บทที่ 89 คุณสมบัติเทพตื่นตัว พบผู้มีดวงชะตาอีกแล้ว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 89 คุณสมบัติเทพตื่นตัว พบผู้มีดวงชะตาอีกแล้ว
ปีที่ห้าหลังจากที่เซียวเหยากลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักหยกพิสุทธิ์ หานเจวี๋ยก็บรรลุระดับรวมกายาขั้นสามในที่สุด

เขาเดินออกจากถ้ำเทวา มายืดเส้นยืดสายหน้าต้นฝูซัง

สวินฉางอันและไก่คุกรัตติกำลังฝึกฝน ต้นฝูซังกับน้ำเต้าพิภพเซียนเติบโตได้ไม่เลว ด้วยกานเสริมส่งของพวกมัน พลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็เพิ่มทวีอย่างมั่นคง

หานเจวี๋ยมองดูด้วยความพอใจ สมกับเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ พลังชีวิตก็เหนือกว่าของล้ำค่าฟ้าดินอื่นๆ เป็นอย่างมาก

หลังจากไก่คุกรัตติกาลครอบครองต้นฝูซังแล้ว ต้นฝูซังก็ไม่สั่นไหวกลางดึกอีก อย่าว่าแต่สัตว์เทพเลย แม้แต่สัตว์ปีศาจก็ไม่ถูกเรียกมา

หานเจวี๋ยเปิดอ่านจดหมายในค่าความสัมพันธ์อย่างเคยชิน

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปีศาจ] x5877

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย พบกับการช่วยเหลือของผู้ทรงพลังเผ่าปีศาจ หนีพ้นจากความตายมาได้]

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านปิดด่านมุมานะฝึกฝน เข้าใจมรรคปีศาจ พลังมรรคเพิ่มพูน]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายหลัก] x3119

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายหลัก] x3028

[เซียนซีเสวียนสหายของท่านพบกับโอกาสวาสนา ดวงชะตาสูงขึ้น]

[เซียวเหยาสหายของท่านเผชิญกับคำสาปเทพเซียน ได้รับความทรมานมาก] x5

[ซูฉีศิษย์ของท่านฝึกฝนวิชามาร คุณสมบัติเทพเริ่มตื่นตัว]

……

หานเจวี๋ยจนคำพูด

จริงๆ เลย!

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นทำอะไรอยู่กันแน่

เอาแต่ถูกโจมตี เพิ่งบาดเจ็บสาหัสไปไม่นานก็กลับมาบาดเจ็บสาหัสอีกแล้ว โชคดีที่มันเป็นสัตว์เทพโชคชะตา หากเป็นคนอื่นคงตายไปเสียนานแล้ว

โม่ฟู่ฉวกับโจวฟานคงอยู่ด้วยกัน จำนวนครั้งในการถูกโจมตีของทั้งสองใกล้เคียงกันมาก เท่าที่หานเจวี๋ยรู้จักพวกเขาทั้งสอง คนที่หาเรื่องจะต้องเป็นโจวฝานอย่างแน่นอน

คนที่มีชื่อฝานมักจะไม่ยอมเป็นคนธรรมดา บางทีนี่อาจจะเป็นชะตาชีวิต

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าเซียนซีเสวียนได้รับโอกาสวาสนาอีกแล้ว

ในช่วงเวลาหลายสิบปีนี้ เซียนซีเสวียนไปหาประสบการณ์ด้านนอกตลอด ตบะของนางก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีความหวังที่จะทะลวงถึงระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว

ขณะที่สำนักหยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ตบะของผู้อาวุโสจำนวนมากก็เริ่มเพิ่มพูน นี่กลับเป็นเรื่องที่ดี

เซียวเหยาเผชิญกับคำสาปเทพเซียนโดยเฉลี่ยปีละครั้ง เจ้าหมอนี่เป็นอะไรกันแน่

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา สำนักหยกพิสุทธิ์รับเซียวเหยาไว้จะนำมาซึ่งภัยพิบัติหรือไม่

และก็ซูฉี คุณสมบัติเทพเพิ่งเริ่มตื่นตัวหรือ

โชคร้ายของเจ้าหมอนี่ก็น่ากลัวพอแล้ว หลังจากตื่นตัวมันจะน่ากลัวขนาดไหนกัน

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าตัวเองทำถูกที่ส่งซูฉีออกไป หากรั้งอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์นานเข้า อาจจะสร้างหายนะให้สำนักหยกพิสุทธิ์ได้ในไม่ช้าก็เร็ว

แต่จะว่าไปแล้ว การดำรงชีวิตของคนอย่างซูฉีนี้ แท้จริงแล้วมันน่าเศร้ายิ่งนัก คนรอบกายล้วนตายเพราะเขา และเขากลับไม่รู้สถานะในชาติก่อนของตัวเองอย่างชัดเจน อาจจะคิดว่าสวรรค์กำลังพุ่งเป้าไปยังเขา

