ตอนที่ 8 การตรวจอาการของสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบทที่ 2
—————
“นี่ผมเองครับ ฟาร์มา ขออนุญาตเข้าไปนะครับ”
บรูโนเหลือบมองไปที่ฟาร์มาขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้อง บรูโนได้รวบรวมเอกสารทั้งหมดใส่ถุงที่บรรจุได้ขวดยาและจัดการเครื่องแต่งกายของเขา
เหล่าข้ารับใช้และพวกแพทย์โอสถฝึกหัดหลายคนได้เข้ามาช่วยในการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม แต่กลับไม่เห็นเอเลนในนั้นจนสุดท้ายบรูโนก็พาพวกเขาออกไป
(อะไรกัน?)
ดูเหมือนพ่อของฟาร์มาจะทำงานหนักอย่างมาก จากที่เขาเห็นพ่อของเขาน้ำหนักลดลงไปมากจากที่เห็นก่อนหน้านี้ และเขายังจำได้ว่าพ่อของเขามีอาการไอแห้งมาเป็นเวลานานแล้ว
(ชักไม่ดีแล้วสิ ไว้ลองตรวจดูแล้วกัน)
ฟาร์มาได้วางนิ้วลงบนตาซ้ายของเขา
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ? บาดเจ็บตรงไหนงั้นหรือ?”
ฟาร์มาไม่ได้สนใจกับสิ่งที่พ่อเขาพูดขึ้นมาเลย ยังคงพยายามตรวจพ่อของเขาต่อ
แต่แล้วฟาร์มาก็ต้องหยุดตรวจพ่อของเขาไปหลังจากที่พ่อเขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ยืนให้มันตรงๆ แล้วฟังในสิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้ให้ดีเดี๋ยวนี้!”
“คะ..ครับ”
ฟาร์มายืนตัวตรงอย่างรวดเร็ว
การเชื่อฟังบิดาอย่างไร้เงื่อนไขเป็นกฎของโลกนี้อยู่แล้ว
“พระอาการประชวรของสมเด็จพระจักรพรรดินีในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันหากเจ้าไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมก็อยู่ที่คฤหาสน์นี้เสียเพราะรังแต่จะเกะกะเท่านั้น แต่ถ้าไม่ก็รีบแต่งตัวแล้วมากับพ่อ”
เนื้อหาของการสนทนานี้ไม่สามารถให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้พ่อของฟาร์มาจึงพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาพอสมควรและไล่ทุกคนออกจากห้องนี้อีกด้วย
นี่มันผิดปกติแล้ว ท่าทางของพ่อเขาตอนนี้ดูไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก
“ผมจะไปกับท่านพ่อครับ แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับพระองค์บ้างเหรอครับ?”
“พ่อก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ แต่การรักษาพระองค์คงต้องใช้เวลานานพอสมควร”
อาการของสมเด็จพระจักรพรรดินีได้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันในช่วงเมื่อไม่กี่วันนี้ หัวหน้าแพทย์หลวงจึงเข้าให้การรักษาและติดตามพระอาการอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถรักษาอาการป่วยครั้งนี้ได้
(อาการป่วยของสมเด็จพระจักรพรรดินีต้องถูกเก็บเป็นความลับงั้นหรือ? เราสงสัยจริงๆ … ว่าพวกเขาจะวินิจฉัยโรคถูกหรือเปล่านะ?)
