ตอนที่ 100 บทสนทนาที่น่าอึดอัด

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 100 บทสนทนาที่น่าอึดอัด

จนเวลาล่วงเลยไปถึงเก้าโมง หลินม่ายก็ขายซาลาเปาได้ทั้งหมดสี่ร้อยลูก ไข่ต้มอีกสองร้อยฟอง

ถือว่าขายดีกว่าตอนที่เธอเร่ขายตามริมถนนมากทีเดียว ที่สำคัญคือไม่ต้องเผชิญกับลมฝน และไม่ถูกใครขับไล่

หลังเก้าโมงครึ่ง ลูกค้าหน้าร้านก็เริ่มเบาบางลงไปบ้าง ทำให้ฟางจั๋วหรานมีเวลาพูดคุยกับหลินม่าย

เขาชี้ไปทางป้าหูที่คอยชะเง้อชะแง้ออกมาจากบ้านของตัวเองเป็นครั้งคราว แล้วถามพลางขมวดคิ้ว “ทำไมป้าคนนั้นเขาถึงเอาแต่แอบมองคุณอยู่เรื่อยเลย?”

หลินม่ายพูดติดตลก “หล่อนคงไม่ได้มองฉันหรอกค่ะ คงแอบมองคุณเสียมากกว่า”

พอป้าหูเห็นว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานหันมองมาที่ตัวเอง หล่อนก็ผลุบหายกลับเข้าบ้านของตัวเองไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าหน้าร้านเริ่มเงียบแล้ว หลินม่ายก็เดินไปที่ประตูห้องครัว พูดกับโจวฉายอวิ๋นว่า “พี่หยุดทำซาลาเปาก่อนเถอะค่ะ ฉันขอฝากร้านแปบหนึ่ง ว่าจะพาโต้วโต้วออกไปซื้อวิทยุเทปกับการ์ตูนสักหน่อย ไม่นานจะรีบกลับมา”

ฟางจั๋วหรานพูดยิ้ม ๆ “ไม่ต้องรบกวนหล่อนหรอก เดี๋ยวผมช่วยเฝ้าร้านให้ก็ได้”

หลินม่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยอมรับการอาสาจากเขา

หลังจากนับเงินแล้ว เธอก็เดินไปเรียกโต้วโต้วที่กำลังวิ่งเล่นอยู่กับอาหวงจนเหงื่อท่วมตัว ไม่นานนักเด็กหญิงตัวน้อยกับสุนัขของเธอก็วิ่งปร๋อกลับมา

หลินม่ายกำชับให้หล่อนขึ้นไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน แล้วถึงจะพาออกไป

ทันทีที่โต้วโต้วได้ยินว่าหลินม่ายจะพาหล่อนออกไปเลือกซื้อวิทยุเทปและหนังสือการ์ตูน เด็กหญิงตัวน้อยก็ดีใจจนลิงโลด ไม่ยอมขึ้นไปอาบน้ำท่าเดียว และรบเร้าให้แม่พาไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อพวกมันโดยเร็ว

ปลายเดือนเมษายน สภาพอากาศค่อนข้างร้อนทีเดียว เป็นปกติที่วิ่งเล่นไม่ทันไรเหงื่อก็ท่วมตัวเสียแล้ว

เด็กสมัยนี้วิ่งเล่นจนตัวเปียกเหงื่อเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นพวกเขาก็แค่นั่งนิ่ง ๆ ปล่อยให้เหงื่อที่ซึมออกมาตามเสื้อผ้าเแห้งไปเอง ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนเจ็บป่วย

หลินม่ายกลัวว่าถ้าตัวเองประคบประหงมโต้วโต้วมากเกินไป อาจทำให้ภูมิต้านทานภายในร่างกายของหล่อนต่ำลงได้ ดังนั้นจึงไม่บังคับให้หล่อนขึ้นไปอาบน้ำ แล้วพาหล่อนออกไปซื้อของ

โจวฉายอวิ๋นจัดการนึ่งซาลาเปาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง บิดแขนเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัวเพื่อพักหายใจหายคอ

ช่วงกลางวันที่อากาศร้อนแบบนี้ ขืนหมกตัวอยู่แต่ในครัวที่มีเตาไฟหลายเตา เห็นทีหล่อนคงร้อนตายก่อนแน่!

