นที่ 9 หัวหน้าแพทย์โอสถหลวงและการทำงานของเภสัชกรผู้กลับชาติมาเกิด
——–
ดูเหมือนว่าจะมีทหารบางนายเข้าไปแจ้งสภาพอาการของจักรพรรดินีทำให้
องค์ชาย รีบวิ่งมายังห้องบรรทมของจักรพรรดินี เขาตรงไปยังบรูโนและขอให้เขาหยุดการให้ยาสักครู่ แม้ว่าการรักษาจะยังไม่เสร็จแต่บรูโนก็ยอมปล่อยให้เขาเข้าไป
องค์ชายร้องไห้และเรียกชื่อแม่ของเขาอยู่ข้างเตียง เอลิซาเบทใช้มือลูบศีรษะของเขามันไม่ใช่มือของจักรพรรดินีเอลิซาเบทผู้ซึ่งรวมทั้งทวีปให้เป็นหนึ่งเดียวแต่เป็นเพียงมือของแม่ที่ปลอบโยนลูกน้อยของเธอเท่านั้น
องค์ชายจะเป็นเช่นไรหลังจากเธอเสียชีวิตไปกัน? ความคิดดังกล่าวได้ผ่านเข้ามาในใจของเธอ
ฟาร์มาที่เห็นนั้นรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากกับเด็กน้อยที่มองแม่ของตัวเองกำลังจะตาย
ฟาร์มาที่ยังคงใช้นิ้วติดกับตาซ้ายของเขาอยู่นั้นและคิดเกี่ยวกับการรักษาอย่างแรกนั้นคือการใช้ สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1943 แต่ฟาร์มาตัดมันออกไปเนื่องจากมันจำเป็นต้องใช้เข็มฉีดยา เขาเลยตัดสินใจเลือกวิธีที่ต้องผ่านทางช่องปากแทน (Oral administration) นอกจากนั้นหากเขาผสมตัวยาต่างๆ เข้าด้วยกันแล้วเขายังต้องระวังการดื้อยาของโรคตัวนี้ด้วย
“ไอโซไนอาซิด (Isoniazid) ”
“ไพราซินาไมด์ (Pyrazinamide) ”
“อีแทมบูทอล (Ethambutol) ”
ฟาร์มานำยา3ชนิดนี้ขึ้นมาเป็นตัวหลักในการรักษา แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะต้องการ 4 ชนิดด้วยกันแต่ความสามารถ [สร้างสสาร] เมื่อเขาหลับตาลงและนึกถึงส่วนผสมองค์ประกอบอย่างแน่นอนได้เพียง 3 ชนิดเท่านั้น มันเป็นเรื่องยากที่จะจำสารประกอบโมเลกุลยาแม้เขาจะเขียนสูตรยาและโครงสร้างของยาได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายตัวที่เขาไม่สามารถจำมันออกมาได้ทั้งหมด
แสงที่ส่องมาจาก [ดวงตาวินิจฉัย] ได้กระจายหายไปหลังจากเขากล่าวชื่อทั้ง3ออกมาแต่เมื่อลองสังเกตดีๆ ก็ยังเห็นแสงเทาสลัวออกมาอยู่ ฟาร์มารู้สึกกังวลกับเรื่องนี้อยู่มาก
(เราควรจะเพิ่มตัวที่ 4 เข้าไปอยู่ดีสินะ?)
เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการยาตัวที่4มาเพื่อเป็นหลักประกันไว้
(การสร้างนั้นจำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งทางใจเข้ามาช่วยผนึกกำลังคิดกับสมอง)
เขาเริ่มจ้องมองยังสูตรโครงสร้างที่เขาเขียนลงบนกระดาษและปิดตาของเขาด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีของเขาในตอนนี้
“ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ”
มันเป็นของที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากที่สุด แต่ก็จำเป็นสำหรับส่วนประกอบสำคัญในการรักษา
แสงสีขาวได้จางหายไป
“ฝ่าบาท”
เขาพับผ้าเช็ดหน้าขนาดใหญ่ปิดปากของเขาและผูกมันไว้หลังศีรษะแทนหน้ากากชั่วคราว
ฟาร์มาตัดสินใจตรงไปยังจักรพรรดินีแล้วโค้งคำนับก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ขอให้กระหม่อมถวายการรักษาพระองค์ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดินีเอลิซาเบทที่ 2 ที่อ่อนล้าได้มองดูเขาด้วยความว่างเปล่า
“นี่..นี่เจ้าพูดอะไรกัน?”
