บทที่ 88 บากหน้าไปพึ่งสำนักหยกพิสุทธิ์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 88 บากหน้าไปพึ่งสำนักหยกพิสุทธิ์
ครั้นได้ยินคำพูดของเซียวเหยา หานเจวี๋ยอึ้งไปทันที

ปกติคำพูดแบบนี้หานเจวี๋ยจะเป็นคนพูด ตอนนี้มาได้ยินจากปากของอีกฝ่าย เขารู้สึกรับไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก

หานเจวี๋ยก็ไม่กลัวที่จะประลอง จึงถ่ายทอดเสียงกลับไป ‘พวกเราทั้งสองไปประลองกันบนฟ้า’

กล่าวจบเขาก็พุ่งทะยานออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทานทันที ทะยานขึ้นไปบนทะเลเมฆา

เซียวเหยาตามขึ้นมาปรากฏกายตรงหน้าหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งพลังวิญญาณหกสายเข้าไปในสมบัติวิญญาณทั้งหมดบนร่าง พริบตาเดียว บนร่างของเขาก็เปล่งแสงทรงพลังออกมาราวกับเทพเซียนลงมาจุติในโลกมนุษย์ แวววับจับตาเป็นอย่างยิ่ง

เซียวเหยาเป็นคนตาบอดคนหนึ่ง แต่พลังจิตยังคงอยู่ จะตาบอดหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญสำหรับเขา

“สมบัติวิญญาณมากมายเพียงนี้…”

เซียวเหยาขมวดคิ้ว จู่ๆ เขาก็เกิดความสนใจสำนักหยกพิสุทธิ์ขึ้นมาทันที

คนผู้นี้จะต้องมีวิธีซ่อนตบะอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เพียงระดับสร้างฐานขั้นเก้า

เซียวเหยายกฝ่ามือขึ้น กล่าวว่า “ในเมื่อท่านสวมสมบัติวิญญาณมากมายเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว ข้าจะลงมือด้วยพลังทั้งหมด”

น่าเกลียดเสียจริง!

ระดับสุญตาขั้นเก้ายังต้องลงมือด้วยพลังทั้งหมดอีก นี่คือการประลองเวทหรือฆ่าคนกันแน่’

หานเจวี๋ยค่อนแคะในใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าสงบ “หากข้าสามารถรับได้ ท่านจะยอมเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์จริงหรือ เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าสำนัก อย่าได้เล่นลิ้น”

เซียวเหยากล่าว “ข้าไม่เคยกลับคำพูด ข้าเองก็ต้องการที่พักพิงสักแห่งจริงๆ สำนักหยกพิสุทธิ์สร้างความประทับใจให้ข้าไม่เลว”

หานเจวี๋ยพยักหน้า รอคอยฝ่ามือของเขา

เซียวเหยายกฝ่ามือขวาขึ้นมา คลื่นลมบนทะเลเมฆาสงบลงโดยพลัน กลิ่นไอเย็นเยือกปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

แม้เซียวเหยาจะตาบอด แต่ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหานเจวี๋ยไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

ฝ่ามือนี้ เซียวเหยาคิดจะโจมตีด้วยพลังทั้งหมดจริงๆ

เขาสะบัดฝ่ามือโจมตีลงบนหน้าอกหานเจวี๋ยอย่างรุนแรง

ตู้ม!

ทะเลเมฆาที่อยู่ใต้เท้าของทั้งสองถูกสั่นสะเทือนจนสลายในพริบตา สีหน้าของเซียวเหยาเกิดความประทับใจในทันที เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งสะท้อนกลับมา

เซียวเหยาถูกสั่นสะเทือนจนกระเด็นออกไปโดยไม่ทันได้ระวัง

ระดับรวมกายาขั้นสองอย่างหานเจวี๋ย เมื่อเผชิญหน้ากับระดับสุญตาขั้นเก้าอย่างเซียวเหยา ในขณะที่ถูกพลังวิญญาณปะทะนั้น ย่อมไม่แพ้อย่างแน่นอน!

เพื่อเป็นการแสดงอำนาจให้เซียวเหยาได้เห็น หานเจวี๋ยจงใจใช้พลังทั้งหมด ในระหว่างที่เซียวเหยากระเด็นออกไป เลือดลมของเขาก็สั่นสะเทือน เลือดไหลย้อนจนต้องกระอักออกมา

ใบหน้าเซียวเหยากระตุก กัดฟันกล่าว “ระดับรวมกายา!”

คิดไม่ถึงว่าสำนักที่มีเจ้าสำนักระดับปราณก่อกำเนิดจะซ่อนผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาเอาไว้!

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าต่อให้สำนักหยกพิสุทธิ์จะแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างมากก็แค่ระดับเปลี่ยนวิญญาณเ ทั้งยังเป็นขั้นที่ต่ำสุดของระดับเปลี่ยนวิญญาณด้วย

สำนักที่ไม่มีแม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับสุญตา คิดไม่ถึงว่าจะมีระดับรวมกายาเสียได้!