ฟาร์มาได้ตัดสินใจเข้าไปเป็ยผู้ช่วยในการรักษาครั้งนี้ เฉพาะแพทย์โอสถหลวงและผู้ช่วยเท่านั้นที่สามารถเข้าวินิจฉัยโรคขององค์จักพรรดินีได้ แพทย์โอสถระดับหนึ่ง และต่ำกว่านั้นไม่สามารถทำได้ ฟาร์มาซึ่งเป็นผู้ช่วยในครั้งนี้ได้รับมอบหมายถึงถือถุงอุปกรณ์แพทย์และทำงานเบ็ดเตล็ด
มีเพียงแพทย์โอสถหลวงและแพทย์หลวงเท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคให้กับองค์จักรพรรดินีโดยแพทย์โอสถจะเตรียมยาตามใบสั่งยาที่แพทย์หลวงออกเพราะอาจจะเกิดการลอบสังหารองค์จักรพรรดินีได้หากไม่แยกสองหน่วยนี้จากกัน ความชำนาญและความสามารถของแพทย์โอสถและแพทย์ไม่แตกต่างกันมากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวินิจฉัยโรคและการกำหนดยารักษา ซึ่งแตกต่างจากเภสัชกรในประเทศญี่ปุ่นที่มีสิทธิ์จ่ายยาได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องรอให้แพทย์ออกใบสั่งยาให้ได้ อย่างไรก็ตามความต่างระหว่างแพทย์โอสถและแพทย์ในโลกนี้คือแพทย์มีความสามารถในการผ่าตัดได้เหมือนศัลยแพทย์
ซึ่งในกรณีนี้จักรพรรดินีนั้นมีความเชื่อถือในตัวของบรูโนซึ่งเป็นแพทย์โอสถหลวงมากกว่าแพทย์หลวงเพราะตัวของบรูโนนั้นคือหัวหน้าแพทย์โอสถหลวงที่ถูกแต่งตั้งขึ้นจากพระองค์โดยตรง
กล่าวได้ว่าที่บรูโนตำแหน่งเป็นถึงแกรนดยุกและมีชีวิตที่สุขสบายนั้นได้รับมันมาจากองค์จักรพรรดินีทั้งสิ้น
“เจ้ารีบไปเตรียมตัวเสีย”
“ครับ”
เอเลนเคยบอกไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดในการรักษาองค์จักรพรรดินีสถานะของแพทย์โอสถหลวงกับแพทย์หลวงอาจจะพลิกผันก็เป็นได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือโชคชะตาของครอบครัว เดอ เมดิซิสขึ้นอยู่กับอาการขององค์จักรพรรดินีหากพลาดอะไรขึ้นมาแล้วต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างมากแน่นอน ฟาร์มาจึงเข้าใจว่าทำไมพ่อเขาถึงรู้สึกตื่นเต้นได้ขนาดนี้
(องค์จักรพรรดินีป่วยหนักงั้นหรือ?)
ฟาร์มากำลังเตรียมตัวอย่างรีบร้อนในขณะคิดถึงเรื่องนี้ไปด้วย
ในตัวของเขานั้นมีเพียงกระเป๋าอันเดียวเป็นสิ่งเดียวที่เขาเตรียมไว้ซึ่งภายในนั้นมีเครื่องมือรูปร่างแปลกๆ อยู่
“ท่านฟาร์มาพยายามเข้านะคะ!”
ลอตเต้สวมชุดคลุมสีเทาตัวเก่งให้กับฟาร์มา
“แล้วเจอกัน”
ฟาร์มาโบกมือและยิ้มให้กับลอตเต้ก่อนเดินจากไป
“ไปกันเถอะฟาร์มา”
“ครับ”
บลูโน เดอ เมดิซิสและลูกชายของเขาฟาร์มาได้ขึ้นม้า โดยม้าฟาร์มานั้นติดเบาะรองสำหรับเด็กติดไว้ก่อนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็มุ่งไปยังพระราชวังแซงต์เฟลิฟ ซึ่งเป็นที่พำนักขององค์จักรพรรดินี เพราะการใช้รถม้านั้นช้าเกินไป
ขณะที่พ่อลูกขี่ม้าวิ่งผ่านถนนสายหลังของเมืองหลวงไปและผ่านผู้คนมากมาย
“แกรนดยุกกำลังจะผ่าน! เปิดทางเสีย!”
