เฟลิซี

 

“นี่เหมือนจะเป็นสถานที่สร้างพลังเวท แล้วก็… ”

“แล้วก็?”

“เหมือนจะเป็นซากอารยธรรมของชนเผ่าสาบสูญ”

 

  สำหรับอินกองเขาสามารถรับรู้จากทักษะจึงมิได้สนใจเท่าไร ผิดกับเฟลิซีที่ยิ้มออกมาแก้มแทบปริ

 

“องค์เอเรบอสสสสสส มีจริงๆด้วย ของจริงเลย ชนเผ่าพื้นเมืองสมัยโบราณกาลสามารถสร้างสถานที่แบบนี้ สร้างด้วยความสามารถในยุคโบราณก่อนจะมีการจดบันทึกประวัติศาสตร์เสียอีก พวกเขาช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ชนเผ่าโบราณมีความรู้ที่ก้าวนำยุคสมัยของพวกเราไปมากโข”

 

  ปราสาทธันเดอร์ดูมเป็นหนึ่งซากโบราณสถาน แต่สถานที่แห่งนั้นก็รวมอยู่ในการจดบันทึกประวัติศาษตร์เผ่าเอลฟ์อาวุโส เทียบไม่ได้เลยกับซากอารยธรรมที่เก่าแก่และดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าไปนั้น

 

  เฟลิซีดึงมืออินกองรีบวิ่งเข้าไปในโรงผลิตพลังเวททันที นางให้เขาช่วยอ่านแปลอักขระให้ในทุกครั้งที่พบอักขระใหม่และทำการจดบันทึก เสมือนว่ากำลังสร้างพจนานุกรมสำหรับถอดภาษาชนพื้นเมือง

 

  เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับเฟลิซีจนพวกเขามาถึงชั้นใต้ดินที่ห้า ชั้นที่ลึกมากที่สุด

 

  ห้องโถงกว้างขวางเช่นเดียวกับชั้นที่สามแต่อัดแน่นไปด้วยพลังเวท แม้บางส่วนเสียหายจากร่องรอยการต่อสู้แต่อักขระเวทยังคงเรืองแสงเจิดจรัสดั่งวงจรขดลวดไฟฟ้าสลักไว้ในทุกกระเบียดนิ้ว ลึกเข้าไปจนท้ายห้องมีอักขระมากองรวมกันตั้งอยู่ด้วยตัวด้วยลักษณะคล้ายโต๊ะหมู่บูชา กลางโต๊ะอักขระนี้มีพลังเวทจับรวมกันเป็นก้อนลอยอยู่
เหมือนโรงไฟฟ้าที่ยังทำงานได้ ทุพภิกขภัยกินไปจนไฟดับก็จริง แต่หม้อแปลงยังทำงานอยู่ ผลิตไฟจ่ายเพิ่มได้

 

“ผลึกเวทมนตร์… ”

 

  เฟลิซีกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม สิ่งนี้ทำให้อินกองเข้าใจจุดประสงค์ของอาชาแห่งทุพภิกขภัย

 

  ร่างของจีราดที่อยู่ในสภาพยับเยินมีพลังแห่งทุพภิกขภัยประคองให้คงรูปร่างไว้ ครั้งแรกเขาก็ปรากฏตัวเพื่อต้องการผลึกจันทรามากกว่าเคทลินกับคริสต์ 

 

  เมื่อรวมกับผลึกเวทมนตร์ตรงหน้ายิ่งชัดเจน ทุพภิกขภัยต้องการดูดกลืนพลังเวทจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูกายภาพของร่างสถิต

 

  ในอดีตที่จีราดอยู่ในสภาพร่างที่สมบูรณ์พร้อม เขาเก่งกาจจนสามารถเทียบเท่าและต่อกรได้กับหนึ่งในห้าแม่ทัพองครักษ์หลวง อินกองนึกภาพทุพภิกขภัยในร่างของจีราดที่มีพลังเต็มเปี่ยมแล้วทำได้แต่กลืนน้ำลาย

 

“สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อผลึตผลึกเวทมนตร์สินะ?”