เซียวเหยาทรงตัวให้มั่นคง และสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าว “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าก็เป็นคนของสำนักหยกพิสุทธิ์!”

[เซียวเหยาเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

แค่นี้ก็ประทับใจแล้ว?

ดูท่าคนผู้นี้รู้ตัวว่าจะทำตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

หานเจวี๋ยรู้สึกพอใจ เขาเอ่ยปากกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องตบะของข้า เจ้าอย่าได้เปิดเผยออกไป”

เซียวเหยากล่าวด้วยความประหลาดใจ “คนในสำนักหยกพิสุทธิ์ไม่ทราบหรือ”

“อืม ตบะระดับข้าอยู่ในสำนักหยกหยกพิสุทธิ์มันดูโดดเด่นเกินไป ข้าเองก็กังวลว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะอาศัยตบะของข้าไปสร้างปัญหา นอกจากการมีชีวิตยืนยาวแล้ว ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นใด เพราะอย่างนั้นปกติจะมุมานะฝึกฝนตลอด” หานเจวี๋ยกล่าวอธิบาย

เซียวเหยามองหานเจวี๋ยสูงขึ้นอีกระดับอย่างอดไม่ได้

“เอาเช่นนี้เถิด เจ้าไปหาเจ้าสำนัก เขาจะจัดการตำแหน่งให้ท่านเอง” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

พอสิ้นเสียงลง เขาก็หายไปจากอากาศ

เซียวเหยาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ คิดอยู่นาน ก่อนทอดถอนใจออก เหาะไปทางสำนักหยกพิสุทธิ์

เมื่อกลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน ไก่คุกรัตติกาลที่อยู่บนต้นฝูซังก็ส่งเสียงร้องเรียก “นายท่าน เหตุใดท่านถึงไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย ช่างโอหังยิ่งนัก! ไม่ควรจะเจ้าหนึ่งฝ่ามือ ข้าหนึ่งกระบี่หรอกหรือ”

ตบะของสวินฉางอันสู้ไก่คุกรัตติกาลไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

หานเจวี๋ยปราดตามองไก่คุกรัตติกาลแล้วกล่าว “ข้าให้เจ้าหนึ่งกระบี่ เจ้ากล้ารับหรือไม่”

ไก่ตัวนี้ลำพองตัวเกินไปแล้ว ไม่ได้ ต้องกดดันสักหน่อย ไก่ขี้ขลาด ไม่สิ ความขี้ขลาดนี้ไม่อาจถูกทำลายได้!

ไก่คุกรัตติกาลถูกขู่จนตัวสั่น รีบร้อนส่ายหน้าทันที

หานเจวี๋ยหันไปทางไก่คุกรัตติกาล กล่าวขึ้น “คนผู้นี้ถูกเทพเซียนอาฆาตแค้น เจ้าเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาแล้วใช่หรือไม่ นั่นคือผลจากคำสาปของเทพเซียน”

พอไก่คุกรัตติกาลได้ฟังก็เบิกตาโพลง

คำสาปเทพเซียน!

“ด้านนอกก็อันตรายเพียงนี้ อย่าได้ลำพองตัวไป เจ้ากินจูโต้วไปแล้ว รู้ที่มาของจูโต้วหรือไม่ มันเป็นบุตรของสัตว์เทพจูเซวี่ย จูเชวี่ยเป็นสัตว์เทพบนสวรรค์ ตอนนี้อาจจะจับจ้องเจ้าแล้วก็ได้ เจ้าต้องขยันฝึกฝนให้แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันการมาแก้แค้นของจูเชวี่ย ข้าคำนวณดูแล้ว จูเชวี่ยเกลียดชังพวกเราแล้ว ดังนั้นข้าก็ต้องปิดด่านฝึกฝน”

หานเจวี๋ยส่งเสียงบอก ครั้งนี้ไก่คุกรัตติกาลตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด

จูเชวี่ย!

บรึ๋ยยย

จู่ๆ ไก่คุกรัตติกาลก็รู้สึกพะอืดพะอม แต่อยากจะอาเจียนออกมาตอนนี้ ก็ไม่สามารถอาเจียนจูโต้วออกมาได้

หานเจวี๋ยเห็นปฏิกิริยาของมัน ก็พึงพอใจในทันใด

เขากลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน และเริ่มทำการฝึกฝน

สวินฉางอันมองเห็นไก่คุกรัตติกาลที่ตัวสั่นงันงกอยู่ตลอดเวลา ก็รู้สึกประหลาดใจมาก

วันต่อมา

สำนักหยกพิสุทธิ์ประกาศว่าได้รับผู้อาวุโสใหม่หนึ่งท่าน ผู้อาวุโสระดับสุญตา!

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั่วทั้งสำนักก็รู้สึกฮึกเหิม

นี่เป็นระดับที่อาจารย์ปู่เพิ่งบรรลุถึง!