หลังสิ้นเสียงนั้นก็มีเสียงแตรสะท้อนผ่านให้ได้ยิน เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในบัญชาของบรูโน่รวมตัวกันขนาบข้างเพื่อเปิดทาง ส่วนเหล่าสามัญชนรอบข้างทางต่างหาที่ว่างเพื่อก้มศีรษะลงระหว่างเปิดทางให้
ทักษะการขี่ม้าของฟาร์มานั้นมีความงดงามมาก เขาได้รับการสอนโดยตรงมาจากเอเลนและสืบทอดทักษะของฟาร์มาคนเดิมด้วย
ขณะที่เขากำลังจะได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยในการตรวจ ฟาร์มาได้ใช้มือหนึ่งคว้าสายบังเหียนเอาไว้ในขณะที่อ่านข้อมูลขององค์จักรพรรดินีที่เขาได้รับมาจากเอเลน สมเด็จพระจักรพรรดินี เอลิซาเบทที่ 2 แห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ อายุ 24 ปี พระองค์ขึ้นครองราชสมบัติตั้งแต่อายุยังน้อย พระองค์มาจากครอบครัวผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพเปลวเพลิงซึ่งทรงอำนาจมากที่สุดในทวีปและพระองค์ยังมีอำนาจในฐานะจักรพรรดินีต่อทุกประเทศในทวีปอีกด้วย
พระองค์ได้รับการแต่งตั้งจากโบสถ์ในฐานะผู้สืบทอดราชสมบัติหลังจากการสวรรคตขององค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนด้วยโรคร้าย พระองค์ได้ทำการปฏิรูปกลุ่มรัฐบาลเผด็จการหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ตอนนี้พระองค์ก็ครองราชย์มาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ด้วยพระอัจฉริยภาพทางด้านการปกครองและการทหารทำให้สามารถขยายอาณาเขตของราชอาณาจักรไปได้กว้างไกล และถูกรู้จักในฐานะของกษัตริย์ที่ชาญฉลาดผู้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความเสถียรภาพและพัฒนาพื้นที่ในชนบท
ฟาร์มาเข้าใจทันทีว่าการครองราชย์ของพระองค์นั้นมีลักษณะคล้ายกับจักรวรรดิโรมันหรือจักรพรรดิรัสเซียที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การครองบัลลังก์ก็นั้นไม่ได้มาจากสายเลือดแต่มาจากผลบุญของบุคคลกล่าวคือจักรพรรดินีเอลิซาเบทเป็นผู้ถืออำนาจศาสตร์แห่งเทพและอำนาจทางการปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ มีรายงานกล่าวไว้ว่าเมื่อครั้งพระองค์ถือเครื่องตรวจวัดพลังระหว่างพิธีราชาภิเษกเครื่องวัดนั้นแสดงค่าพลังเวทออกมาสูงสุดเท่าที่จะวัดได้เลยทีเดียวและนั่นเป็นจุดที่สูงที่สุดของจักรวรรดิที่เคยวัดมาได้อีกด้วยราวกับการอวยพรแห่งสรวงสวรรค์ ถือได้ว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ถูกเลือกจากเหล่าเทพเจ้าอย่างแท้จริง
(จักรพรรดินี เราคิดว่านั่นน่าจะเป็นแค่ชื่อที่ใช้เรียกกันเฉยๆ แต่พระองค์ก็ครองบัลลังก์ด้วยพลังที่ท่วมท้นอย่างแท้จริง)
ฟาร์มาคิดว่าสถานการณ์ของตัวเองที่เครื่องวัดพลังเวทนั้นหมุนรอบหน้าปัดจนแตกนั้นเป็นข้อยกเว้น แน่นอนว่าปริมาณพลังนั้นไม่ใช่คุณสมบัติเพียงอย่างเดียวในการครองบัลลังก์มันยังรวมถึงความสามารถและพรสวรรค์ของคนผู้นั้นด้วย
เหล่าอัศวินระดับสูง ได้เข้าไปคุยกับทหารรักษาประตูก่อนที่ประตูกริชสีทองของพระราชวังจะถูกเปิดออกด้วยเสียงกังวาน
(สถาปัตยกรรมดูมีความทันสมัยมากกว่าคฤหาสน์ของเรา ดูไปก็คล้ายกับพระราชวังแวร์ซาย)
ซึ่งมีวิวสไตล์บาโรกที่งดงามทันสมัยและสวนอันกว้างใหญ่
บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นทองทำอยู่ตรงกลางกำลังพ่นน้ำออกมา สวนที่กว้างใหญ่หลังพระราชวังนั้นก็งดงามมากเช่นกัน
เหล่าข้าหลวงที่เดินเรียงรายไปตามทางเข้าก็สวมชุดที่ดูงดงามมาก
ฟาร์มาได้ลงจากม้ามาพร้อมกับพ่อของเขา
“พวกเรากำลังรอท่านอยู่เลยครับ”
พวกเขาถูกนำทางโดยคนขององค์จักรพรรดินี ดวงตาของเขาต้องประกายกับแสงของเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมายและห้องโถงก็ถูกปกคลุมไปด้วยกระจกขนาดใหญ่หลายแห่ง ขณะที่พวกเขาก้าวเดินอย่างรวดเร็วในพระราชวัง พวกเขาคาดการไว้ว่าน่าจะถูกพาไปยังห้องรับรองก่อน แต่ผิดคาดที่พวกเขาได้รับการอนุญาตจากแพทย์หลวงให้เข้าพบองค์จักรพรรดินีทันที
เมื่อฟาร์มามาถึงยังห้องพำนักองค์จักรพรรดินีเขาก็เห็นเหล่าแพทย์หลวงรออยู่ตรงมุมหนึ่งของประตูห้อง
พวกเขาทุกคนใส่ชุดสีดำเหมือนกันหมด เมื่อแพทย์ให้การรักษาบางครั้งก็จะมีคราบเลือดเปื้อนบนเสื้อผ้าเขาเป็นธรรมดานี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสวมชุดสีดำไว้ ตอนของ
ฟาร์มาเองพ่อของเขาก็บอกไว้เช่นนั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่ค่อยจะได้ทำความสะอาดชุดของพวกเขานัก นี่คือข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องของความสะอาด
“หัวหน้าแพทย์โอสถหลวง บรูโน เดอ เมดิซิส มาถึงแล้ว”
“อนุญาตให้เข้ามา”
ฟาร์มาตามพ่อของเขาเข้ามาด้วยการแสดงท่าทางที่มีมารยาทเหมือนกับพ่อของเขาขณะนี้องค์จักรพรรดินีนอนอยู่บนเตียงนอนคู่ สภาพร่างกายของพระองค์ตอนนี้ดูซูบผอมขณะที่บรูโนและแพทย์หลวงกำลังพูดคุยกันนั้นเขาก็พยายามเงี่ยหูฟังไปด้วยขณะที่มือยังถือกระเป๋าของพ่อเขาอยู่ ตอนนี้องค์จักรพรรดินีมีอาการไอเสมหะอย่างไม่หยุดและเห็นได้ว่าพระองค์มีอาการตกเลือดในปอดเนื่องจากมีเลือดปนออกมากับเสมหะของพระองค์ด้วย คงจะเป็นอาการเลือดตกในปอดเรื้อรังพระองค์แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเป็นทุกข์มากจากความทรมานเนื่องจากหายใจลำบาก บรูโนตรวจสอบเอกสารที่ถูกเตรียมไว้และมื้ออาหารที่พระองค์เสวยอย่างจริงจัง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาต”
บรูโนเดินไปยังเตียงก่อนจะตรวจอาการขององค์จักรพรรดินี
เขากราบคำนับและเอามือตรวจสอบชีพจรขององค์จักรพรรดินีโดยใช้ผ้าขาวกั้นไว้แทนการสัมผัสโดยตรงอีกที
(สูงขึ้นงั้นหรือ?) -อาการไข้
ฟาร์มาสังเกตการกระทำของบรูโนขณะที่เขากำลังถือกระเป๋าของพ่อเขาไปด้วย พ่อของเขานั้นเป็นแพทย์โอสถหลวงดังนั้นทักษะในการวินิจฉัยโรคของเขาก็น่าจะสูงเช่นกัน ฟาร์มาคาดว่าพ่อของเขาน่าจะทำอะไรได้ บรูโน่ตรวจสอบนาฬิกาทรายสลับกับตรวจชีพจรขององค์จักรพรรดินี
หลังจากตรวจเสร็จเขาก็เก็บเลือดไว้เล็กน้อยผ่านปลายนิ้วของพระองค์และปล่อยมันร่วงมายังจานเพาะเชื้อ อีกทั้งเขายังขอตัวอย่างน้ำลายและปัสสาวะ จากนั้นก็ตรวจสอบมันอย่างละเอียด เขาเจือจางสิ่งเหล่านี้ด้วยน้ำที่ปลุกเสกจากศาสตร์แห่งเทพและวางมันไว้ในหลอดทดลองเพื่อทดสอบปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น แล้วก็มองไปยังกระดานโหราศาสตร์ด้วยท่าทีที่จริงจัง
ฟาร์มาเอียงคอของเขาด้วยความสับสนกับสิ่งที่เขาเห็น
(เขาวินิจฉัยด้วยศาสตร์แห่งเทพกับการทำนายเนี่ยนะ?)
