อินกองกลับขึ้นมาจากซากโบราณสถานเข้าสู่บริเวณที่เรือเหาะจอด บรรยากาศวังเวงดังที่เขาคาดคิด ละอองขี้เถ้าคละคลุ้ง คงเหลือชิ้นส่วนร่างกายที่แห้งกรอบอยู่ประปราย
ซีพิร่าพยายามทำตนให้ดูสงบ แต่สายตาของนางพยายามสอดส่องหาผู้รอดชีวิตตลอดเวลา
อินกองพอคาดเดาความเจ็บปวดที่ถูกเก็บกั้นเอาไว้ได้ เขาแสร้างเป็นไม่เห็นการกระทำและนิ่งเงียบ เนื่องจากไม่มีคำพูดปลอบโยนใดสามารถใช้กับสถานการณ์เช่นนี้ เขายังคิดว่าโชคดีที่เฟลิซีกับซิลวานหมดสติทำให้ทั้งสองไม่ต้องทนเห็นภาพที่เสียบแทงจิตใจ
อินกองเคยสัญจรด้วยเรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬอยู่บ้างจึงรับรู้อย่างคร่าวว่าอะไรอยู่ตรงไหน ระหว่างที่เขากำลังนำเฟลิซีกับซิลวานไปยังห้องหัวเรือ อินกองเหลือบมองแผนที่ย่อของเขาอย่างเป็นนิสัยและพบสัญญาณ
“มีคนรอดชีวิต!”
ซีพิร่ารีบเร่งในทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน อินกองรีบมุ่งไปดูสภาพของเหล่าผู้รอดชีวิตโดยไม่รีรอ
กลิ่นคละคลุ้งโชยออกทันทีที่ประตูห้องพักลูกเรือเปิดออก เดเลียตามมามองเข้าไปในห้องแล้วกระพริบตาอย่างฉงน
“กลิ่นเหล้า?”
ลูกเรือสามชีวิตในสภาพเมามายไร้สตินอนนิ่งอยู่ที่พื้นห้อง ทั้งสามต่างกอดขวดสุราไว้พร้อมส่งกลิ่นน้ำเมา
เมื่อซีพิร่าตามมาเห็นเหตุการณ์ นางก็ถอนหายใจออกมาก่อนกล่าวอธิบายอินกองทั้งน้ำตา
“วันนี้เป็นวันหยุดของ 3 คนนี้”
สุราจำนวนมากไม่ต่างจากยาพิษ นั่นทำให้ลูกเรือทั้งสามแสดงสัมผัสพลังชีวิตอันเบาบางออกมา โชคดีข้อนี้ทำให้ทุพภิกขภัยมองข้ามพวกเขา
หากภารกิจสำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมาย ลูกเรือทั้งสามอาจถูกลงโทษทางวินัยเล็กน้อยแต่ในสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น การที่มีผู้รอดชีวิตทำให้ซีพิร่าไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้
“จากการที่มีลูกเรือเพิ่มขึ้นอีก 3 คน ข้าพระพุทธเจ้าคาดว่าเรือเหาะจะสามารถใช้งานได้อย่างปกติเพคะ”
ซีพิร่าบอกกล่าวกับอินกองหลังจากเช็ดน้ำตาของนาง การมีผู้รอดชีวิย่อมทำให้เหล่าสมาชิกโล่งใจขึ้น อินกองเดินเข้าห้องรับรอง
อินกองวางเฟลิซีกับซิลวานนอนพิงไหล่ซึ่งกันและกัน ภาพที่ทั้งสองหลับอย่างสงบสุขช่วยบรรเทาความหดหู่ในจิตใจลง
‘คารัค… น่าจะกำลังกังวลแน่ๆ’
อินกองรีบรุดหน้ามายังโบราณสถานออกมาโดยมิได้บอกสาเหตุทั้งหมด
ระยะทางระหว่างตำแหน่งปัจจุบันกับป้อมปราการลำดับสี่ยังเป็นระยะที่สามารถใช้อุปกรณ์สื่อสารผ่านเวทมนตร์ได้ อินกองรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่เขาตัดสินใจว่าจะส่งข้อความในวันรุ่งขึ้น
‘แล้วก็ เรายังใช้ รับสั่ง ได้อยู่’
สาเหตุที่อินกองมิได้เรียกตัวแวนเดลมาช่วยในการต่อสู่กับทุพภิกขภัยคือระยะทาง