เสียงของใครบางคนกล่าว มันแน่นอนอยู่แล้วหากรับการรักษาแล้วเกิดความผิดพลาด สภาพของผู้ป่วยอาจจะเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันและอาจจะเสียชีวิตไปก่อนผลของยาจะออกฤทธิ์ แม้จะคิดถึงเรื่องนั้นแล้วเขาก็ยังคงประคองตัวเองไว้และมั่นใจในคำพูดของตน
“กระหม่อมจะปรุงยาสูตรพิเศษให้พ่ะย่ะค่ะ”
หากมองโดยละเอียดแล้วฟาร์มา เดอ เมดิซิสเป็นเพียงแพทย์โอสถฝึกหัดอายุ10ปีเท่านั้น ดังนั้นเรื่องความสามารถทักษะและความรู้ย่อมน้อยกว่าแพทย์หลวงและพ่อของเขาด้วย เขารู้สึกได้ถึงเสียงสบประมาทเขาจากพวกแพทย์หลวงที่ตั้งใจพูดให้เขาได้ยินว่า “เจ้าเด็กฝึกหัดคนนั้นมันไม่รู้จักจุดยืนของตัวเองเลยหรือไงกัน” พวกเขาไม่ได้รู้สึกสนใจเรื่องไร้สาระของเด็กน้อยคนนี้เลย
“ฟาร์มา! กลับมาเดี๋ยวนี้!”
พ่อของเขาบรูโนตะโกนใส่เขาด้วยท่าที่ข่มขู่อย่างมาก บรูโน่พุ่งเข้าไปหาฟาร์มาและจับดัดแขนเขาไขว้หลังก่อนพาเขาออกจากห้องไป
ขอร้องเถอะอย่าทำอะไรไม่เข้าเรื่องอีก――.
มันเขียนอยู่เต็มใบหน้าของบรูโน
บรูโนกล่าวขอโทษขณะที่ลากฟาร์มาไปด้วย
“ฝ่าบาทโปรดอภัยกับบุตรของกระหม่อมที่หยาบคายด้วย กระหม่อมจะรีบพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้”
“โปรดรอก่อน”
จักรพรรดินีกล่าวกับบรูโนก่อนจะมองไปรอบๆ ยังข้าราชบริพารและแพทย์หลวงที่เรียงรายกันอยู่
“ที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือ?”
ทุกๆ คนทั้งแพทย์หลวงและโอสถแพทย์ต่างก้มหน้าและปิดปากเอาไว้
“ยารักษาตัวใหม่ถูกค้นพบงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นเราป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?”
