ตอนที่ 101 ลูกหมีที่ทรยศต่อย่า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 101 ลูกหมีที่ทรยศต่อย่า

โต้วโต้วลังเลอยู่เล็กน้อย เงยหน้ามองคนเป็นอาแล้วถามด้วยความสงสัย “แต่แม่บอกหนูว่าอย่ายอมให้ใครรังแกได้ ต้องเอาคืนให้สาสม เมื่อวานหยางหยางไม่ยอมให้หนูยืนดูทีวีที่หน้าบ้านของเขา แล้วทำไมหนูจะต้องให้เขามาแตะต้องวิทยุของหนูด้วย”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกแย่ในใจเมื่อเห็นว่าโต้วโต้วกำลังรู้สึกไม่ดี “แม่ของหนูพูดถูกแล้ว ทำตามที่แม่สอนเถอะ”

สีหน้าของโต้วโต้วดูสดชื่นขึ้นทันที เธอเอียงศีรษะแล้วหันไปตอบโต้กับหยางหยาง “อย่ามาแตะต้องของของฉันนะ ยังไงฉันก็ไม่ยอมหรอก”

หยางหยางโกรธมาก กวาดหนังสือการ์ตูนของโต้วโต้วทั้งหมดบนโต๊ะลงบนพื้น “อย่ามาแตะตัวฉันนะ! ยัยลูกนอกไส้!”

โต้วโต้วกระพริบตากลมโตด้วยความสงสัย แม้จะไม่เข้าใจคำว่า ‘ลูกนอกไส้’ แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ดี

ฟางจั๋วหรานดูนิ่งขึ้นอย่างน่ากลัว “เก็บหนังสือการ์ตูนทั้งหมดมาให้ฉัน แล้วขอโทษโต้วโต้วซะ หล่อนไม่ใช่ลูกนอกไส้”

หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นได้ยินบทสนาทนาในครัว ทั้งสองจึงรีบเดินเข้ามาดูอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวมองหยางหยางอย่างไม่มั่นใจแล้วหันไปถามโต้วโต้วด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

โต้วโต้วรีบตรงเข้าไปหาแม่ เด็กน้อยชี้มือไปที่หยางหยางแล้วงอแง “หยางหยางว่าหนูว่าเป็นลูกนอกไส้แล้วโยนการ์ตูนของหนูทิ้ง”

หลินม่ายเริ่มดุทันที “เธอเรียกใครว่าลูกนอกไส้?”

หยางหยางกลัวจนหน้าซีดแล้วรีบหนีกลับบ้านไป

ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ราวกับเป็นฝ่ายถูกรังแกจากข้างบ้าน

หลังจากนั้นไม่นานป้าหูก็ตรงเข้ามาด้วยความโกรธจนหน้าขึ้นสี หล่อนเข้ามาพูดกับผู้ใหญ่ทั้งสามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มารังแกเด็ก ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง?”

ฟางจั๋วหรานตอบโต้กลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา “เรารังแกเด็กยังไงครับ?”

ป้าหูยกแขนขึ้นท้าวเอวอย่างเอาเรื่อง “หลานฉันวิ่งกลับมาบอกว่าคุณตะคอกเขา”

หลินม่ายรีบโต้กลับ “ทำไมไม่ถามเราบ้างว่าทำไมเราถึงต้องตะคอกเขา เขาว่าโต้วโต้วว่าเป็นลูกนอกไส้”

เจ้าลูกหมีที่มาด้วยกันกลับทรยศย่าของเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก

หยางหยางร้องไห้แล้วรีบเถียงว่า “ผมไม่ได้เรียกโต้วโต้วว่าลูกนอกไส้ ก็เมื่อคืนนี้ย่าเป็นคนบอกพ่อกับแม่ว่าโต้วโต้วเป็นลูกนอกไส้…”

ป้าหูหน้าชาไปในทันที

แม้ว่าหล่อนจะบอกกับคนในบ้านว่าโต้วโต้วเป็นลูกนอกไส้เพราะได้ยินหลินม่ายบอกว่าเธอไม่มีสามี

แต่เรื่องบางเรื่อง คำบางคำสามารถใช้พูดได้เพียงแค่ลับหลังเท่านั้นถ้าไม่อยากมีเรื่อง

คนเป็นย่าใช้มือตบไปที่หลังของหลานชาย “ฉันไปพูดอย่างนั้นเมื่อไหร่! ไอ้เด็กนี่!”

หยางหยางที่ถูกตีทั้ง ๆ ที่พูดความจริงก็ยิ่งร้องไห้ดังกว่าเดิม “ก็เมื่อคืนย่าพูดนี่…ฮือ…”

“ย่าไม่ได้พูด !”

