ตอนที่ 94 แกงผัก
ตระกูลนายท่านหลี่แห่งเมืองต้าหยาง…จากสัญชาตญาณของเจียงซื่อ รู้สึกว่าตัวตนของศพหญิงสาวนั้นมีโอกาสสูงที่จะเป็นคนของตระกูลนี้
แล้วยังเกลี้ยกล่อมเณรน้อยอีก สุดท้ายก็ไม่ได้ถามข่าวสารที่เป็นประโยชน์มากนัก เจียงซื่อสั่งให้อาหมานไปเรียกเหล่าฉินมา
“คุณหนูมีคำสั่งอะไรขอรับ” เหล่าฉินจัดการเรียบร้อยแล้ว ตรงหางตามีรอยลึกๆ เพราะความกลัดกลุ้มหลายปีนี้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ว่าจิตใจของเขานั้นกล้าหาญองอาจกว่าชายหนุ่มในวันยี่สิบปีเสียอีก ให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยราวกับภูเขา
เจียงซื่อเชื่อว่า มีชายที่มีประสบการณ์และนิสัยแบบนี้ สมกับที่เขาพูดมาว่า ‘ฆ่าคนเก่งมาก’
มีเหล่าฉินกับอาเฟย หลายๆ เรื่องก็จะสะดวกมากขึ้น ดังเช่นในเวลานี้ อาหมานออกไปติดต่อกับอาเฟยนั้นยุ่งยากว่าติดต่อกับเหล่าฉินมาก
“เหล่าฉิน เจ้าบอกอาเฟยว่าสถานที่เหล่านี้ให้เขาไปสอบถามดีๆ……” เจียงซื่อพูดถึงหมู่บ้านที่หญิงสาวมีฐานะทางตระกูลดีคนนี้ที่เณรน้อยเอ่ยถึงหนึ่งรอบ สุดท้ายได้เน้นว่า “ไปดูที่เมืองต้าหยางก่อน”
เหล่าฉินคารวะ หันหลังและจากไป
“คุณหนู ยังมีหญิงสาวหลายคนที่หายสาบสูญจริงๆ หรือเจ้าคะ” ระหว่างทางที่ติดตามเจียงซื่อกลับห้องพัก อาหมานอดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ
คาดไม่ถึงว่าลูกสาวของซิ่วเหนียงจื่อจะถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อฆ่าตาย แต่ก็นึกไม่ถึงว่ายังมีสตรีอื่นที่ถูกทำร้ายอีก ฉังซิงโหวซื่อจื่อนี่เสียสติไปแล้วจริงๆ
“กลับไปค่อยพูด” เจียงซื่อตอบเบาๆ
รอถึงเที่ยงวัน เจียงจั้นก็มาเรียก
“น้องสี่ มีพระอาจารย์เอาอาหารมังสวิรัติมาให้ เจ้ามากินด้วยกันสิ”
เจียงซื่อตามเจียงจั้นไปห้องข้างๆ กลับพบว่าอวี้จิ่นก็อยู่ที่นั่นด้วย
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจียงจั้น
เจียงจั้นยิ้ม “ออกมาข้างนอกก็ไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้น อาหารนี้พี่อวี๋ชีจองเอาไว้ ว่ากันว่าอาหารมังสวิรัติของวัดหลิงอู้มีชื่อเสียงมาก ได้โอกาสพอดีที่พวกเราจะลองชิมดู”
“ที่จริงแล้วข้ายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ พี่รองกับคุณชายอวี๋ทานให้อร่อยเถิดเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อหันหลังกลับเพื่อจะเดินไป ถูกเจียงจั้นดึงแขนเสื้อเอาไว้
“น้องสี่ ไม่กินข้าวจะทำให้ปวดท้องได้นะ”
เมื่อเห็นเจียงจั้นส่งสายตาอ้อนวอนที่น่าสงสารแบบนั้นแล้ว ในที่สุดเจียงซื่อก็ใจอ่อนพยักหน้าตกลง
เจียงจั้นดีใจมาก ดึงเจียงซื่อลงมานั่งข้างๆ ยื่นชามและตะเกียบให้อย่างเอาใจใส่ และวางชามแกงเล็กๆไว้ตรงหน้านาง “น้องสี่ ลองชิมแกงผักนี้ดู ว่ากันว่าผักนี้ที่จริงแล้วนี่เป็นผักป่า แต่ว่าเมื่อทำเป็นแกงผักรสชาติเลยอร่อยมาก ทางวัดได้จัดพื้นที่หลังภูเขาเป็นสถานที่เพาะปลูกโดยเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วศาสนิกชนที่มาพักที่วัดหลิงอู้จะต้องมากินแกงผักนี้ให้ได้”