อินกองไม่มั่นใจว่าระยะทางที่แวนเดลอยู่ห่างออกไปจะสามารถใช้ทักษะเรียกได้อย่างสำเร็จ เขาหวังเพียงว่าเมื่อทักษะเพิ่มระดับมากขึ้น ระยะทางที่สามารถเรียกตัวองครักษ์มหาดเล็กได้จะเพิ่มขึ้น
ยิ่งในยามนี้ที่เฟลิซีกับซิลวานต่างเป็นส่วนหนึ่งของทหารมหาดเล็ก อินกองยิ่งต้องการเก็บทักษะนี้ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
อินกองจัดระเบียบความคิดก่อนหันไปหาดาฟเน่ สภาพของนางดูอิดโรยจากเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งวัน ทว่าอินกองไม่มีทางเลือกอื่นหากเขาต้องการข็อมูลรายละเอียด หลังจากปล่อยเฟลิซีกับซิลวานให้อยู่ในการดูแลของซีพิร่าอินกองก็ย้ายไปอีกห้องเพิ่มสอบถามดาฟเน่
กลุ่มสำรวจทำการจดบันทึกอักขระโบราณเพื่อตีความก่อนที่จะถูกทุพภิกขภัยเข้าจู่โจม หลังจากที่รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น อินกองมั่นใจได้ว่าเป้าหมายของทุพภิกขภัยคือซากโบราณสถานดังที่เขาคาดคิด
อินกองขอบคุณดาฟเน่แล้วทั้งสองก็แยกย้ายพักผ่อน อินกองยังคงสงสัยเนื้อหาอักขระที่กล่าวถึง ทว่าทำตามความอยากรู้และปล่อยสมาชิกที่เหนื่อยล้าไว้ลำพังบนเรือเหาะไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่า
อินกองเอนตัวลงนอน จริงอยู่ที่การเพิ่มระดับเลเวลช่วยให้ร่างกายของอินกองคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่จิตประสาทของเขาตื่นตัวจากการต่อสู้
“คุ้มกันอาณาเขตบริเวณด้วย”
“ได้เลยนายท่าน ราตรีสวัสดิ์นายท่าน”
กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้นจุมพิตอินกองกลางหน้าผากก่อนสลายตัวออก
อินกองหลับตาลงปล่อยให้จิตประสาทเข้าสู่ห้วงนิทรา
&
“ได้เวลาตื่นแล้วนายท่าน”
เสียงปลุกจากกรีนวินด์ดังขึ้น แตกต่างไปจากเสียงของเจ้าออร์คเช่นทุกวัน อินกองลืมตาขึ้นมองเห็นกรีนวินด์เตรียมแก้วน้ำเอาไว้พร้อม
“ข้าดูเจ้าออร์คเตรียมให้นายท่านทุกเช้า นี่คือน้ำดื่ม แล้วก็มีภาชนะสำหรับล้างหน้าทางนี้ด้วย”
อ่างใส่น้ำเย็นช่วยให้อินกองตื่นจากภวังค์อย่างสดชื่น
“เป็นอย่างไรบ้างนายท่าน? ไม่ต้องง้อเจ้าออร์คก็ได้ ถูกมั้ย?”
“ใช่เลย”
คำพูดจากอินกองทำให้กรีนวินด์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ใบหน้าของนางทำให้อินกองละคำพูดบางส่วนเอาไว้ นั่นเพราะคารัคจะเตรียมผ้าเอาไว้ให้เขาเช็ดหน้าด้วยหลังจากล้างหน้าเสร็จ
จากนั้นอินกองก็เดินไปยังห้องหัวเรือ แผนที่ย่อบ่งบอกเขาว่าเวลาได้เลยมาย่างสาย
“กราบเชิญใต้ฝ่าพระบาททางนี้เพคะ พระอาการของพระองค์ท่านทั้งสองทรงตัวแล้วเพคะ”
เดเลียนำทางอินกองไปยังเฟลิซีกับซิลวาน ระหว่างทางอินกองเห็นซีพิร่าหลับอยู่ในท่าทางนั่งเฝ้า เมื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าเดเลียมีขอบตาดำคล้ำบ่งบอกว่ามิได้หลับอย่างพอเพียง ทั้งสองสลับกันเฝ้าเวรยาม อินกองจึงตัดสินใจเรียกใช้ตัวช่วยที่เหลืออยู่
“แก เรียกข้ามาเพราะเรื่องแค่นี้?”