เหล่าข้าราชบริพารหลายคนต่างหันหน้าหนีจากแรงกดดันของจักรพรรดินี ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากคนอื่นๆ เธอจึงมองกลับไปยังฟาร์มา
“เจ้ารู้… สินะ.”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาก้มตัวลง
ชั่วชีวิตของจักรพรรดินีผู้มีพลังแห่งเทพมากกว่าผู้ใด ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกทีในตอนนี้เธอควรจะเชื่อฟังและรับการรักษาจากแพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวง
มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากหากจะมาเชื่อคำพูดไร้สาระของเด็กคนนี้ เหมือนกับการเสี่ยงดวงเลยด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างนั้นเธอได้เห็นถึงความมั่นใจอันแน่วแน่มาจากดวงตาของเด็กชาย ตาของเขานั้นไม่ได้ถูกบดบังด้วยสิ่งใดและดูเหมือนจะเข้าใจถึงสิ่งนี้อย่างแท้จริงอีกด้วย
“เราจะขอมอบโชคชะตาของเราฝากไว้บนมือเจ้าก็แล้วกัน”
ดวงตาของฟาร์มาและจักรพรรดินีได้ประสานกัน
“เราขอความกรุณาด้วย”
จักรพรรดินีได้รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายของเธอก้มตัวลง ไหล่ของเธอช่างดูอ่อนช้อยอย่างมาก
“กระหม่อมจะพยายามพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาได้เผชิญหน้ากับผู้ป่วยที่ฝากชีวิตของเธอทั้งหมดให้เขาดูแล
เขาไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว
ทั้งแพทย์หลวงและพ่อของเขาบรูโนผู้อยู่ภายในห้องของจักรพรรดินีได้แต่ยืนนิ่ง ไม่มีใครสามารถรบกวนฟาร์มาได้อีกต่อไป ในขณะที่ฟาร์มาได้รวบรวมตัวอย่างน้ำลายของจักรพรรดินีและออกจากห้องไปเขาพูดขึ้นมาว่า “ผมขอยืมใช้ห้องวิจัยหน่อยนะครับ” ก่อนเขาจะขังตัวเองอยู่ข้างในนั้น
“เดี๋ยวก่อนฟาร์มา!”
หลังจากกล่าวลาจักรพรรดินีและองค์ชายพ่อของเขาก็ตามออกมาและพยายามเปิดประตูห้องทดลองแต่มันกลับไปขยับ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินเสียงของพ่อเขากำลังเขย่าประตูอย่างรุนแรง ฟาร์มาได้หยดตัวอย่างน้ำลายลงบนจานแก้วอย่างเชี่ยวชาญ ข้างๆ ของเขามีขวดขนาดเล็กที่บรรจุสารเคมีต่างๆ เรียงรายอยู่บนโต๊ะ เขาเอาหลอดแก้วตักสารทดลองขึ้นมาด้วยความรวดเร็วก่อนจะนำไปอุ่นด้วยเปลวไฟจากโคมไฟ จากนั้นก็หยิบสารเคมีหยดลงไปในตัวอย่างน้ำลาย
เขาหยิบเอาอุปกรณ์ที่เหมือนกับของเล่นโลหะขึ้นมาแล้ววางแก้วไว้ข้างบนนั้นก่อนจะนำมันขึ้นมาไว้ใกล้กับแสงโคมไฟแล้วส่องผ่านสิ่งนั้นไปยังจานแก้ว
(เข้าใจแล้ว)
จากนั้นฟาร์มาที่เชื่อว่าพ่อของเขาอาจจะทำลายประตูด้วยศาสตร์แห่งเทพก็ได้จึงไปปลดล็อกประตูห้อง
ภายในห้องวิจัยที่มีเพียงสองพ่อลูกใต้แสงเทียนได้เกิดบรรยากาศที่หนักอึ้งถึงขึ้นตึงเครียดนั้น
“พูดออกมา! เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!”
จากมุมมองพ่อของเขา ฟาร์มาดูเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่างที่น่าสงสัย
“เจ้ากำลังจะทำอะไรกันแน่? นี่มันไม่ใช่งานอะไรของเจ้าเลยนะหยุดมันเดี๋ยวนี้!!”
บรูโนนั้นโกรธจนเสียงสั่นจากการถามในสิ่งที่ฟาร์มากำลังทำ
“ตอนนี้ผมกำลังเตรียมยาให้กับจักรพรรดินีอยู่ครับ”
“เจ้าลูกโง่!”
บรูโนตะโกนออกมาแล้วพูดกับฟาร์มาต่อ
“ไม่มีแพทย์ที่ไหนบนโลกนี้ที่สามารถรักษาโรคฝีในท้องนี้ได้หรอก! อย่ามาคุยโวเรื่องยารักษาตัวใหม่หน่อยเลย”
(หา? เมื่อกี้เขาพึ่งพูดว่าโรคฝีในท้องเหรอ?)