หานเจวี๋ยสงสัยเป็นอย่างมากว่าสวรรค์ส่งเขาลงมาจุติในโลกมนุษย์เพื่อประสงค์ใด

พอหวนคิดดูอีกที โลกมนุษย์มีสัตว์เทพภัยพิบัติอย่างจูโต้วได้ การปรากฏตัวของดาวตัวซวยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

เป็นเพราะมีการดำรงอยู่ของจูโต้วและดาวตัวซวย ถึงจะไม่ปรากฏนักคิดผู้ยิ่งใหญ่อย่างทานอส

บางทีนี่อาจจะเป็นเจตนาที่ลึกซึ้งของสวรรค์

หานเจวี๋ยคาดเดาเช่นนี้

ไม่นาน เขาก็นำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งเฒ่าประหลาดอู้เต้า จูเชวี่ย สลับกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าวัน

ขณะเดียวกันนั้น

บนยอดเขาหลัก

หลี่ชิงจื่อ ผู้อาวุโสสูงสุด เซียวเหยา และบรรดาผู้อาวุโสต่างก็มารวมตัวบนตำหนักอย่างพร้อมเพรียง

พวกเขาต่างมองไปยังคนผู้หนึ่งที่อยู่บนตำหนัก คนผู้นี้มาจากสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต นามว่านักพรตเต๋าเหยียนหลิน เป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตา มีสถานะอยู่ระดับผู้อาวุโส

นักพรตเต๋าเหยียนหลินแอบรู้สึกมึนงง

สำนักหยกพิสุทธิ์อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นอกจากเซียวเหยาแล้ว คนอื่นๆ รวมตัวกันทั้งหมดยังไม่สามารถขู่ขวัญเขาได้

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านเจ้าสำนักต้องบากหน้ามาพึ่งสำนักหยกพิสุทธิ์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังบอกจุดประสงค์ที่มาแต่โดยดี

สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตได้มาถึงจุดที่ชีวิตแขวนอยู่บนหน้าผาแล้ว ได้แต่รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น[1]

พอเขากล่าวจบ ผู้คนทั้งหลายต่างมองหน้าสบตากัน ประจักษ์ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตจะบากหน้ามาพึ่งพาสำนักหยกพิสุทธิ์

หลี่ชิงจื่อขมวดคิ้วกล่าว “สำนักของท่านกำลังทำศึกใหญ่กับสำนักไร้ลักษณ์ สำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่อยากมีส่วนร่วมในหายนะครั้งนี้ด้วย”

เขาไม่ได้มีความประทับใจในด้านดีกับสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ในความคิดของเขา สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตก็คิดอยากจะดึงพวกเขามารับผิดแทน

“ท่านเจ้าสำนักกล่าวว่า หากสำนักหยกพิสุทธิ์ตอบตกลง สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตยอมแม้กระทั่งเข้าร่วมกับสำนักหยกพิสุทธิ์ทันที กลายเป็นยอดเขาที่สิบเก้าของสำนักหยกพิสุทธิ์” นักพรตเต๋าเหยียนหลินกล่าวสำทับ

หลี่ชิงจื่อมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดอย่างอดไม่ได้ ทั้งสองศิษย์อาจารย์สบตากันคราหนึ่ง ล้วนเห็นท่าทีหวั่นไหวของอีกฝ่าย

หลังจากสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตกลืนกินต้าเว่ย ภูมิหลังก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากสำนักหยกพิสุทธิ์สามารถกลืนกินพวกเขาได้ จะต้องเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วแน่นอน

หลี่ชิงจื่อลุกขึ้นกล่าว “พวกท่านคุยกันไปก่อน ข้าขอตัวสักครู่”

กล่าวจบเขาก็เหาะออกไปนอกตำหนักใหญ่ทันที

บรรดาผู้อาวุโสต่างเข้าใจว่าเขาไปทำอะไร แน่นอนว่าต้องไปหาผู้อาวุโสสังหารเทพ

ทันใดนั้น เซียวเหยาก็พลันก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว “ข้าไม่รู้จักสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตดี ข้ากับท่านล้วนเป็นผู้อาวุโส ไม่สู้ประลองเวทแลกมือกัน ทำความเข้าใจพลังของกันและกันสักหน่อยดีหรือไม่”

ได้ยินเช่นนี้นักพรตเต๋าเหยียนหลินก็หรี่ตากล่าว “ตกลง!”