“ใช่แล้ว เพราะนายเป็นสุดยอดพ่อบ้านยังไงละ”
อินกองตอบเจ้าออร์คที่มีสีหน้างุนงง
“เอ่อ ข้าก็นึกว่ามีเหตุด่วนร้ายแรง”
“นี่นายอยากย้ายตำแหน่งงานหรอ?”
“ไม่มีอะไร ข้าจะตั้งใจทำงาน”
คารัคบ่นอย่างทีเล่นทีจริงเรียกเสียงหัวเราะจากอินกอง เหตุผลอีกอย่างก็คืออินกองต้องการทดสอบระยะทางของทักษะรับสั่งว่าเพิ่มขึ้นกรือไม่
“ทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
“วุ่นวายเลยละ แกบอกข้าแค่ว่าองค์หญิงอยู่ในอันตราย เจ้าหญิงสุดยอดก็เพิ่งจะมาซักถาม แล้วแกก็เรียกตัวข้ามาระหว่างที่ข้ากำลังตอบนาง”
เจ้าออร์คถูกอัญเชิญตัวหายไปในพริบตาที่กำลังอยู่ต่อหน้าเคทลิน มิหนำซ้ำยังเป็นระหว่างการถามไถ่ ย่อมทำให้นางรู้สึกกระวนกระวาย
‘เคทลินต้องไม่สบายใจแน่’
ภาพเคทลินกระทืบเท้าผุดขึ้นมาในหัวอินกอง
“ไว้ก่อนละกัน เอาเป็นว่าผมอยากให้นายช่วยดูแลเรื่องงานสัพเพเหระ ทั้งเดเลีย กับซีพิร่า ต่างอ่อนล้าเต็มที่”
“เข้าใจแล้ว เชื่อมือได้เลย”
คารัคทุบอกอย่างมั่นใจก่อนเดินทำหน้าที่ ทำให้ความรู้สึกของดาฟเน่กับซีพิร่าที่มีต่อมันเพิ่มพูนขึ้น อินกองพอจะเข้าใจได้ เขาเพียงโล่งอกที่อย่างมีน้อยนาตาช่าไม่หลงเสน่ห์เจ้าออร์ค
เวลาล่วงลายมาจนเย็น เฟลิซีตื่นขึ้นแต่ซิลวานยังคงไม่ได้สติ นางล้างหน้าและรับประทานอาหารโดยมีเดเลียคอยช่วย ก่อนสวมกอดอินกองทั้งน้ำตาอีกครั้ง
ท่าทีของเฟลิซีที่ช่วยให้บรรดาองครักษ์ออกจากห้องไปก่อน ประจวบเหมาะกบัที่อินกองมีเรื่องที่ต้องการบอกเพียงเฟลิซีเท่านั้น อินกองอุ้มเฟลิซีกลับขึ้นเตียงก่อนจะหยิบเก้าอี้มานั่งตรงหน้านาง
ครู่หนึ่งเฟลิซีหยิบพัดประจำตัวออกมากางปกปิดใบหน้า
“น่าอายสุดๆ”
พัดไม่สามารถปิดบังเนื้อหนังสีแดงระเรื้อทั้งหมดของเฟลิซีได้ นางร้องไห้ตลอดทั้งเมื่อวานและในวันนี้ อินกองหัวเราะออกมาให้กับท่าทีอันน่ารักของนาง
“ไม่ใช่ว่าช้าไปแล้วหรือครับ?”
“ยังไงมันก็น่าอายอยู่ดี”
เฟลิซีบ่นอุบอิบอีกหลายครั้ง ก่อนจะเตรียมใจลุกขึ้นนั่งประชันหน้ากับอินกอง
“เอาละ ฉันพร้อมเลย เริ่มพูดได้เลย”
“ผมมีเรื่องจะสารภาพครับนูนา”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวนะ หยุดไว้ตรงนั้นเลยยย”
เฟลิซีใช้มือทั้งสองผลักไหล่อินกองออกไปพลางก้มหน้า
เฟลิซีก็สูดหายใจเข้าหลายครั้ง แล้วสบตาอินกอง
“เอาละ พร้อมแล้ว”
“ผมมีเรื่องจะสารภาพครับนูนา”
อินกองกับเฟลิซีหัวเราะออกมาพร้อมกันทันที
“เธอพร้อมจะเล่าให้ฟังแล้วหรือ?”