เมื่อเห็นว่าข้างนอกเหลือแค่ฟางจั๋วหรานที่กำลังนั่งกินซาลาเปาพร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย หล่อนนึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งลงข้าง ๆ ฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองตาม ถามว่า “เมื่อวานนี้พอม่ายจื่อรู้ว่าผมซื้อเสื้อผ้ามาฝาก หล่อนมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”

โจวฉายอวิ๋นตกตะลึงไปชั่วครู่ “ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนะ…”

ฟางจั๋วหรานหยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป

โจวฉายอวิ๋นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ครั้นตัดสินใจได้แล้ว ก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาอันน่าอึดอัดใจ “ศาสตราจารย์ฟาง คุณคิดว่าม่ายจื่อของฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

ฟางจั๋วหรานหยุดคิดแวบเดียว ก่อนจะหยักหน้า “หล่อนเป็นเด็กน่ารัก ขยันขันแข็ง แถมยังมีจิตใจดี”

โจวฉายอวิ๋นนึกยินดีอยู่ภายในใจ เมื่อเห็นว่าเขาประเมินนิสัยใจคอของหลินม่ายไปในทางที่ดี

หล่อนพูดต่อไปอีกประโยคด้วยความระมัดระวัง “ม่ายจื่อคนนี้… เผชิญกับความทุกข์ทรมานในชีวิตมามากพอแล้ว ฉันคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันจะมีผู้ชายที่ดีมาแต่งงานกับหล่อน และปฏิบัติต่อหล่อนด้วยความรักจากใจจริง…”

ถึงแม้หล่อนไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าผู้ชายที่ดีคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่สังเกตจากสีหน้าและแววตา มองปราดเดียวก็เดาออกได้ไม่ยากว่าหล่อนกำลังหมายถึงฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี ทั้งยังดูไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจนิ่งเงียบเสีย

หล่อนอุตส่าห์รวบรวมความกล้าอยู่นาน พอพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาอย่างกล้าหาญแล้ว ประโยคต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป

โจวฉายอวิ๋นพูดต่อ “คือว่า… ศาสตราจารย์ฟาง ฉันเห็นว่าคุณเป็นคนดี ฉัน… ฉันก็เลยอยากให้คุณกับม่ายจื่อแต่งงานกัน รับรองได้ว่าชีวิตคู่ของคุณต้องราบรื่นแน่”

ฟางจั๋วหรานยังคงนิ่งเงียบครั้งแล้วครั้งเล่า

สีหน้าของโจวฉายอวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็นกระดากอายขึ้นมา ครั้งแรกที่คิดเสนอตัวเป็นคนผูกด้ายแดงก็ประสบความล้มเหลวเสียแล้ว

“เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่สนใจม่ายจื่อ งั้น งั้น งั้นก็ทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปซะก็แล้วกัน แต่คุณอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ม่ายจื่อฟังเลยนะ ฉัน ฉันกลัวหล่อนจะมาโทษฉันภายหลังที่ไปสร้างความลำบากใจให้คุณ…”

“คุณคงเป็นห่วงหล่อนมากเกินไป”

ถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มจะยังคงความอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง แต่กลับทำให้โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จนต้องเดินเลี่ยงกลับเข้าไปหลบอยู่ในครัวตามเดิม

ฟางจั๋วหรานไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือมาสักระยะแล้ว

อยากให้เขาแต่งงานกับหลินม่ายอย่างนั้นหรือ? เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