 

  เฟลิซีกล่าวพลางพยายามตีความอักขระที่ทำงานเช่นวงจรไฟฟ้า

 

‘ถ้านี่เป็นต้นไม้เหมือนผลึกจันทราคงง่าย’

 

  การจับตัวควบแน่นของพลังเวทจนสัมผัสได้บ่งบอกถึงปริมาตรที่หนาแน่นของอนุภาค

 

‘อาจต้องลองใช้พลังอาณัติเข้ายึดครอง’

 

  ถึงกระนั้นอินกองก็ยังลังเล พลังแห่งทุพภิกขภัยใช้เพื่อดูดกลืนย่อมไม่เป็นปัญหา ทว่าพลังแห่งอาณัติใช้ในการเข้าควบคุมปกครอง มีได้เป็นการรวบรวมนำมาเป็นของตน อินกองอาจสามารถยึดครองผลึกเวทมนตร์นี้แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าร่างกายจะทนทานพอที่ซึมซับพลังเวท

 

‘นายท่านอย่าได้เป็นกังวล ผลึกเวทมนตร์มีโครงสร้างที่ง่ายแก่การดูดกลืน และแก่นมังกรในร่างของนายท่านก็สามารถช่วยในการผสานพลังเวท’

 

  เสียงกรีนวินด์ดังขึ้นตอบข้อสงสัยของอินกอง

 

‘ง่ายแก่การดูดกลืน?’

‘ถูกต้องแล้ว บางทีอาจจะเป็นความรู้ของพยานอันเคลที่ช่วยให้ข้าเข้าใจ บุคคลทั่วไปอาจต้องแบ่งกันเพื่อเพิ่มภาชนะในการดูดกลืน แต่นายท่านมีแก่นมังกรจึงสามารถรับพลังเวททั้งหมดไว้ได้ นี่ยังเป็นโอกาสดีให้นายท่านกระตุ้นแก่นมังกรของนายท่านให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น’

 

  คำอธิบายของกรีนวินด์ฟังดูมีน้ำหนัก เป็นปกติที่โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าเพื่อแจกจ่ายออกให้ผู้คนใช้

 

‘กระตุ้นให้แก่นมังกรสมบูรณ์ยิ่งขึ้น?’

‘นายท่านคิดว่าแก่นมังกรทำได้แค่เท่าที่แสดงผลในตัวนายท่านเองหรอ? ลมปราณของนายท่านก็แค่หยิบมือ พลังเวทก็ไม่ได้มากไปกว่านั้นเท่าไร แก่นมังกรในตัวนายท่านเป็นของพยานอันเคลเชียวนะ คิดแบบนี้นายท่านกำลังทำให้แก่นมังกรกรีดร้องอยู่นะ!’
ชิชะ เป็นแค่ฉัตร คิดเทียบตนเท่าพญามังกร *กีวี่ส่ายหน้าอย่างรุนแรง*

 

  อินกองตาลุกวาวในทันที ไอพลังที่แผ่ออกบ่งบอกว่าผลึกเวทมนตร์มีพลังเวทเป็นหลายเท่าตัวของพลังเวททั้งหมดในตัวเขา

 

  อย่างที่กรีนวินด์บอก หากอินกองสามารถผสานพลังเวทนี้เข้ากับตัวเองได้จะยิ่งทรงพลังอีกหลายเท่า อินกองคิดว่าตนเองพิเศษจากการมีแก่นมังกรกับแก่นจันทราจนลืมนึกถึงความเป็นจริง ท้ายที่สุดร่างกายในตอนนี้ก็เป็นเพียงคนธรรพ์ที่อาจมีพลังเหนือไปกว่าคนธรรพ์ทั่วไป

 

‘จริงด้วย’

 

  เมื่อได้ข้อสรุปอินกองก็ไม่รีรอ

 

“เฟลิซีนูนะช่วยถอยออกไปหน่อยครับ”

 

  อินกองขยับตัวมาอยู่ตรงหน้าผลึกเวทมนตร์โดยไม่สนใจท่าทีของเฟลิซี แล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกับตัวผลึก

 

“ฉัตร?”