“ครับ ผมคิดว่า… สามารถบอกเรื่องนี้กับนูนิมได้”
เป็นความลับที่อินกองมิได้บอกกับใครแม้กระทั้งคารัค ความลับที่เกี่ยวข้องกับอินกองโดยตรง แต่ในตอนนี้อินกองคิดว่าเขาสามารถเชื่อเฟลิซีได้อย่างสนิทใจ
อินกองจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงของเฟลิซี
“ผมคืออาชาแห่งอาณัติครับ เฟลิซีนูนา”
ประโยคแสนสั้นที่มีแต่ใจความสำคัญ
อินกองกลืนน้ำลายระหว่างที่เฟลิซีหรี่ตาใช้ความคิด
“ฉัตร”
“ครับ?”
“มันคืออะไรละนั่น?”
บรรยากาศตึงเครียดหายไปอีกครั้ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอินกอง
“ผมจะอธิบายให้ฟังครับ”
&
“เอ่อ… นั่น… สรุปก็คือมีสี่ตัวตนนามธรรมที่พยายามทำลายโลก อาณัติ รณการ อาสัญ ทุพภิกขภัย แล้วละตนคัดเลือกตัวแทนที่เรียกว่า อาชา เรียกรวมกันเป็นจตุรอาชาโลกาวินาศ ส่วนเธอ… เป็นตัวแทนที่อาณัติเลือก?”
อินกองพยักหน้ายืนยันคำสรุปของเฟลิซี
“ในบรรดาตัวตนทั้งสี่ อาณัติทรยศที่เหลือเพราะอยากปกป้องโลกแทนที่จะทำลาย อาณัติเลยเลือกคนอย่างฉัตรเป็นอาชา แต่พวกที่เหลือยังคงพยายามทำลายโลกอยู่ จีราดเป็นตัวแทนของทุพภิกขภัย พวกศัตรูที่มีพลังสีม่วงนั้นเป็นตัวแทนของอาสัญ แล้วก็พวกบาบาเรี่ยนเป็นตัวแทนของรณการ?”
“ใช่แล้วครับ”
เฟลิซีสรุปทำความเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วแล้วถอนหายใจ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินสมมติฐานอะไรแบบนี้… แต่ฉันเชื่อ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันลงตัวไปหมด”
คำอธิบายของฉัตรช่วยทำให้ข้อข้องใจหลายอย่างของเฟลิซีหมดไป
“ฉัตรเธอรู้ตัวว่าเป็นอาชาของอาณัติตั้งแต่เมื่อไร?”
“เมื่อไม่นานมานี้ครับ ระหว่างภารกิจปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด”
เฟลิซีหลับตาลงใช้ความคิด ทุกอย่างลงตัวยิ่งกว่าเดิมนั่นเพราะเจ้าชายกำมะลอเริ่มแสดงความสามารถออกมาหลังจากภารกิจปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด
“แต่ว่า… ฉันนึกภาพไม่ออกว่าการเป็นอาชามันคืออะไร จะพูดก็เถอะ ตัวตนนามธรรมอย่างอาณัติ เรียกได้ว่าเทียบเคียงพระเจ้าถูกไหม? เธอมีนิมิตหรือได้คำพยากรทำนายอะไรมั้ย?”
“มันไม่ใช่แบบนั้นครับ จู่ๆผมก็… รู้ตัวเอาเอง แล้วผมก็เป็นเพียงแค่ตัวแทน ไม่ใช่ตัวอาณัติจริงๆ นอกจากนี้เรื่องของพวกที่เหลือผมก็เพิ่งจะรู้ไม่นาน ผมต้องหาข้อมูลทั้งหมดเอาเองคนเดียว”
“ก็ใช่ แต่นี่ก็คลี่คลายปริศนาออกได้หลายเรื่อง ฉันแอบตงิดใจมาซักพักแล้ว เพราะถึงเธอจะเก่งอัจฉริยะขนาดไหน บางเรื่องมันก็เกินไป เอาเถอะยังไงก็เรียกได้ว่าเธอพิเศษอยู่ดี”
การที่ฉัตรเก่งกาจขึ้นในเวลาอันรวดเร็วเป็นผลเนื่องมาจากพลังแห่งอาณัติ
‘จริงๆแล้วก็ยังมีเรื่อง พลังพระเอก อีกอัน’
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขายังไม่สามารถบอกได้
อินกองมองเฟลิซีก่อนกล่าวต่อ