หลินม่ายพาโต้วโต้วไปที่ตลาดมืดก่อน เพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรมมาสองใบในราคาสิบหยวน จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังห้างสรรพสินค้า อนุญาตให้เด็กหญิงตัวน้อยเลือกวิทยุด้วยตัวเอง

โต้วโต้วมีไหวพริบดีเยี่ยม หลังจากถามราคากับพนักงานขายแล้ว หล่อนก็ตัดสินใจเลือกซื้ออันที่มีราคาถูกที่สุด

หลินม่ายก้มลงกระซิบกับหล่อนว่า “ลูกไม่ควรเลือกซื้อของที่มีราคาถูกเสมอไป การซื้อของนอกจากคำนึงถึงราคาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย ยกตัวอย่างวิทยุอันนี้ ถึงลูกจะเลือกเครื่องที่มีราคาถูกที่สุดในร้านก็จริง แต่ใช้ไปได้ไม่นานมันก็พังแล้ว ต้องเสียเงินซื้อใหม่อีก เลือกอันที่มีคุณภาพดีไว้ก่อนเถอะ ถึงราคาจะสูงไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายในภายภาคหน้า”

เด็กควรได้รับการปลูกฝังแนวคิดทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่เวลาพวกเขาเติบโตขึ้นจะได้บริหารเงินได้เป็นอย่างดี

โต้วโต้วยังคงสับสน หันไปถามหลินม่ายว่า แล้วหล่อนจะตัดสินคุณภาพของวิทยุแต่ละเครื่องได้จากอะไร

หลินม่ายแนะนำให้ใช้วิธีฟังเสียง ยิ่งวิทยุเครื่องไหนมีคลื่นแทรกรบกวนน้อยที่สุดก็ยิ่งมีคุณภาพดี

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันฟังเสียงวิทยุอีกหลายเครื่องในร้าน จนพบว่าวิทยุที่มีราคาถูกที่สุดมีคลื่นแทรกรบกวนน้อยมาก บ่งชี้ว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี

นี่ทำให้ได้ข้อสรุปว่าในยุคสมัยนี้ โรงงานอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดยรัฐผลิตสินค้าคุณภาพใช้ได้ทีเดียว

สองแม่ลูกตัดสินใจซื้อวิทยุราคาสี่สิบห้าหยวน ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกันกับที่โต้วโต้วเลือกก่อนหน้านี้

พนักงานที่ขายวิทยุเครื่องนั้นให้พวกเธอกลอกตาขณะมองตามแผ่นหลังของหลินม่ายไป ก่อนจะพูดพึมพำด้วยเสียงกระซิบ “เข้าใจใช้อุบายสอนลูกจริง ๆ เลย ตอนแรกฉันก็นึกว่าจะซื้อเครื่องที่แพงที่สุด ดันซื้อเครื่องที่ถูกที่สุดซะงั้น!”

นับตั้งแต่บทความวิจารณ์การบริการย่ำแย่ของพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงที่หลินม่ายเป็นคนเขียนถูกตีพิมพ์แพร่หลายออกไป มาตรฐานงานบริการทั้งหมดในห้างก็ถูกสังคายนายกใหญ่

ด้วยเหตุนี้พนักงานขายจึงทำได้แค่กระซิบกระซาบกันลับหลังลูกค้าเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินม่ายกับลูกสาวของเธอแล้ว กลับไม่กล้าพูดจาเหน็บแนมซึ่งหน้า

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็แวะร้านหนังสือที่ไม่เรียกเก็บคูปองใด ๆ โต้วโต้วซื้อ “ไซอิ๋ว”ฉบับการ์ตูนมาสองสามเล่ม เสร็จธุระแล้วสองแม่ลูกก็เดินกลับบ้านด้วยกัน

ตอนที่หลินม่ายแวะไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรม เธอได้ซื้อขาหมู (คากิ) มาหลายชิ้น กระเพาะหมูหนึ่งชิ้น หูหมูสองชิ้น และปลาทรายแดงหนึ่งชั่งครึ่ง ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าครัวทำอาหารดี ๆ สักสองสามจานให้ฟางจั๋วหรานเสียหน่อย