ฟาร์มาหยุดมือของเขา
“น่าแปลกนะครับที่ท่านพ่อวินิจฉัยมันได้ว่าเป็นโรคฝีในท้อง? ท่านพ่อรู้จักมันได้ยังไงเหรอครับ?”
ในบรรดาหมู่แพทย์มีเพียงพ่อของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าจักรพรรดินีเป็นวัณโรค แพทย์หลวงระบุว่าร่างกายของเธอเข้าสู่สภาวะการทำงานล้มเหลวเนื่องจากหมู่ดาวเคลื่อนตัว ตอนนี้
ฟาร์มาคิดว่าพ่อเขาก็เป็นแพทย์โอสถคนหนึ่งที่มีไหวพริบและนั่นหมายความว่าเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถของพ่อเขาไป
“ก็เพราะมันทำปฏิกิริยากับยาของพ่อน่ะสิซึ่งมันเป็นสัญญาณว่านั่นคือโรคฝีในท้องยังไงล่ะ พ่อจะแสดงหลักฐานให้เจ้าดู!”
พ่อของเขาได้ผสมยาที่ทำด้วยมือและน้ำลายของจักรพรรดินีที่ได้มาเมื่อไม่นานมานี้
(หากคิดย้อนกลับไป…)
ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจกับกระบวนการนี้ที่คล้ายคลึงกับการทดสอบเชื้อวัณโรคเขาสงสัยว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า เพราะไม่มีแนวทางการปฏิบัติหรือวิธีการปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มใดในคฤหาสน์ของเขาเลยนอกจากนั้นในเวลาปกติแล้วเขามักจะเห็นพ่อของเขาเต้นเหมือนกับคนบ้าอยู่ในสวนสมุนไพรกลางดึก ในขณะที่เขาง่วนอยู่กับการทดลองยาและฝึกใช้ศาสตร์แห่งเทพ ทั้งที่นั่นน่าจะเป็นวิธีการสร้างยาของพ่อเขาแท้ๆ
(แต่มันกลับได้ผล!?)
ฟาร์มาประหลาดใจอย่างมาก
“มันมีอยู่ในหนังสือเล่มไหนหรือครับ?”
“มันเป็นทักษะใหม่ที่พ่อคิดค้นขึ้น ไม่มีในหนังสือหรอก คิดว่าพ่อเป็นใครกัน?”
บรูโน เดอ เมดิซิส หนึ่งในสามโอสถแพทย์หลวงแห่งทวีปนี้และนอกเหนือจากนั้นเขายังเป็น
แกรนดยุกผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของวิทยาลัยยาแห่งเมืองหลวงอีกด้วย
หากเทียบว่าฟาร์มาเป็นนักเภสัชวิทยาที่มีชื่อเสียงในโลกก่อน
บรูโนก็เป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้าด้านเภสัชเคมีในแขนงนี้เลย
บรูโนและเอเลนบอกว่าพวกเขานั้นสามารถสร้างผลพิเศษให้กับตัวสมุนไพรด้วยการถ่ายเทพลังของพวกเขาเข้าไป ซึ่งบรูโน่เป็นคนแรกของโลกใบนี้ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพลังแห่งเทพที่มีต่อสมุนไพรอย่างเป็นขั้นตอนได้ และทำให้เขาคิดค้นยาแผนโบราณขึ้นมาได้เป็นจำนวนมาก
(งั้นเหรอ นี่สินะความต่างของโลกคู่ขนาน…?)