ฟาร์มาไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าพ่อของเขาจะวินิจฉัยโรคได้ด้วยการกระทำดังกล่าว เอเลนเคยบอกว่าพ่อของเขานั้นเป็นแพทย์โอสถหลวงที่มีชื่อเสียงและเก่งกาจอย่างมากแม้กระทั่งภายในราชสำนักด้วยกันเอง ว่ากันว่าการวินิจฉัยของเขานั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ตอนแรกฟาร์มาสงสัยมากว่าพ่อของเขาเป็นแพทย์โอสถหลวงได้ด้วยทักษะการทำนายงั้นหรือ แม้ว่าในโลกจะมีศาสตร์แห่งเทพซึ่งมีความสัมพันธ์กับพวกเขาอยู่สูงก็ตามที
บรูโนโค้งคำนับก่อนจะส่งสายตาไปยังแพทย์หลวง
ก่อนแพทย์หลวงจะตอบรับและเขาไปกระซิบข้างหู
“จากการตรวจสอบท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“คือว่า…”
บรูโนทำการเซ็นเอกสารก่อนจะปิดตาลงด้วยท่าทางที่เศร้าโศก
เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเขียนชื่อโรคที่วินิจฉัยออกมาเพื่อตรวจสอบถึงความแตกต่างว่าต่างจากการวินิจฉัยของแพทย์หลวงหรือไม่อย่างไร
(ชื่อโรคอะไรกันนะ? แล้วเขาวินิจฉัยโรคให้กับพระองค์ถูกต้องแล้วงั้นหรือ?)
แน่นอนว่าชื่อโรคนั้นจะเป็นภาษาท้องถิ่นของโลกใบนี้ ถ้าคนญี่ปุ่นได้ยินก็จะมีแต่สับสนเท่านั้น
แต่ฟาร์มานั้นจำชื่อโรคทั้งหมดของโลกใบนี้ได้แล้วและนำไปเทียบกับโรคของญี่ปุ่นดังนั้นฟาร์มาจึงรู้ได้ว่าพวกเขาวินิจฉัยได้ถูกต้องหรือไม่หากเขารู้ชื่อโรค
เมื่อฟาร์มาดักฟังการสนทนาของพวกเขาทั้งสองดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับการวินิจฉัยใดๆ
เขาได้ยินแต่พวกวลีต่างๆ เช่น “ระบบปอดล้มเหลว” , “การเคลื่อนที่ของดวงดาวไม่ดีตามที่ทำนายไว้” , “ดาวร้ายกำลังตกมายังพระองค์”
(นี่พวกเขาไม่รู้ชื่อโรคอย่างงั้นหรือ?)
แล้วบรูโน่ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจะออกไปยังห้องวิจัย” แล้วออกจากห้องนอนไป
ฟาร์มาพยายามที่จะตามและออกไปช่วยเหลือเขา แต่พ่อของเขาก็หยุดเขาไว้แล้วบอกว่า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นสิ่งนั้นหรอกแล้วเฝ้าดูองค์จักรพรรดินีต่อไปเถอะ”
ภายในห้องวิจัยที่ล็อกนั้น คือสถานที่ที่แพทย์หลวงและแพทย์โอสถจะทำยา ก่อนจะจ่ายให้กับคนในราชสำนักและมันถูกสร้างขึ้นข้างๆ ห้องนอนขององค์จักรพรรดินี
ในห้องนั้นบรูโน่ได้ผสมบางสิ่งไว้ในขวดและดูเหมือนมันจะมีผลเหมือนยาสลบ
ฟาร์มารู้ดีเพราะกลิ่นที่เขาสัมผัสได้จากการเดินผ่าน
(มันทำมาจากฝิ่น แมนเดรกและส่วนผสมอื่นๆ ที่สกัดมาจากสารเสพติด)
ฟาร์มาจึงเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาได้
เหล่าแพทย์โอสถฝึกหัดที่อยู่บริเวณผนังห้องและเครื่องเรือนจะคอยเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ โดยรอบและห้ามปรามไม่ให้ผู้อื่นเข้ารบกวนการทำงานของพวกเขา ในตอนนั้นองค์จักรพรรดินีได้มีอาการไออย่างหนักจนตัวกระตุกขึ้นมา
“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
บรูโนรีบวิ่งกลับมาก่อนจะคุกเข่าแล้วถามถึงอาการขององค์จักรพรรดินี
องค์จักรพรรดินีนั้นสวมชุดนอนอยู่ แก้มของพระองค์นั้นยุบลงไปผิวหนังของพระองค์นั้นแห้งกร้านไม่มีความสง่างามเหลืออยู่เลย สภาพอาการของพระองค์นั้นเป็นผู้ป่วยที่ดูน่าสงสารเป็นอย่างมากราวกับมีเงาแห่งความตายล้อมรอบเธอไว้แล้ว
ฟาร์มาได้แต่จ้องมองเธอจากระยะไกล
“โปรดบอกเราที่ ด้วยความสัตย์จริง เราจะ… เราจะหายดีได้หรือไม่?”