อวี้จิ่นวางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะอาหาร ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจียงจั้นคอยเอาใจใส่ทั้งหมดแล้ว เขายังทำอะไรได้อีก
พี่เมียห่วงใยน้องสาวเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นการเพิ่มความยากลำบากให้เขา
“พี่รองไม่จำเป็นต้องดูแลข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ” เจียงซื่อเช็ดมือ แล้วรับตะเกียบมา
“มาๆ พวกเราดื่มต่างเหล้าแล้วกัน” เจียงจั้นเห็นว่าเจียงซื่อไว้หน้าเขามากๆ ยอมผ่อนคลายความตึงคเรียดกับอวี้จิ่น รู้สึกดีใจมาก ขยิบตาใส่อวี้จิ่น
เขาบอกแล้วว่าน้องสี่แค่เป็นคนอารมณ์เย็นชา นางดีกับเขาก็ต้องดีกับผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาอย่างแน่นอน
อวี้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วหันไปที่เจียงจั้นด้วยรอยยิ้ม
“น้ำที่ชงชานี้ก็เป็นน้ำแร่จากภูเขา ว่ากันว่านี่ก็เป็นของต้อนรับแขกที่มีชื่อเสียงในวัดหลิงอู้ คุณหนูเจียงลองชิมดู”
เจียงซื่อจิบชานิดๆ แล้ววางลง เห็นแก่เจียงจั้นที่อยู่ข้างๆ พูดเบาๆ “รสชาติไม่เลว”
“ดูเหมือนว่ามาที่วัดหลิงอู้จะถูกต้องแล้ว แต่สถานที่นี้เล็กไปหน่อย พรุ่งนี้พวกเราไปเดินเที่ยวรอบๆ กันเถอะ” เจียงจั้นแนะนำ
อวี้จิ่นยิ้มตาหยีและพยักหน้า “ตกลง”
เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะของเจียงซื่อก็เตะเจียงจั้นอย่างแรง
นี่ใช่พี่ชายแท้ๆ จริงไหม ขายน้องสาวแล้วยังช่วยคนอื่นอีกใช่ไหม
เจียงจั้นแสยะปาก จะให้อวี้จิ่นรู้ไม่ได้ว่าถูกเตะ ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ชานี่ยังร้อนมาก ลวกปากข้าเสียแล้ว”
อวี้จิ่นหัวเราะเบาๆ “ใช่ มันลวกปากนิดหน่อย คุณหนูเจียง ดื่มแกงผักเพื่ออุ่นท้องก่อนน่าจะดีกว่า อยู่ข้างนอกไม่สบายเหมือนอยู่ที่จวน เรื่องอาหารต้องระวังให้มากๆ”
“ขอบคุณคุณชายอวี๋มากเจ้าค่ะ” เจียงซื่อตอบแบบไม่ใส่ใจ ใช้ช้อนแกงคนแกงผัก ตักขึ้นมาแล้วยื่นไปที่ริมฝีปาก จากนั้นกลับหยุดลง
เจียงจั้นดื่มไปหลายอึก เมื่อเห็นเจียงซื่อขยับช้าจนเกือบหยุด ก็ไม่เข้าใจว่า “ทำไมน้องสี่ไม่ดื่มล่ะ รสชาติแกงผักนี้อร่อยมากจริงๆ”
เจียงซื่อวางช้อนแกงลง
“เป็นอะไรไปหรือ” เจียงจั้นไม่เข้าใจยิ่งขึ้น ตักอีกช้อนแล้วดื่มเข้าไป “อร่อยมากๆ กลิ่มหอมฟุ้งกระจาย รสชาติกลมกล่อม”
น้องสี่ยังไม่ได้ลองชิมเลย ทำไมถึงไม่ชอบเสียแล้วล่ะ
เจียงซื่อตักแกงผักมาวางที่ริมฝีปากอีกช้อนหนึ่ง และขยับช้าจนเกือบหยุด
ตอนนี้เจียงจั้นก็กินไม่ลงแล้ว “น้องสี่ ถ้าไม่ชอบก็กินอันอื่นเถอะ อย่าฝืนเลย”
เจียงซื่อจ้องไปที่แกงผักสีเขียวสด คิ้วยิ่งขมวดยิ่งชิดขึ้น จากนั้นเอาช้อนแกงวางกลับไปในชามอีกครั้ง ยืนยันว่า “รสชาตินี้ผิดปกติไปหน่อย”