ในใจเขาเองก็รู้สึกไม่ยอมรับเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์ไม่คู่ควรที่สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตจะมาพึ่งอาศัย

……

เมื่อหลี่ชิงจื่อหาหานเจวี๋ยพบ จึงอธิบายจุดประสงค์ในการมาของสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต

“ผู้อาวุโสหาน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เขานึกถึงสำนักไร้ลักษณ์ขึ้นมาทันที

รับสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตเข้ามา จะต้องล่วงเกินสำนักไร้ลักษณ์ แต่ว่าเฒ่าประหลาดอู้เต้าที่เป็นเจ้าสำนักไร้ลักษณ์เป็นศัตรูกับเขา เขาไม่กลัวว่าจะล่วงเกินอยู่แล้ว

เฒ่าประหลาดอู้เต้าเป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาขั้นเจ็ด ตอนนี้หานเจวี๋ยมีตบะระดับรวมกายาขั้นสาม ย่อมไม่กลัวเขาอย่างแน่นอน

แต่ว่าไม่ใช่แค่เฒ่าประหลาดอู้เต้าเพียงคนเดียวนี่สิ

“ท่านมีความเชื่อมั่นในการรับมือสำนักไร้ลักษณ์หรือไม่” หานเจวี๋ยถาม

หลี่ชิงจื่อทอดถอนใจกล่าว “ดูเหมือนสำนักไร้ลักษณ์ก็มีความคิดเกี่ยวกับต้าเยี่ยนอยู่ ศิษย์ของพวกเขาได้เข้ามาในต้าเยี่ยนแล้ว สำนักสายหลักต่างๆ ในต้าเยี่ยนก็ส่งสารมาขอความช่วยเหลือจากพวกเราเช่นกัน”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หรือว่าเฒ่าประหลาดอู้เต้าจะมาเพราะเขา?

ตู้ม!

เกิดเสียงดังตู้มมาจากด้านนอก พอหานเจวี๋ยกวาดพลังจิตออกไปดู ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเซียวเหยากับนักพรตเต๋าเหยียนหลินกำลังประลองกัน

เซียวเหยาคือระดับสุญตาขั้นเก้า นักพรตเต๋าเหยียนหลินย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอย่างแน่นอน

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “หมายความว่าที่จริงแล้วพวกเราไม่มีทางเลือก แม้จะปฏิเสธสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต สำนักไร้ลักษณ์ก็อาจจะล้มล้างแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนอยู่ดี”

หลี่ชิงจื่อพยักหน้าอย่างจนใจ

“เอาเช่นนี้เถอะ รอนักพรตเต๋าเหยียนหลินพ่ายแพ้แล้ว ให้เขากลับไปเชิญเจ้าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตและนักพรตเต๋าชิงเสียนมาด้วยตัวเอง” หานเจวี๋ยกล่าวพึมพำ

หลี่ชิงจื่อดีใจมาก นี่ผู้อาวุโสหานจะลงมือแล้วหรือนี่

หากจะกลืนกินสำนักสวรรค์เพลิงโลหิต ก็ต้องโจมตีและกดดันสักหน่อย อย่างไรเสียกำลังของทั้งสองฝ่ายก็ห่างกันมาก ต่อให้ทำการปรับประสานใหม่ ก็ใช่ว่าภายหน้าสำนักหยกพิสุทธิ์จะสามารถควบคุมสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตได้

หลี่ชิงจื่อรีบจากไปทันที

การประลองเวทระหว่างเซียวเหยาและนักพรตเต๋าเหยียนหลินดำเนินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป การประลองครั้งนี้ทำให้บรรดาศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์ได้เปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมาก

ผู้อาวุโสเซียวแข็งแกร่งยิ่งนัก!

ขณะที่เซียวเหยาแสดงร่างออกมานับหมื่นร่าง การต่อสู้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก นักพรตเต๋าเหยียนหลินถูกกดโจมตีโดยสมบูรณ์

หลี่ชิงจื่อบอกความประสงค์ของหานเจวี๋ยให้กับนักพรตเต๋าเหยียนหลิน นักพรตเต๋าเหยียนหลินจากไปด้วยสีหน้าหดหู่

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยลูบปลายคาง กล่าวพึมพำว่า “ไม่ได้ ข้าไม่อาจจำลองการทดสอบกับเฒ่าประหลาดอู้เต้าได้ ไม่รู้พลังที่แน่ชัดของเขา หากเจ้าหมอนี่มีเคล็ดวิชาพิเศษหรือพลังวิเศษเล่า”

พอเปิดศึก หานเจวี๋ยจำเป็นต้องสังหารเฒ่าประหลาดอู้เต้า ไม่อาจให้เขาหลบหนีไปได้อย่างนักพรตเต๋าชิงเสียน

หานเจวี๋ยนึกถึงตราประทับหกวิถีของตน

ครั้งหน้าจะต่อสู้กับศัตรูหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็ลงตราประทับหกวิถีกับอีกฝ่ายก่อน?

เช่นนี้แล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปที่ไหน หานเจวี๋ยก็สามารถจับตัวได้

หากเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยก็ต้องทำดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพให้ให้แข็งแกร่งจนถึงขั้นสุด

ถึงเวลานั้นก็โจมตีศัตรูระยะไกลจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน!

ขณะที่ความคิดของหานเจวี๋ยผุดขึ้นในสมองนั้น พลันมีอักขระหนึ่งแถวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]

……………………………………….

[1] สำนวนจีน หมายถึงแม้เข้าใจสถานการณ์ แต่กลับไม่มีหนทางแก้ไข