ฟาร์มารู้สึกผิดเมื่อมองพ่อของเขาด้วยมุมมองเพียงด้านเดียว บางทียาที่เขาได้รับให้ไปส่งกับเอเลนและยาที่เขาได้รับหลังจากโดนฟ้าผ่าต่างก็มีประสิทธิภาพทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมนต์ที่รับการปลุกเสกจากพลังแห่งเทพนั่นคือเรื่องที่เขามองข้ามไป
ในโลกแห่งนี้ศาสตร์แห่งเทพเป็นเรื่องที่ลึกลับทำให้ตัวเขาสรุปได้เลยว่าไม่จำเป็นต้องตั้งสมมุติฐานหรือตรวจสอบมันตามหลักวิทยาศาสตร์เลยทั้งน้ำมนต์หรือพลังแห่งเทพทั้งหลาย แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องในฐานะนักเภสัชวิทยาแต่ต้องยอมรับว่าโลกนี้มีวิธีที่ต่างกันไป
ฟาร์มารู้สึกประทับใจในตัวของพ่อเขาที่กำลังแสดงท่าทีสงสัยต่อฟาร์มาอยู่
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทำไมท่านพ่อถึงทำแบบนี้ล่ะครับ? เรื่องที่ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่ามันคือโรคอะไรเมื่อกี้ก็ด้วย? แล้วพ่อรู้เรื่องโรคนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแล้วครับ?”
เขากล่าวว่าการวินิจฉัยโรคเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนแล้วแต่เมื่อพ่อของเขามาถึงอาการของโรคนั้นก็รุนแรงขึ้นถึง30เท่าจากที่เป็นอยู่ก่อนแล้วทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
“ทำไมพ่อถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้ารู้ไหม? เพราะโรคฝีในท้อง (วัณโรค) มันเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้น่ะสิและแพทย์โอสถที่เข้ารับการรักษามักจะติดโรคจากผู้ป่วยเสมอ แล้วเจ้าจะทำยังไงหากติดโรคจากจักรพรรดินี? นี่แหละเป็นเรื่องที่เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่เข้าใจยังไงล่ะ”
นั่นเป็นเหตุที่ทำให้แม้เขาจะวินิจฉัยโรคได้แล้วแต่ก็ยังพยายามเล่นไปตามน้ำกับแพทย์หลวง
“การพยายามรักษาจักรพรรดินีที่ป่วยเป็นโรคนี้นั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลย อย่าให้พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้เลย แล้วพ่อก็ไม่เคยเห็นหัตถ์แห่งการสัมผัสจะรักษาโรคได้เลยตั้งแต่ในอดีต”
ในโลกนี้มีตำนานที่กล่าวไว้ว่าราชานั้นมีความสามารถที่เรียกกันว่า [หัตถ์แห่งการสัมผัส] ซึ่งมีความสามารถรักษาทุกโรคได้ด้วยการสัมผัส
ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดินีนั้นเป็นวัณโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ หาเรื่องนี้หลุดรอดออกไปผู้คนย่อมรู้ว่านั่นเป็นฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น นั่นอาจจะทำให้เกิดข่าวลือว่าพระองค์ถูกสวรรค์ลงโทษก็เป็นได้มันจะส่งผลต่อความมั่นคงและเกียรติของจักรพรรดินีด้วย
“เจ้าอย่าพูดเรื่องไร้สาระอย่างเช่นยาตัวใหม่ที่สามารถรักษาโรคฝีในท้องที่ไม่มีอยู่จริงนี้อีกนะ! เป็นยาที่ได้รับการรับรองจากโนว่ารูตแล้วหรือเปล่า? หากไม่มันก็แค่ความคิดไร้สาระที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ของเด็กเท่านั้นแหละ!”