“ตรงไหนที่ผิดปกติ น้องสี่เจ้ายังไม่ได้ชิมเลย” เจียงจั้นถูกคำพูดของเจียงซื่อทำให้สับสน
เจียงซื่อยิ้ม “แค่ดมก็พอแล้ว ไม่ต้องชิม”
“แล้วมันผิดปกติอย่างไรหรือ” เจียงจั้นวางตะเกือบลง เขาหมดความสนใจกับอาหารอันโอชะที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
รู้สึกว่าท่าทางของน้องสี่ไม่เหมือนพูดเล่นแล้ว หรือว่ามีคนวางยาลงในอาหาร
ถ้าเช่นนั้นเขากินยาสลบหรือว่ายาพิษไปกัน ให้ตายซิ คงไม่ใช่ยา……เสริมสมรรถภาพทางเพศใช่ไหม
เมื่อเห็นคุณชายรองเจียงแสดงท่าทางตื่นตระหนก สีหน้าสับสนวุ่นวาย อวี้จิ่นตบไหล่เขาเบาๆ “น้องเจียงเอ้อร์คุณหนูเจียงจะพูดก่อนเถอะ”
“น้องสี่ เป็นการวางยาจริงๆ หรือ”
เจียงซื่อหัวเราะออกมาโดยไม่ตั้งใจ “พี่รองคิดไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว” เจียงจั้นโล่งอก
เมื่อครู่เขากินไปเยอะ พี่อวี๋ชีและน้องสี่ไม่ได้กินแกงผักเลย
“แต่ว่าแกงผักนี้มีกลิ่นเหม็น…” เจียงซื่อมองเจียงจั้นอย่างเห็นใจ และพูดต่อไป “เหมือนกับมีกลิ่นเน่าของซากสัตว์ละลายอยู่ในน้ำ”
เจียงจั้นหน้าซีด เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงซื่อไม่เหมือนพูดเล่น เขาลุกขึ้นพรวดแล้วพุ่งออกไป ไม่นานข้างนอกก็มีเสียงอาเจียนดังขึ้น
ชั่วขณะหนึ่งในห้องก็เหลือเพียงอวี้จิ่นกับเจียงซื่อเท่านั้น
“มีกลิ่นเหม็นจริงๆ หรือ” อวี้จิ่นตักแกงผักขึ้นมาหนึ่งช้อน วางไว้ปลายจมูกแล้วดม กลับไม่ได้กลิ่นแปลกปลอมแม้แต่นิด
“คงไม่ใช่ว่าคุณหนูเจียงแค่ล้อน้องเจียงเอ้อร์เล่นใช่ไหม” อวี้จิ่นก็คิดความเป็นไปได้นี้ออกมาได้ในทันใด
เจียงจั้นแค่พลาด ไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยเขา ก็กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของสาวน้อยนี้แล้วหรือ
เจียงซื่อมองช้อนแกงที่ริมฝีปากของอวี้จิ่น แล้วพยักหน้า “อืม ข้าก็แค่แกล้งพี่รองเล่นน่ะ”
อวี้จิ่นหัวเราะขึ้นมา อ้าปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อกินแกงผัก
เจียงซื่อหรี่ตามอง แต่เห็นเขาวางช้อนแกงลงอีกครั้ง
เมื่อสบสายตาที่แปลกๆ ของสาวน้อยแล้ว ชายหนุ่มยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังหลอกข้า”
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปาก
ศัตรูเจ้าเล่ห์มาก ฉลาดว่าพี่รองมาก
เจียงจั้นกลับมาแล้ว พิงขอบประตูและหอบ ใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่งถึงจะสงบลงแล้วเดินเข้ามา
“น้องสี่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแกล้งข้าเล่นใช่ไหม เรื่องแบบนี้ยังจะล้อเล่น พี่รองชักจะโกรธแล้วนะ”
เห็นพี่ชายที่น่าสงสาร เจียงซื่อขมวดคิ้วด้วยความกลุ้มใจ
นางก็อยากบอกว่านี่เป็นแค่การล้อเล่นของนาง แต่ว่านางคุ้นเคยกับกลิ่นนั้นมาก เหมือนดมไปเมื่อไม่นานมานี้