 

  เฟลิซีอุทานด้วยความตกใจกับแสงสว่างวาบออกมา ในขณะเดียวกันแก่นมังกรในตัวของอินกองกำลังดูดซับพลังเวทอย่างรวดเร็วดุจนักเดินทางในทะเลทรายพบกับแหล่งน้ำ

 

  แขนอินกองสั่นระริกก่อนร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน พลังเวทถูกส่งไปทั่วร่างส่งผลให้หลอดเลือดทั้งหมดเรืองแสงเช่นเดียวกับอักขระโดยรอบ อินกองพยายามกัดฟันเท่าที่ทำได้จนกรีดร้องออกมาในท้ายที่สุด

 

[เพิ่มระดับขั้น แก่นมังกร]
[เพิ่มระดับขั้น แก่นมังกร]
[เพิ่มระดับขั้น แก่นมังกร]

[แก่นมังกรได้รับการพัฒนา]

 

  มือของอินกองสะบัดออกจากผลึกเวทมนตร์ราวกับมีบางอย่างดีดเขาออก อินกองหายใจอย่างเหนื่อยหอบก่อนที่เขาเริ่มรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

 

  แก่นมังกรได้รับการพัฒนา… เรียกว่าแก่นมังกรเติบโตจะเหมาะสมกว่า กรีนวินด์กล่าวได้ถูกต้อง ที่ผ่านมาแก่นมังกรมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์ ลมปราณของอินกองอาจจะเท่าเดิมแต่พลังเวทของเขาเพิ่มมากขึ้นได้ราวเจ็ดเท่า
ในเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ นิยายส่วนใหญ่มักถือว่าเลข 7 เป็นเรื่องดี

  อินกองกำมือพลางรวบรวมพลังเวทไปที่กำปั้น พลังเวทสีเขียวเรืองขึ้นดั่งเปลวเพลิง

 

‘เดี๋ยวนะ ถ้าแค่รวมพลังเวทยังขนาดนี้…’

 

  อินกองใช้เวทมนตร์ศรเพลิง สิ่งที่ปรากฏกลับมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะนับเป็น ‘ศร’ เรียกว่าเป็นหอกยิงจะเหมาะสมกว่า

 

“ไฟร์สเปียร์? ไม่สิไฟร์บาลิสต้า?”

 

  เฟลิซีเห็นเวทมนตร์ที่อินกองใช้แล้วถามเพิ่มเติม

 

“ไม่ใช่ครับนี่คือ ไฟร์แอร์โรว์”

 

  ขั้นตอนการเรียกใช้เวทมนตร์เหมือนเดิม ที่ต่างไปคือปริมาณพลังเวทที่ส่งผ่าน แน่นอนว่านี่เป็นการแสดงออกเพื่อทดสอบและโอ้อวดไปในตัว ในหลักปฏิบัติจริงการเรียกใช้เวทมนตร์ที่ลักษณะตรงตามการร่ายดังเช่นหอกเพลิงที่เฟลิซีกล่าวย่อมมีประโยชน์และแสดงอานุภาพได้มากกว่า การถ่ายเทพลังเวทมนตร์เข้าไปในเวทมนตร์ศรเพลิงเกินความจำเป็นเป็นการกระทำที่เรียกว่าสิ้นเปลือง
เอาลวดเส้นเล็กๆมามัดรวมกันให้เป็นเส้นใหญ่แล้วค่อยใช้ ย่อมยุ่งยากและไม่ได้ประโยชน์เท่าเอาลวดเส้นใหญ่มาใช้แต่แรก

 

  สิ่งนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้โดยทั่วไปเช่นกัน

 

  อินกองสลายเวทมนตร์ก่อนหันไปอธิบายกับเฟลิซี

 

“ผมดูดกลืนผลังเวทจากผลึกทำให้แก่นมังกรในตัวเติบโตขึ้น ก็เลยทำให้พลังเวทของผมเพิ่มมากขึ้นไปด้วย เป็นยังไงครับ? เจ๋งไปเลยใช่มั้ย?”

 

  เฟลิซีจะหลุด ‘สุดยอด’ ออกมาหรือไม่?