พ่อของเขาที่ซึ่งได้รับข้อมูลทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนว่ารูตซึ่งเป็นมหาลัยแพทย์อันดับหนึ่งของโลกมาเสมอ บรูโนได้ตักเตือนฟาร์มาอย่างจริงจังเกี่ยวกับการหลอกลวงผู้ป่วย มันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมากหากใช้ยาที่มีสรรพคุณลวงว่าสามารถรักษาโรคให้กับจักรพรรดินีได้
บรูโนบอกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดของจักรพรรดินี้ไว้หมดแล้ว
(ท่านพ่อ…คุณเป็นแพทย์โอสถที่ยอดเยี่ยมจริงๆ)
ฟาร์มาได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อพ่อของเขาใหม่ทั้งหมดและตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกลึกๆ ที่เคารพพ่อของเขาจากใจจริง เนื่องจากพ่อของเขานั้นก็มีอาการไอแห้งในหลายวันมานี้เพราะเขาติดเชื้อวัณโรคอย่างแน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตาวินิจฉัยเลย บรูโนนั้นทุ่มเทไปกับการรักษาจักรพรรดินีแม้จะรู้ว่าเธอเป็นวัณโรคก็ตามทีโดยพยายามหาทางรักษาโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเลย
ฟาร์มาพูดกับพ่อของเขา
“ขอบคุณที่ท่านพ่อเป็นห่วงนะครับ ถึงจะรู้อยู่แล้วท่านพ่อก็ยังอุทิศการรักษาให้กับจักรพรรดินีจนถึงที่สุด”
“นั่นเป็นสื่งที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้แล้ว”
ฟาร์มาพยักหน้าให้กับพ่อเขาเพราะเชื่อว่านั่นเป็นความสามารถทั้งหมดที่พ่อเขาพอจะทำได้แล้ว
“ยาสูตรพิเศษจะเสร็จแล้วครับ”
“อย่ามาเหลวไหลนะ!”
“ไม่ได้โกหกนะครับแล้วท่านพ่อก็ควรดื่มมันเข้าไปด้วย”
“…!”
บรูโน่รู้สึกตกใจอย่างมากกับคำพูดของลูกชายเขาและยังสังเกตเห็นด้วยว่าเขาก็เป็นฝีในท้องเหมือนกันทั้งๆ ที่ปิดมันไว้เป็นความลับ
ฟาร์มาได้เสกน้ำออกมาแล้วล้างมืออย่างระมัดระวังก่อนจะเช็ดด้วยผ้าแห้ง จากนั้นเขาก็หยิบขวดกับกระติกน้ำออกมาจากกระเป๋าแล้ววางไว้บนโต๊ะ
เขาหันหลังให้กับพ่อของเขาอยู่จึงทำให้พ่อของเขามองไม่เห็นมือซ้ายของเขาที่กำลังถือขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วอยู่
(พวกเขาจะดื่มพวกน้ำเชื่อมหวานๆ ได้หรือเปล่านะ?)
โพชั่น (ยาเหลว) เป็นยาที่ใช่กันอย่างแพร่หลายในโลกแห่งนี้ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดี มันสามารถดื่มได้ง่ายและมีรสออกไปทางจืดปนขม แต่กับผู้ป่วยที่มีอาการไออย่างรุนแรงอาจจะเป็นเรื่องยากในการดื่มมัน ดังนั้นฟาร์มาาจึงคิดบางอย่างขึ้นมา
“หันกลับมาก่อนฟาร์มา! หืม!?”
พ่อของเขามองเห็นแสงสีอ่อนๆ ออกมา นั่นคือแสงจากการสร้างสสาร ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการใช้ศาสตร์แห่งวารี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขานึกถึงสูตรโครงสร้างของยาหลักทั้ง3ตัวก่อนหน้านี้จากนั้นก็ทำการผสมมันลงในขวดด้วยปริมาณที่เหมาะสม ก่อนจะเริ่มเขียนโครงสร้างเกี่ยวกับยาที่มีความซับซ้อนมากที่สุด ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) เขานำมันเข้าไปสร้างเป็นจินตภาพภายในหัวของเขาจนในที่สุดเขาก็สามารถสร้างตัวยาขึ้นมาได้จากนั้นเขาก็เติมน้ำเชื่อมเข้าไปเล็กน้อยลงไปในขวดก่อนจะนำยารักษาที่สร้างเสร็จแล้วไปให้พ่อของเขาดู
“เดี๋ยวก่อนนะ เจ้ากำลังใช้ศาสตร์แห่งเทพงั้นหรือ? ทำไมถึงปิดมันกับพ่อไว้ล่ะ? แล้วนั่นเจ้าผสมอะไรเข้าไปกัน?!”