ขณะที่ตีหลานรัก ป้าหูก็ดันหลังเจ้าเด็กน้อยออกไป หวังจะเนียนหนีไปจากตรงนี้

ฟางจั๋วหรานกลับไปขวางทางไว้แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “หลานชายคุณขอโทษโต้วโต้วหรือยัง เก็บการ์ตูนที่โยนลงพื้นขึ้นมาหรือยัง จะกลับได้ยังไงครับ”

ป้าหูพูดต่อด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “จะเอาอะไรนักหนา ก็แค่เด็กมันทะเลาะกัน”

หลินม่ายรีบพูดต่อ “เป็นเด็กพูดจาแย่แล้วไม่ต้องขอโทษหรือไง บ้านนี้สอนลูกหลานกันแบบนี้เหรอ”

ป้าหูจนใจจะเลี่ยงบาลี หล่อนจึงตีหลานตัวเองอีกสองสามครั้งแล้วบอกให้เขาขอโทษโต้วโต้ว พร้อมกับเก็บหนังสือการ์ตูนทั้งหมดขึ้นจากพื้นมาวางบนโต๊ะ เพื่อจะได้จบเรื่องจบราวแล้วกลับบ้านไป

หลังจากทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ หลินม่ายก็เตรียมอาหารกลางวันแล้วจัดโต๊ะอาหาร

คากิตุ๋นสมุนไพร หูหมูตุ๋น กระเพาะหมูผัดพริก ปลาทรายแดงตุ๋น แล้วก็ยังมียำผักกาดหอมกับผัดดอกกะหล่ำ

ยำผักกาดหอมและผัดดอกกะหล่ำปรุงขึ้นโดยผักที่ได้จากลุงฉี

แม้ว่าครอบครัวของหลินม่ายจะย้ายจากหมู่บ้านซานหยางมาที่ถนนเจี่ยเฟิงแล้ว แต่ลุงฉีก็ยังรับหน้าที่ส่งวัตถุดิบมายังที่บ้านนี้อยู่เหมือนเดิม

ลุงฉีสูงอายุมากแล้ว ทำมาหากินเริ่มลำบาก มีอะไรที่พอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป

อาหารทุกจานที่หลินม่ายเตรียมไว้ส่งกลิ่นหอมดึงดูดผู้คนให้พากันมาชะเง้อดู แล้วอดกลืนน้ำลายตามไม่ได้เมื่อเห็นว่าอาหารน่ากินขนาดไหน

มีบางคนที่มาถามเพราะอยากสั่งอาหารแบบนี้ แต่หลินม่ายตอบพวกเขาไปว่าเธอขายแค่ซาลาเปาเท่านั้น

ฝีมือการทำอาหารของหลินม่ายไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเชฟจากร้านอาหาร ฟางจั๋วหรานเอ่ยชมไม่หยุด

ชายหนุ่มรู้ว่าเธอยังมีงานต้องทำ ต่อหลังอาหารกลางวันจบลงอย่างรวดเร็วเขาจึงรีบขอตัวกลับไปทำงาน

หลินม่ายรีบตามมาในขณะที่เขายังออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร เธอยื่นธนบัตรสิบหยวนให้เขาหลายใบ “นี่เงินค่าเสื้อผ้าของฉันกับโต้วโต้ว”

ในตอนแรกหลินม่ายจะรับไว้เพียงแค่เสื้อผ้าของโต้วโต้ว และคืนชุดของเธอให้กับเขา

แต่พอคิดแล้วว่าเขาอาจจะเสียหน้าเลยเปลี่ยนเป็นคืนเงินให้เขาแทน

ฟางจั๋วหรานแอบดีใจไปก่อนหน้านี้ที่หลินม่ายยอมรับของจากเขาเสียที

ไม่คิดว่าสุดท้ายเธอก็ยังจะมาจ่ายเงินอีกอยู่ดี

ทั้งคู่สบตากันซักพัก ชายหนุ่มตัดสินใจรับธนบัตรนั่นมาเพียงสามใบเท่านั้น “เสื้อผ้าพวกนั้นราคาสามสิบหยวน”

หลินม่ายเริ่มสงสัยว่าเขากำลังโกหก ผ้าเนื้อดีขนาดนั้นจะมาราคาแค่สามสิบหยวนได้ยังไง

แต่หญิงสาวก็ต้องเก็บมันไว้เป็นเพียงความสงสัยในใจ เพราะกลัวว่าเขาอาจจะเสียหน้าได้ เธอจึงทำเป็นเชื่อแล้วตามน้ำไป