บรูโนได้แสดงท่าทีที่อ่อนโยนพร้อมกับฟังเสียงที่ยอมแพ้ต่อโรคขององค์จักรพรรดินี
เป็นด้านที่คาดไม่ถึงสำหรับบรูโนผู้จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดินี อีกมุมหนึ่งของพ่อเขาที่แตกต่างจากชายที่เข้มงวดในเรื่องการแสดงออกที่ฟาร์มารู้จัก
“โปรดวางพระทัย กระหม่อมนั้นมาที่นี่เพราะเหตุนี้อยู่แล้ว ฝ่าบาทจะต้องหายในเร็ววันนี้อย่างแน่นอนและกระหม่อมก็ได้เตรียมยาคุณภาพดีไว้แล้ว”
มันคือยาระงับประสาท
บรูโน่ได้เตรียมยาที่มีพิษอ่อนๆ ไม่มากพอที่จะทำให้เสียชีวิต พวกเขาตอนนี้ละทิ้งการรักษาแบบเชิงรุกและเปลี่ยนไปเป็นการใช้ยากล่อมประสาทเพื่อประคับประคองอาการ ซึ่งแพทย์หลวงก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่บรูโนนั้นไม่ให้ฟาร์มาเห็นการผสมยาครั้งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ฟาร์มารู้ว่าพวกเขานั้นยอมแพ้ให้กับการรักษานี้แล้ว
(เห็นได้ชัดว่าพระองค์ป่วยหนักมาก…แต่)
ตัวฟาร์มาเองนั้นหวังว่าตนจะสามารถแสดงทักษะของตัวเองในฐานะแพทย์โอสถหลวงบ้าง แต่พ่อของเขากลับโยนโอกาสนั้นทิ้งไปพร้อมกับยอมแพ้ในการรักษาด้วยความเศร้าโศกและเริ่มเข้าสู่ช่วงประคองอาการ
“ได้โปรดหายใจเข้าออกช้าๆ พระองค์จะรู้สึกวิงเวียนบ้างในช่วงแรก”
อาการเจ็บปวดขององค์จักรพรรดินีทุเลาลงมาบ้างเมื่อได้รับยากล่อม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสารเสพติดนั้นจะลดอาการเจ็บปวดของเธอได้
“ช่วยไปเรียกนักบวชมาที พระองค์อาจจะไม่สามารถอยู่พ้นคืนนี้ได้”
คล็อตหัวหน้าแพทย์หลวงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่และส่ายศีรษะตอนก่อนจะแจ้งให้ผู้ช่วยและเหล่าข้าราชบริพารที่เชื่อถือได้ให้เก็บเป็นความลับไว้
ขณะที่กลิ่นอายของยาโชยเข้าหาองค์จักรพรรดินี ดวงตาของพระองค์ก็เริ่มปิด เหล่านักบวชได้เข้ามาสวดมนต์เพื่อนำทางพระองค์ให้พบกับความสงบ นอกเหนือจากการผ่อนคลายลดความเจ็บปวดให้กับพระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้แล้ว และรอให้พระองค์นั้นจากไปอย่างสงบ
(ไม่มีใครคิดจะรักษาพระองค์เลยงั้นเหรอ?)
ฟาร์มาผู้เห็นทุกสิ่งด้วยตาของเขาเองไม่ยอมรับในการรักษาแบบนี้อย่างเด็ดขาด
ฟาร์มาตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการรักษาองค์จักรพรรดินีและปล่อยให้พ่อของเขานั้นจัดการในฐานะแพทย์โอสถหลวงเพื่อรักษาเกียรติของพ่อเขาเองนอกจากนี้ตามกฎแล้วเขายังไม่สามารถให้การตรวจหรือรักษาได้อีกด้วยตามกฎหมายของญี่ปุ่นแล้วเภสัชกรนั้นจะไม่สามารถทำการวางแผนการรักษาใดๆ ได้จนกว่าแพทย์จะทำการตรวจร่างกายของผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งพ่อของเขาที่ได้ละทิ้งการรักษาไปแล้วและคงจะไม่สนใจคำพูดของฟาร์มาที่เขามองว่าขาดประสบการณ์ด้วย
(จะปล่อยผู้ป่วยไปทั้งแบบนี้หรือ?)