เขาเหย่าขวดยาเพื่อให้ตัวยาผสมกันจนออกมาดูเหมือนเขาทำน้ำเชื่อมเหนียวๆ
“ถ้าเจ้าอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรมันก็เป็นได้แค่ยาพิษเท่านั้น! แล้วเจ้ามีข้อแก้ตัวอะไรไหม!?”
พ่อของเขาที่เริ่มจะหมดความอดทนจนถึงขีดจำกัด ได้ยกคทาแห่งเทพสีทองขึ้นมาชี้ไปทางฟาร์มา
คทแห่งเทพก็เป็นดั่งดาบของเหล่าชนชั้นสูง
ฟาร์มาจำสิ่งที่เอเลนบอกกับเขาได้ สำหรับบรูโนนั้นก็เป็นเหมือนการสอนเชิงดาบให้กับลูกของตัวเอง
“วางคทาแห่งเทพลงเถอะครับ ท่านพ่ออยากจะให้น้ำท่วมห้องวิจัยนี้เหรอครับ?”
ถึงจะเป็นอย่างนั้นบรูโนก็หาได้สนใจคำพูดนั้นไม่ ฟาร์มาวางขวดยาลงบนโต๊ะ
“ดาบน้ำแข็งร่ายรำ!”
หลักจากบรูโน่ร่ายศาสตร์แห่งเทพก็มีเสาน้ำแข็งพุ่งไปยังกระติกน้ำร้อนที่อยู่บนโต๊ะ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฟาร์มาได้รับบาดเจ็บซึ่งดูจากวิธีการยิ่งที่เลี่ยงตัวเขาออกไปแล้ว
(เขายิงมันออกมางั้นเหรอ!)
สิ่งที่เหมือนกับมีดน้ำแข็งถูกสร้างขึ้นมาซึ่งฟาร์มาเข้าใจดีอยู่แล้วเนื่องจากธาตุของพ่อเขานั้นคือน้ำ
ฟาร์มาได้เหยียดมือขวาของเขาออกมาเพื่อปกป้องยาเอาไว้
(ลบล้าง!)
เขานึกถึงโครงสร้างโมเลกุลของน้ำแข็งและส่งพลังไปยังมือขวาก่อนที่จะใช้มือนั้นปัดออกไป มีดน้ำแข็งที่พุ่งเข้าไปหายานั้นได้ถูกมือขวาของเขาลบหายไป
ก่อนที่เขาจะยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อสร้างกำแพงน้ำแข็งซึ่งกันระหว่างตัวเขากับพ่ออย่างสมบูรณ์
ทำทุกอย่างด้วยมือเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งบทร่ายหรือคทาแห่งเทพ กำแพงป้องกันที่สมบูรณ์แบบ
บรูโนไม่สามารถโจมตีฟาร์มาได้อีกต่อไป ธาตุของเขานั้นคือน้ำซึ่งความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของเขาคือ [เชิงบวก] (สามารถแปลงของเหลวจำพวกน้ำให้เป็นของแข็งอย่างน้ำแข็งได้) แต่เขาไม่สามารถลบผลจากส่วนที่เป็น [เชิงลบ] (เปลี่ยนของแข็งให้เป็นของเหลวหรือสลายสสารที่สร้างจากน้ำไป)
“อะไรกัน…?”
บรูโนเบิกตากว้างขึ้นด้วยความกลัว เขาไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องมาต่อสู้กับลูกชายของเขาเอง แล้วฟาร์มาก็พูดขึ้นมาจากหลังกำแพงน้ำแข็ง
“ผมจะเอาสิ่งนี้ออกไปแล้วอธิบายสรรพคุณยาต่อหน้าจักรพรรดินีครับ”
“โอ้…”
ทุกสิ่งหลังจากนี้กำลังจะพังทลายลง นั่นคือสิ่งที่บรูโนคิด
“นะ-นี่เจ้า…เป็นใครกันแน่?”
_________