ช่วงเที่ยงร้านค้าเงียบเหงากว่าตอนเช้ามาก พวกเธอขายซาลาเปาได้เพียงร้อยลูกและหลังบ่ายสองก็ไม่มีลูกค้าอีก

โจวฉายอวิ๋นนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนด้านหน้าด้วยความสงสัย “ตอนเที่ยงแบบนี้ทำไมไม่ค่อยมีคนซื้อซาลาเปาเลยนะ”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นนิสัยการกินของคนเจียงเฉิง คนที่นี่ไม่คุ้ยเคยกับการกินอาหารเส้นหรือพวกแป้งทุกมื้อ แถมยังชอบกินข้าวเป็นมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นมากกว่า”

โจวฉายอวิ๋นจึงเริ่มกังวลใจ “แล้วซาลาเปาในครัวที่ยังเหลือเป็นร้อยลูกนั่นล่ะ”

“วางใจได้ เดี๋ยวฉันถีบสามล้อออกไปขายเอง”

เพียงครึ่งชั่วโมงต่อมาหลินม่ายก็กลับมาจากการออกไปขายซาลาเปาข้างนอก

โจวฉายอวิ๋นยิ่งสงสัยมากขึ้นเข้าไปอีก “แปลกจังที่ไม่มีคนมาซื้อซาลาเปาที่ร้าน แต่พอออกไปขายริมถนนก็ขายหมด”

หลินม่ายถอนหายใจออกมา “ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อซาลาเปาไปเป็นมื้อกลางวัน แต่จะเอาไปกินเล่นเป็นของว่าง หรือคนที่ซื้อเป็นมื้อกลางวันก็เป็นคนที่ต้องรีบซื้อรีบกินน่ะสิ”

คนเป็นพี่รินน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้วก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วเท้าคางกับโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น “ตอนเที่ยงซาลาเปาขายยากมาก แบบนี้จะเอายังไงดี”

หลินม่ายดื่มน้ำทั้งหมดในรอบเดียว วางแก้วเปล่าลงแล้วรีบพูดขึ้น “ถ้าซาลาเปามันขายยาก เราก็เปลี่ยนมาขายข้าวแทน น่าจะดีกว่า”

โจวฉายอวิ๋นเหลือมองเธอ “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าขายกับข้าว ยังต้องมีเครื่องเคียงเป็นพวกผักเอาไว้เสิร์ฟอีก ฉันทำอาหารได้แค่พวกกับข้าวที่กินกันเองในบ้าน จะให้ทำขายก็น่าจะยาก ไม่น่าจะมีคนกิน เธอทำอาหารเก่งมากก็จริง แต่ถ้าเรามีลูกค้า พวกเขาสั่งอาหารมากกว่าหนึ่งอย่างแน่ ๆ ลองคิดว่าเธอทำคนเดียวมันจะยุ่งขนาดไหน แล้วยิ่งถ้าต้องรับซักสองสามโต๊ะพร้อมกัน ฉันก็ยังไม่เก่งพอจะช่วยเธออีก”

แต่หลินม่ายมีแผนในใจอยู่แล้วในเรื่องนี้ “พี่ทำกับข้าวไม่เก่ง แต่ทำข้าวผัดไข่ได้ไม่ใช่เหรอ ตอนเที่ยงก็ขายข้าวผัดไข่ ทำง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ยังไงก็อร่อยอยู่แล้ว แค่เติมพริกไทยกับผงปรุงรส อาหารที่ทำขายจะต้องปรุงให้รสจัดกว่าที่กินกันเองที่บ้าน ไม่งั้นอาหารตามร้านจะมีแต่ซอสแดง ๆ ดูเยิ้ม ๆ เหรอ”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเรามาขายข้าวผัดไข่ตอนเที่ยง แล้วตอนค่ำเธอมาสอนฉันทำกับข้าว”

ขณะที่สองสาวกำลังตกลงกัน ลุงขายซึ้งก็เอาซึ้งไม้ไผ่ที่สั่งไว้มาส่งที่บ้าน

หลินม่ายตรวจดูแล้วไม่มีปัญหาอะไรจึงจ่ายเงินไปอย่างมีความสุข

ลุงขายซึ้งรับเงินแล้วก็จากไป

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ชอบฝีปากพี่หมอนะคะ คมพอๆ กับมีดผ่าตัดเลย

งานไม่ใหญ่แน่นะวิ จะผันตัวไปขายข้าวแกงแทนซาลาเปาแล้วนะวิ

ไหหม่า(海馬)