 

  เฟลิซีอ้าปากแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

“ฉัตรนี่มันจอมลวงโลกจริงๆ”

 

&

 

  อินกองใช้พลังเวทที่เหลือในผลึกเวทมนตร์ช่วยฟื้นฟูซิลวาน อาการหลักของซิลวานเป็นผลจากที่ราชันแห่งภูติปลดปล่อยพลังเวทออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง การเติมพลังเวทเข้าไปในส่วนที่ถูกใช้ย่อมเป็นวิธีการรักษาที่ตรงจุดมากที่สุด

 

  บางส่วนของโบราณสถานเสียหายจึงทำให้อักขระทำงานล่าช้าลง ถึงกระนั้นกลไกการทำงานยังเป็นไปได้โดยไม่ติดขัด สิ่งที่สำคัญก็ได้รับการบันทึกไว้ทั้งหมด
ยักยอกทรัพย์เสร็จสิ้นจะตรงกว่า (ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻

 

  เมื่อเสร็จสิ้นการสำรวจคณะสำรวจก็เดินทางเข้าครามส์เพิ่อส่งรายงานไปยังวังจอมมาร

 

&

 

  ทุพภิกขภัยพ่ายแพ้

 

  การที่ทุพภิกขภัยพยายามกลืนกินอาชาของตนอาจเป็นข้อผิดพลาด ผลการศึกจึงเป็นความเสียหายใหญ่นัก กำลังสำคัญที่เรียกว่าทุพภิกขภัยได้ถูกตัดออกไป

 

  อาสัญรับรู้ได้ว่าอาชาแห่งทุพภิกขภัยดับสูญและเขายังรับรู้ได้ว่าเป็นการกระทำของอาชาแห่งอาณัติ

 

  การทรยศของอาณัติเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน นางเลือกที่จะเป็นศัตรูกับพวกเขา

 

  อาสัญรู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง ความรู้สึกที่หายไปนานจนเขาแทบจะลืมมันไป

 

  แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกของตัวอาสัญ อาชาแห่งอาสัญมิได้รู้สึกอะไร เขาคาดเดาได้ตั้งแต่จุดยุติสงครามเมื่อครั้งหลายพันปีก่อน ในกาลนั้นอาชาแห่งอาสัญเห็นจุดจบของอาชาแห่งอาณัติกับตาและยังเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอาณัติ เขารับรู้ได้ในทันทีว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่สามารถถืออาณัติเป็นฝ่ายเดียวกัน

 

  อาชาแห่งอาสัญถอนหายใจออกมา นั่นเพราะลางร้ายที่เขาคิดไว้เมื่อหลายพันปีกลายเป็นความจริง

 

  อย่างไรเสียการที่อาณัติแตกสลาย ณ สงครามเมื่อครั้งนั้นบ่งบอกว่า อาชาแห่งอาณัติในปัจจุบันไม่อาจสมบูรณ์ได้ อาณัติที่ถูกตัดขาดจากภพนี้ไปหลายพันปีย่อมไม่สามารถส่งมอบพลังหรือแม้กระทั่งสื่อสารได้เต็มที่

 

  อาชาแห่งอาสัญถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองไปยังทิศใต้

 

  ยังมีอุปสรรคอื่นที่อาจขัดขวางแผนการของพวกเขา

 

  เจ้าชายลำดับที่สอง แซเฟียร์ แร็กนารอส ทายาทจอมมารที่ทรงพลังที่สุด ซ้ำยังถือกำเนิดโดยมีสายเลือดเผ่ามังกรแท้

 

  ผู้กล้าล็อคค์ในฝั่งแดนมนุษย์อาจไม่เก่งกาจเท่าแซเฟียร์ แต่ความคิดและการปรับตัวสามารถสร้างสิ่งเหนือความคาดหมาย นอกจากนี้ล็อคค์ยังได้รับ‘วิญญาณแห่งมังกร’พร้อมกับอาวุธที่ถูกตระเตรียมโดยพญามังกรเทพพิทักษ์ควิเอียน

 

  การสูญเสียทุพภิกขภัยอาจเป็นเรื่องใหญ่แต่แผนการยังสามารถดำเนินต่อได้ ตราบเท่าที่สิ่ง‘ถูกผนึก’ไม่เข้าแทรกแทรง

 

  อาชาแห่งอาสัญเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมาเผยเงาบางสิ่งที่มีสี่สีผสมกัน เงานี้เกิดขึ้นในดวงตาของอาชาแห่งอาสัญ

 

  บางสิ่งที่เร้นกายเพื่อรอการกลับมาอีกครั้งตามคำทำนาย

 

 

จบบทที่ 26 – อาณัติ เริ่มบทที่ 27 – ราชินี