ชื่อเสียงของเซียวเหยาดังไปทั่วสำนัก

หลี่ชิงจื่อรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น เขารู้สึกเคารพและยำเกรงหานเจวี๋ยยิ่งกว่าเดิม

เซียวเหยาแข็งแกร่งขนาดนี้ยังไม่กล้าเป็นศัตรูกับหานเจวี๋ย ที่สำคัญก็คือการแลกมือของทั้งสองไม่มีการสั่นสะเทือนใดๆ

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

หมายความว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งกว่าเซียวเหยามาก ทำให้การแลกมือประลองเวทใช้เวลาไม่นานนัก

ผู้อาวุโสหานถึงจะเป็นเสาหลักของสำนักหยกพิสุทธิ์อย่างแท้จริง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลี่ชิงจื่อรีบส่งข่าวให้ผู้อาวุโสท่านอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการมองข้ามหานเจวี๋ย เพราะต้องการประจบเซียวเหยา

ความต้องการของหานเจวี๋ยยังสำคัญเป็นอันดับแรกของสำนักหยกพิสุทธิ์!

ไม่อาจชักช้าได้!

……

เวลาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ต้าเยี่ยนกลับเปรียบดังกระแสคลื่นที่พัดกระพือฮือโหม

สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตในต้าเว่ยที่โอบล้อมอยู่ด้านข้างของต้าเยี่ยน บุกโจมตีสำนักไร้ลักษณ์ในเขตต้นกำเนิดบรรพกาล ทั้งสองสำนักต่างก็เป็นยอดสำนัก และมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง

สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตที่รวบรวมต้าเว่ยให้เป็นหนึ่งเดียวก่อนหน้านี้ ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้แดนบำเพ็ญพรตข้างเคียงหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ

แต่ทว่า เมื่อสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตปะทะกับสำนักไร้ลักษณ์ สถานการณ์ของการต่อสู้กลับทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงพรึงเพริด

สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตถูกสำนักไร้ลักษณ์จับทั้งหมด แขกระดับรวมกายาของพวกเขาถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้ว่าหลบเลียแผลอยู่ที่ใด

สำนักไร้ลักษณ์ก็รุดหน้าไปบุกต้าเว่ยอย่างเหิมเกริม คิดจะโจมตีสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตให้แตกพ่าย

สำนักและลัทธิในแดนบำเพ็ญพรตต่างๆ ล้วนหวาดกลัวจนตัวสั่น

ในระหว่างที่ทั้งสองสำนักใหญ่ทำศึกกันนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสำนักต่างๆ ไม่น้อย

หรือกล่าวได้ว่าเทพเซียนต่อสู้กันส่งผลมายังโลกมนุษย์

ยามนี้ ภายในสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต

นักพรตเต๋าชิงเสียนกับหลิ่วปู๋เมี่ยเจ้าสำนักกำลังสนทนาอยู่ในหอแห่งหนึ่ง

หลิ่วปู๋เมี่ยมีสีหน้าเซื่องซึม เมื่อเผชิญหน้ากับสำนักทรงพลังอย่างสำนักไร้ลักษณ์ เจ้าสำนักอย่างเขาก็เกือบจะแบกรับไม่ไหวแล้ว

หากสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตถูกทลายย่อยยับ เขาจะอธิบายกับบรรพบุรุษว่าอย่างไร

นักพรตเต๋าชิงเสียนทอดถอนใจกล่าวว่า “แม้แต่แขกอาวุโสท่านนั้นก็หลบหนีไปแล้ว พวกเราไม่อาจเอาชนะสำนักไร้ลักษณ์ได้”

หลิ่วปู๋เมี่ยกัดฟันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร พวกเราได้กลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว ยอมจำนนไปก็ไม่มีประโยชน์!”

ตอนนี้สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตได้กลายเป็นที่ขบขันในแดนบำเพ็ญพรตแล้ว อย่างไรเสียก่อนหน้านั้นพวกเขาก็หยิ่งผยองเสียเพียงนั้น

นักพรตเต๋าชิงเสียนกล่าวด้วยสายตาที่เป็นประกาย “อันที่จริงพวกเราสามารถพึ่งพาอาศัยสำนักอื่นได้ เพียงแค่รับประกันข้อตกลงในระบบเต๋าก็พอ การพึ่งพากลุ่มอิทธิพลในโลกของการบำเพ็ญพรต ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด”

“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่สำนักที่อยู่รอบๆ ต้าเว่ยล้วนอ่อนแอกว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตของเรามาก สำนักใหญ่ที่สามารถต้านทานสำนักไร้ลักษณ์ได้ก็อยู่ไกลเกินไป”

ยิ่งพูด สีหน้าของหลิ่วปู๋เมี่ยยิ่งเศร้าสลด

สวรรค์ลงโทษสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต!

“พวกเราสามารถบากหน้าไปพึ่งสำนักหยกพิสุทธิ์ได้” นักพรตเต๋าชิงเสียนหรี่ตาลงกล่าว

……………………………………….