ฟาร์มาไม่สนใจที่จะต้องมาอยู่ภายใต้การควบคุมพ่อของเขาอีกต่อไป เขาได้วางนิ้วมือซ้ายไว้ที่ดวงตาซ้ายของเขาและพลังแห่งเทพก็ถูกส่งไปยังปลายนิ้วนิ้วของเขาเปล่งแสงสีเขียวอมฟ้าออกมาเป็นบางส่วน ในเวลานี้เองเขาได้เปิดใช้
[ดวงตาวินิจฉัย]
เมื่อฟาร์มาใช้งาน [ดวงตาวินิจฉัย] แสงสีต่างๆ มากมายผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา เมื่อเขามองไปที่ปอดทั้งสองข้างนั้นกำลังทุกข์ทรมานจากโรคเขาได้เห็นสีซีดจางๆ จากแผลนับไม่ถ้วนบนร่างกาย เสียงอวัยวะที่ส่งเสียงร้องโหยหวนจากอาการเจ็บป่วย
(งานยากซะแล้วสิ…. ได้โปรดให้อภัยผมด้วยนะครับถ้าหากผิดพลาดไป)
ฟาร์มาก้มหัวพร้อมกับเปล่งเสียงออกมาเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครได้ยินและกล่าวชื่อโรคขึ้นมาอย่างเงียบๆ ถ้าตอนนี้เขาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจะมีสถานที่ที่สามารถตรวจเลือดได้รวมถึงข้อมูลต่างๆ จากการตรวจสแกนอย่างละเอียด แต่เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวไม่ได้มีอยู่ ณ ที่แห่งนี้เลยฟาร์มาจึงไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
แม้ว่า [ดวงตาวินิจฉัย] จะสามารถเห็นถึงสีจางๆ บนจุดที่มีโรคอยู่ได้แต่บางทีถ้าหากเป็นโรคจำพวกเนื้องอกมันจะสามารถตรวจพบไหม จะให้พูดคือ [ดวงตาวินิจฉัย] ถ้ามันแสดงผลเพียงการวิเคราะห์แบบทั่วไปแล้วเขาคงไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแต่กลับกันมันสามารถรู้ได้ถึงอาการผิดปกติทุกประเภทแม้กระทั่งไข้หวัดหรือโรคหลอดลมอักเสบมันก็มีปฏิกิริยายาตอบสนอง
“มะเร็งปอด, ถุงลมโป่งพอง, ปอดบวม”
เขาค่อยๆ กล่าวชื่อโรคต่างๆ ออกมาแม้จะเป็นโรคที่มีโอกาสเป็นน้อยมากก็ตามทีแต่แสงสีฟ้าของมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
(ต่างกันงั้นหรือ? หรือจะเป็นโรคที่มีแค่ในโลกนี้?)
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงคงจะเป็นเรื่องยากมากหากจะจัดการเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดนี่คือโลกคู่ขนานที่อยู่ในช่วงยุโรปยุคกลาง
(….จริงด้วย)
เขานึกถึงวัฒนธรรมและอารยธรรมในยุคกลางของโลกคู่ขนานนี้
มันเป็นโรคที่กล่าวกันว่าหมดไปแล้วในประเทศญี่ปุ่นสมัยใหม่ แต่ก็ยังคงไม่สามารถละเลยได้เพราะมันยังเกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนาของโลกเขาอยู่
เขาจ้องมองไปยังองค์จักรพรรดินีที่ยังสาวแล้วตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดผลลัพธ์ที่ได้นั้นคือ
“วัณโรคปอด”
ผลของ [ดวงตาวินิจฉัย] แผลที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีฟ้าอ่อนเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจดั่งดวงวิญญาณของคนตายที่ถูกชำระล้างเรียบร้อยแล้ว
ในโลกนี้เราเรียกมันว่า ฝีในท้อง แต่หากเป็นยุคกลางของโลกก่อนนั้นจะเรียกกันว่า
โรคห่าขาว (white plague) และเป็นโรคไม่มีทางรักษาได้ในยุคนั้น
___________