เขาอุตส่าห์สละเวลาพักผ่อนอันมีค่าของตัวเองเพื่อมาช่วยเหลือเธอ จะไม่ให้เธออยากทำบางสิ่งเพื่อเป็นการตอบแทนเขาได้อย่างไร

พอกลับมาถึงร้าน หลินม่ายก็พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อลงมือทำอาหารกลางวันด้วยตัวเอง

ถึงเวลานี้จะยังเช้าอยู่ แต่ช่วงเที่ยงต้องมีลูกค้าระลอกใหม่แวะเวียนมาซื้ออาหารอีกแน่ จึงต้องกินข้าวมื้อกลางวันกันล่วงหน้า

หลินม่ายยกวิทยุและหนังสือการ์ตูนให้โต้วโต้วเปิดฟังและอ่านฆ่าเวลา ดังนั้นโต้วโต้วจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ทันทีที่เห็นฟางจั๋วหรานก็รีบโผเข้าหาอ้อมแขนของเขาทันที พลางอวดวิทยุกับหนังสือการ์ตูนให้เขาดูว่าออกจากบ้านครั้งนี้ตัวเองได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง

ฟางจั๋วหรานอุ้มโต้วโต้วให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเขา ก่อนจะหมุนช่องวิทยุให้ตรงกับช่องรายการสำหรับเด็ก

ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูร่าเริงดังออกมาจากวิทยุเครื่องน้อย “ด่าดิ๊ดา ด่าดิ๊ดา คุณหนูทั้งหลาย รายการวิทยุกระจายเสียงสำหรับเด็กออกอากาศแล้วจ้า!”

เสียงเชื้อเชิญดังกล่าวดึงดูดเด็ก ๆ หลายคนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันทันที

ถึงแม้หลายครัวเรือนในตัวเมืองจะมีวิทยุอยู่ในบ้าน แต่มันก็ถือเป็นสิ่งของราคาแพง เด็กน้อยก่อนวัยเรียนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้ใหญ่กลัวว่าพวกเขาจะเผลอทำพัง

พอเด็ก ๆ เหล่านั้นเห็นว่าโต้วโต้วสามารถถือวิทยุและวิ่งเล่นไปมาได้ ต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตาม ๆ กัน

เด็กน้อยเจ้าเนื้อคนหนึ่งถามไถ่เธอว่า “โต้วโต้ว ฉันขอลองจับวิทยุของเธอหน่อยได้ไหม?”

ถึงแม้ครอบครัวของหลินม่ายจะเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่โต้วโต้วก็พอรู้จักมักคุ้นกับเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันนี้อยู่บ้าง เด็ก ๆ เหล่านั้นจึงเรียกชื่อเธอได้อย่างถูกต้อง

โต้วโต้วอนุญาตอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะถือไว้ แล้วพวกเธอค่อยมาจับดูนะ”

สิ้นเสียงเล็ก ๆ ของหล่อน เด็ก ๆ หลายคนต่างก็เดินเข้ามาสัมผัสวิทยุที่เธอถืออยู่ในมือ

พอเห็นแบบนั้นหยางหยางก็เดินเข้ามาร่วมวงด้วย เขาเองก็อยากจับวิทยุเครื่องใหม่ของโต้วโต้วเหมือนกัน

แต่โต้วโต้วกลับหดมือที่ถือวิทยุอยู่กลับเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง ปฏิเสธเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่ให้นายแตะต้องมันเด็ดขาด!”

ฟางจั๋วหรานเดินมาลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อน “ทำแบบนั้นไม่ดีนะ ต้องมีน้ำใจกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันสิ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เรือพี่หมอนี่มีคนสมัครเป็นกัปตันหลายคนเลย ท่าทางจะครึกครื้น

พี่หมอดูเป็นผู้ชายอบอุ่นรักครอบครัวมากเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)