“นูนิมก็พิเศษเหมือนกันครับ ผมถึงกล้าบอกเรื่องนี้”
ฟังดูประจบประแจงแต่เป็นสิ่งที่อินกองคิดจริงทำให้เฟลิซีเขินอายอีกครั้ง
“ฉันขอบคุณมาก โดยเฉพาะที่เธอบอกเรื่องนี้กับฉันเป็นคนแรก”
เคทลินกับคริสต์ยังไม่รู้ถึงความลับอันนี้ เฟลิซีแข่งขันกับทั้งสองด้วยวิธีที่ค่อนข้างผิดแปลกออกไป
“เอาละฉัตร เธอบอกฉันแล้วเพราะงั้นฉันจะบอกอะไรคืน”
เฟลิซีเก็บพัดของนางแล้วใช้มันตบมือ
“ในตอนนี้ เรื่องนี้ให้เป็นความลับไว้ก่อน”
ไม่หลงเหลืออาการยิ้มแย้มจากเฟลิซีอีกต่อไป คงไว้เพียงสีหน้าจริงจัง
“ถ้าจะรายงานเรื่องพวกที่โจมตีพวกเราว่าเป็นตัวแทนอาชาอะไรนั่นก็ตามสบาย บางทีทางวังจอมมารอาจจะรู้อยู่แต่แรกแล้ว ที่วังมีข้อมูลที่ถูกเก็บไว้จากการรวบรวมหลายยุคสมัย”
เฟลิซีนับว่าเป็นนักโบราณคดีที่เชี่ยวชาญแต่นางก็อายุเพียงยี่สิบปี ไม่อาจเทียบได้กับข้อมูลที่จากหลายช่วงอายุ ข้อมูลที่วังจอมมารถูกจัดเก็บและแบ่งสิทธิ์ในการเข้าถึงเอาไว้ผ่านกระทรวงเกียรติยศ ฉะนั้นข้อมูลเกี่ยวกับจตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลกอาจต้องการสิทธิ์ระดับสูงเพื่อเข้าถึง
ทำให้ไม่มีปัญหาในการรายงานว่าพวกเขาถูกโจมตีจากเหล่าผู้ติดตามของอาชา
“แต่พวกเราต้องเก็บเรื่องที่ว่าเธอเป็นตัวแทนของอาณัติเอาไว้”
เฟลิซีกุมมืออินกองเอาไว้อย่างแน่น
“ฉันเชื่อเธอนะฉัตร เชื่อว่าเธอแตกต่างจากพวกตัวแทนที่เหลือ แต่ทางวังจอมมารอาจไม่คิดแบบฉัน เธอเข้าใจใช่มั้ย?”
“ครับ”
อาชาแห่งอาสัญกับอาชาแห่งรณการแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับทางวังจอมมารออกมาอย่างชัดเจน มีความเป็นไปได้ที่ทางวังคิดรวมว่าอาชาแห่งอาณัติก็เช่นกัน
“อาจฟังดูไม่ดีต่อทางวังแต่สำหรับฉัน เธอสำคัญกว่าทางวังเยอะ”
เฟลิซีบอกอินกองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อินกองเบือนหน้าหนีด้วยความอาย
“อ่า สมแล้วที่เป็นฝาแฝดของซิลวานฮยอง”
เฟลิซีเปลี่ยนท่าที่พร้อมปล่อยมืออินกองทันทีที่นางได้ยินเขาเปรียบเปรยนางกับซิลวาน นางกางพัดออกปกปิดความเขินเช่นทุกครั้ง
“อ่า เอาเป็นว่า จากข้อมูลนี้สรุปได้ว่าทุพภิกขภัยต้องการบางสิ่งจากโบราณสถานแห่งนี้ นั่นหมายความว่าพวกเราควรจะสำรวจเพื่อระบุให้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถูกไหม?”
“ใช่ครับ ผมก็คิดว่าพวกเราควรจะกลับเข้าไปสำรวจอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
หากพวกเขาสามารถค้นพบสิ่งที่อาชาแห่งทุพภิกขภัยต้องการ ย่อมส่งผลให้เป็นฝ่ายได้เปรียบในการปะทะกับกองกำลังของเหล่าฑูตโลกาวินาศ
“แล้วก็ฉัตร มีอีกเรื่องที่ฉันยังสงสัย”
“เรื่องอะไรหรือครับ?”
“จตุรอาชาแห่ง โลกาวินาศ ใช่มั้ย? โลกาวินาศที่ว่า เธอพอจะรู้มั้ยว่ามันหมายถึงหายนะแบบไหน?”
คำถามที่ชวนครุ่นคิดถึงคำตอบทำให้อินกองยิ้มอย่างเจื่อนเจื่อน
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ”