ตอนที่ 10 กล้องจุลทรรศน์เลนส์เดียวและการค้นพบเชื้อวัณโรคบาซิลลัส
———–
ฟาร์มา เดอ เมดิซิสบุตรชายคนที่สองของแกรนดยุกบรูโนผู้ซึ่งแตกต่างจากปาลเล่บุตรชายคนโตและเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลเมดิซิส ส่วนฟาร์มานั้นจะเป็นแพทย์โอสถหลวงในอนาคต จึงทำให้พ่อของเขาบรูโนเข้มงวดกับตัวเขาตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้ฟาร์มาสามารถอดทนต่อหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของแพทย์โอสถหลวงด้วยความรู้สึกที่เข้มแข็ง
เขาให้ลูกของตนจัดการกับสมุนไพรที่มีความอันตรายสูงแม้จะทำให้ลูกของเขาต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม ฟาร์มาผู้เหน็ดเหนื่อยกับการฝึกฝนศาสตร์แห่งเทพตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นได้แต่ร้องไห้ออกมาเพราะอยากจะออกไปเล่นเหมือนกับคนอื่นๆบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไปเขาได้ปลูกฝังความกลัวให้กับลูกของตนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา
มันไม่ใช่การใช้แส้แห่งความรักในการสั่งสอน บรูโนที่เผลอเข้มงวดกับลูกตัวเองมากจนเกินไปนั้นได้หยุดการชี้นำฟาร์มาโดยตรงและยกหน้าที่ในการฝึกอบรมด้านแพทย์โอสถและศาสตร์แห่งเทพให้กับเอเลโอนอร์ บอนฟัว ศิษย์ที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือที่สุดของบรูโนและดูเหมือนว่าเอเลโอนอร์จะสามารถสอนฟาร์มาได้ออกมาดีเลยทีเดียว แม้ช่วงหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้มีเวลาเฝ้าดูการเติบโตของลูกตัวเองโดยตรงก็ตามที
แพทย์โอสถนั้นมีความเป็นอยู่ที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยเนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นและโแพทย์โอสถนั้นต้องมีจิตใจที่กระตือรือร้นเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าทักษะความสามารถ ใบหน้าที่จริงใจเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับความเชื่อถือกลับมา บรูโนนั้นไม่เคยจะสนใจที่จะทำความเข้าใจในตัวลูกชายของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดหรือความฝันก็ตาม
บรูโน่นั้นไม่ค่อยรู้เรื่องของฟาร์มาดีนักแต่เขาก็ตระหนักได้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่ฟาร์มาที่เขารู้จักแน่นอน
บรูโนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันและเขารู้สึกอับอายกับเรื่องนี้อย่างมาก
เขาได้หยิบสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋าของฟาร์มาที่อยู่ข้างๆเขาและพลิกหน้ากระดาษไปมา
ฟาร์มาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงน้ำแข็งไม่สามารถหยุดพ่อของเขาได้
บรูโนถึงกับหน้าซีด
สมุดบันทึกที่ฟาร์มาเขียนนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อไม่ให้ใครสามารถอ่านมันได้ เขารู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันที่สมุดบันทึกของเขาถูกหยิบเอาไปแบบคาดไม่ถึงถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะไม่สามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นออกได้ก็ตามที แต่ข้างในนั้นก็เต็มไปด้วยการบันทึกสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นเวชระเบียนของเหล่าข้ารับใช้ที่เข้าไปตรวจมาหรือประวัติการใช้ยา รวมไปถึงกราฟข้อมูลที่เขาทำไว้เป็นจำนวนมาก สูตรโครงสร้างทางคณิตศาสตร์และเคมีที่อาจจะคล้ายกับรูปลักษณ์ของวงเวทในสายตาพ่อของเขา
“พ่อขอถามอีกครั้งนะ เจ้าเป็นใครกันแน่!”
ในโลกนี้มีตำนานของเด็กลักพากล่าวกันว่ามีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับวิญญาณที่ชั่วร้ายจะทำการลักพาตัวเด็กแล้วเปลี่ยนวิญญาณของเด็กคนนั้นให้กลายเป็นปีศาจและจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ที่เขาคิดเช่นนั้นเพราะด้วยบุคลิกที่แปลกไปของฟาร์มา อักษรที่เขาเขียนนี้ รวมไปถึงการใช้ศาสตร์แห่งเทพโดยไม่ต้องพึ่งคทาแห่งเทพ และตำนานยังกล่าวต่อว่าหากเด็กลักพาถูกล่วงรู้ถึงตัวตนโดยมนุษย์ เด็กคนนั้นจะหายไป เขาคิดถึงความเสี่ยงของลูกชายเขาในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้ลูกชายเขาก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด
“อักษรพวกนี้คืออะไรกัน? นี่ นี่ แล้วก็นี่ด้วย! เจ้าไปเรียนมันมาจากไหนกัน!”
“ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับพวกยาและการแพทย์มาจากความฝันในตอนที่ผมโดนฟ้าผ่าครับรวมถึงตัวอักษรพวกนั้นด้วยก็เช่นกัน”
ฟาร์มาทำการปรุงยาต่อขณะที่กำลังอธิบายให้พ่อของเขาฟัง เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกทั้งหมดเพียงแค่อธิบายไปตามจริงว่าเห็นมันมาจากชีวิตก่อนของเขาภายในห้วงแห่งความฝัน หากไม่ทำเช่นนั้นคำถามต่อๆมาคงจะไม่จบสิ้น เช่น ไปเรียนมาจากใคร หนังสือเล่มไหน
“ระหว่างที่โดนฟ้าผ่างั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ”
ภายในห้องวิจัยนั้นฟาร์มาได้ถกแขนเสื้อของเขาขึ้นแล้วโชว์แผลเป็นที่แขนให้พ่อของเขาดูผ่านน้ำแข็งที่โปร่งใส
“……ตราของเทพโอสถอยู่ในตัวของเจ้า”
“ก็ประมาณนั้นครับ……”
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เขากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว?เขาไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเขายังเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้อยู่หรือเปล่า เนื่องจากฟาร์มาเงียบไปเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณยืนยันให้พ่อของเขาได้รับรู้อีกครั้งก่อนที่พ่อของเขาจะพูดต่อไป
“เข้าใจแล้ว”
สีหน้าบรูโนตอนนี้แตกต่างจากคนที่มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ในเมื่อลูกของตนได้รับพรมาจากเทพโอสถ เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามประสงค์ของเทพผู้พิทักษ์ที่เขาเคารพรักและนับถือ
“ท่านพ่อครับได้โปรดใช้ยาสูตรพิเศษนี้ในการรักษาจักรพรรดินีด้วยครับ”
หากทำเช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นว่าบรูโนคือผู้ผสมยาตัวนี้และทำการรักษาจนสำเร็จเกียรติยศชื่อเสียงที่เขาได้รับนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นแนะแน่นอนว่าเขายังสามารถรักษาตำแหน่งหัวหน้าแพทย์โอสถหลวงได้อีกไปนาน แม้มันจะไม่ดีต่อฟาร์มาแต่เขาคิดว่าพ่อของเขาควรจะเป็นคนนำมันไปใช่จะดีกว่า
“เจ้าต้องนำยาที่ลูกทำไปรักษาพระองค์ด้วยตัวเจ้าเอง”
พ่อของเขาส่ายหัวไปมาเล็กน้อยและกล่าวกับเขาอย่างเคร่งขรึม
“นี่มันเป็นความภูมิใจและความรับผิดชอบในฐานะของแพทย์โอสถ เพราะผู้ป่วยเชื่อว่ายาที่เจ้าปรุงนั้นจะสามารถรักษาเขาได้ดังนั้นเจ้าจงนำมันไปให้ฝ่าบาทด้วยตัวเองเถอะ”
ฟาร์มาเข้าใจดีแล้วว่าพ่อของเขาคือแพทย์โอสถที่แท้จริง โดยไม่ตระหนักถึงอายุที่น้อยของเขาเลย
“เข้าใจแล้วครับ”
ฟาร์มาได้ยกเลิกผลของกำแพงน้ำแข็งแล้วใช้มือขวาจับขวดยาเดินผ่านพ่อของเขาออกจากห้องวิจัยไปก่อนจะทิ้งคำพูดให้กับพ่อเขาไว้
“ฝากให้เป็นหน้าที่ของผมได้เลยครับท่าพ่อ ผมจะช่วยฝ่าบาทเอง”
เป็นเสียงที่พ่อของเขาไม่เคยได้ยินจากฟาร์มามาก่อน ไม่ใช่คำพูดของเด็กหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งในฝีมือ แต่เสียงที่เขาได้ยินนั้นเป็นเสียงที่เหมือนกับคำพูดของพระผู้เป็นเจ้า บรูโนโค้งศีรษะคำนับด้วยความเงียบงันและคุกเข่าลง
เราจะไปหยุดฟาร์มาได้อย่างไร?
ฟาร์มาผู้ถือยาไว้ในมือได้ปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดินีอีกครั้ง
จักรพรรดินีผู้เฝ้ารอการกลับมาของฟาร์มาอย่างใจจดใจจ่อ เธอคาดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก เธอได้รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายไว้เพื่อจะกลับมาจากดินแดนแห่งความตายสู่การมีชีวิตอีกครั้งด้วยการรักษาครั้งสุดท้ายนี้
“ชักช้าเสียจริง จักรพรรดินีกำลังเจ้าอยู่นะแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเจ้ากันล่ะ? เขาหนีไปแล้วเหรอ?”
คล็อดหัวหน้าแพทย์หลวงคว้าตัวของฟาร์มามาถาม เขาคิดว่าแม้กระทั่งบรูโนยังไม่สามารถทำยารักษาจักพรรดินีได้นับประสาอะไรกับเด็กตัวเล็กคนนี้ นี่มันใช่การละเล่นของเด็กๆ เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมากที่บรูโนไม่ได้กลับเข้ามาพร้อมกันในทันทีระหว่างคอยให้กำลังใจองค์จักรพรรดินี
“เราไม่ถือหรอก เข้ามาสิ”
จักรพรรดินีเรียกฟาร์มาเข้าไปหา เพราะก่อนหน้านี้ฟาร์มาได้สวมหน้ากากกันเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศแล้วเขาจึงไม่มีความลังเลที่จะเดินเข้าไปเลย
“สำหรับคำถามนั้นนะครับ ท่านพ่อของผมไม่ได้หนีไปไหนครับ ท่านพ่อกับผมได้ช่วยกันผสมยาให้กับพระองค์อยู่ครับ นี่เป็นยาตัวใหม่ที่ได้ออกมาครับ”
ฟาร์มาได้ให้เกียรติกับการกระทำของพ่อเขาที่ผ่านมาในฐานะแพทย์โอสถ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพูดชื่อพ่อของเขาขึ้นมาในส่วนร่วมการปรุงยาครั้งนี้ด้วย
บรูโนค่อยๆเดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ กลุ่มแพทย์ต่างกลับมามองเขาด้วยสายตาที่ชิงชังเพราะเขาไม่สามารถหยุดยั้งลูกชายของเขาได้นั่นเอง อีกทั้งตอนนี้ตัวเขายังไม่มีท่าทางที่จะเข้าไปหยุดลูกชายของเขาอีกแล้ว
สิ่งที่ฟาร์มาทำให้บรูโนเห็นนั้นได้จารึกอยู่ในความทรงจำของเขาทั้งหมดแล้ว
“ก่อนที่กระหม่อมจะอธิบายถึงสรรพคุณยาตัวใหม่นี้ กระหม่อมอยากแสดงบางอย่างให้ฝ่าบาทได้เห็นดังนั้นขอความร่วมมือจากฝ่าบาทหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฟาร์มาได้ยื่นเครื่องมือโลหะขนาดเล็กให้ก่อนจะแสดงความเคารพต่อจักรพรรดินี
“สิ่งนี้คือ… อะไรกัน?”
จักรพรรดินีหยิบมันขึ้นมาขณะครุ่นคิด มันเป็นเครื่องมือโลหะขนาดเล็ก แล้วฟาร์มาก็หยิบเอาตัวอย่างเสมหะของจักรพรรดินีขึ้นมาและย้อมสีมันก่อนจะวางลงบนแผ่นแก้วแล้วนำไปติดบนแผ่นโลหะนั้น
“ได้โปรดสังเกตดูภายในของเหลวที่นำมาจากร่างกายของพระองค์ผ่านเครื่องนี้ดูพ่ะย่ะค่ะ มองเข้าไปในรูของเครื่องผ่านแสงไฟ…แบบนี้”
เขาเปิดรูเล็กๆขนาดเท่ารูเข็มบนเครื่องโลหะนั้นและบอกให้จักรพรรดินีนำสายตาของเธอเข้ามาใกล้ๆและมองผ่านรูนั้นไป ฟาร์มาขอให้มหาดเล็กในห้องนั้นเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและนำโคมไฟเข้ามาวางใต้เครื่องมืออันนี้เพื่อรับประกันความสว่างภายในนั้น
จักรพรรดินีทำท่าเหมือนไม่ค่อยเชื่อนัก ก่อนจะส่องเข้าไปในรูนั้น
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? นี่เจ้ากำลังเยาะเย้ยฝ่าบาทอยู่งั้นเหรอ!?”
คล็อดหัวหน้าแพทย์หลวงส่งเสียงออกมาด้วยความโกรธ
“เดี๋ยวก่อนอย่าส่งเสียงดักนัก”
แพทย์หลวงได้ปิดปากของเขาไปตามคำสั่ง ความสนใจของจักรพรรดินีในตอนนี้ได้ถูกเครื่องมือเล็กๆชิ้นนั้นดูดกลืนไปเรียบร้อยแล้ว…
และจากนั้น
“เรามองเห็นบางสิ่งข้างในนี้”
ฟาร์มานั้นมีความสามารถในการตรวจอาการผิดปกติจาก [ดวงตาวินิจฉัย] แต่ตัวเขานั้นขาดเครื่องมือในการวิจัยรักษา
วิทยาศาสตร์นั้นจะพิสูจน์การดำรงอยู่ของเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของวัณโรค
เขาได้เชื้อเชิญให้จักรพรรดินีเข้าสู่โลกใบเล็กที่ไม่มีใครบนโลกนี้สามารถมองเห็นได้
สิ่งที่ฟาร์มานำเสนอให้กับพระองค์นั้นคือกล้องจุลทรรศน์แบบง่ายที่มีโครงสร้างเรียบง่ายที่สุด รูส่องขนาดเล็กที่ทำจากแก้วประกอบกับชิ้นส่วนของโลหะ กล้องจุลทรรศน์เลนส์เดียวเป็นสิ่งประดิษฐ์ของเลเวนฮุคมันก็มีประสิทธิภาพที่ดีพอแม้ว่าจะไม่สามารถหาเลนส์ที่ดีใส่ได้ก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าหรือหลอดเลนส์และเนื่องจากเลนส์นั้นอยู่บนแผ่นโลหะที่เป็นตัวยึดไว้จึงสามารถใช้ง่ายได้ง่ายและมีขนาดเล็กเพียง 5 ซม.
อย่าดูถูกพลังของโบราณวัตถุ ในช่วงชีวิตก่อนของฟาร์มาเขาสามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในประเทศที่ไม่มีไฟฟ้าได้มาแล้วด้วยเพียงกล้องจุลทรรศน์ที่จะความละเอียดเพียง 200 เท่า แม้จะพูดได้ว่าการขยายภาพนั้นไม่ใหญ่พอและมีประสิทธิภาพต่ำมากก็ตามที แต่กลไกง่ายๆเหล่านั้นก็ต่างได้แสดงถึงความจริงที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
“ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ฝ่าบาทเห็นเหมือนก้านปล้องสั่นไหวไปมานั้นคืออะไร?”
ฟาร์มาวาดรูปสิ่งนั้นในอากาศด้วยมือของเขา
สิ่งนั้นคือเชื้อวัณโรค
มาตรการการป้องกันเชื้อนี้ในประเทศญี่ปุ่นนั้นคือการฉีดวัคซีน BCG ให้กับทารกที่เกิดใหม่
“สิ่งมีชีวิตดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุของโรคฝีในท้อง ซึ่งมันกำลังทำลายอวัยวะต่างๆในร่างกายของพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ในเวลานั้นเองเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในห้องนั้นรู้จักถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแบคทีเรียมีอยู่บนโลกใบนี้
“ทุกท่าน ผมขอความกรุณาให้นำเครื่องมือนี้ไปส่องดูหลังจากองค์จักรพรรดินีด้วยนะครับ”
เหล่าแพทย์หลวงต่างกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการดูกล้องจุลทรรศน์ ก่อนจนถึงคิวของตนพวกเขารู้สึกประหลาดใจมากเมื่อมองไปยังรูเล็กผ่านเครื่องมือนี้แล้วเห็นถึงสิ่งประหลาดที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ง่ายเลย
“อะ-ไอ้สิ่งนี้มันอะไรกัน! แมลงงั้นหรือ!?”
คล็อดขดใบหน้าของเขาเมื่อเขาได้เห็นสิ่งที่ดูน่าสะอิดสะเอียนนี้
“หากจำเป็นผมสามารถสร้างพิมพ์เขียวและสอนวิธีสร้างมันให้ด้วยก็ได้นะครับ”
ฟาร์มาไม่ได้คิดจะผูกขาดกล้องจุลทรรศน์อยู่แล้ว และเป็นเรื่องดีหากพวกเขาได้เข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับพวกจุลินทรีย์ ที่จะเป็นฐานให้กับวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่อไป
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์จากศาสตร์แห่งเทพ”
บรูโน่ถึงกับมือสั่นเมื่อเขามองเข้าไปข้างในนั้น
“สิ่งข้างในนี้มัน…”
เขาหมดคำพูดกับสิ่งนี้ มนุษย์ผู้ซึ่งได้รับการอนุญาตให้เข้าไปมองโลกที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ มันเป็นความประทับใจที่บรูโนได้รับจนร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยความตื่นเต้นที่เขาไม่รู้จัก
ฟาร์มาได้เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทุกคนได้ดูเชื้อแบคทีเรียวัณโรค เขาได้เตรียมแผ่นแก้วอีกแผ่นหนึ่งซึ่งมีตัวอย่างของเชื้อแบคทีเรียวัณโรคเหมือนกันแต่ถูกย้อมสีต่างจากก่อนหน้านี้ไว้ข้างๆ
บรรยากาศภายในห้องนั้นเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
“ตอนนี้ผมจะเริ่มอธิบายแผนการรักษาแล้วนะครับ”
ฟาร์มารีบหยิบบางอย่างที่เหมือนน้ำเชื่อมขึ้นมาแสดงให้จักรพรรดินีเห็น
“อย่างที่ทุกท่านคาดกันเอาไว้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อาศัยอยู่ในร่างกายของจักพรรดินีและวิธีการรักษานั้นคือการกำจัดมันไปให้หมด”
ผู้คนที่ต่างยืนเรียงรายในสายตาของจักรพรรดินีนั้นต่างเป็นแพทย์ชั้นแนวหน้าต่างกำลังช็อกอยู่กับสิ่งที่เขาได้พบเจอ ส่วนบรูโนนั่นคุกเข่าอยู่ข้างๆ
“ภายในขวดใบนี้ประกอบไปด้วยยาพิเศษ4ชนิดซึ่งบางส่วนมีผลในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อและบางส่วนของยาจะสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ และหากใช้ยาเพียงตัวเดียวบางทีแล้วสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจจะทนต่อยาได้ผมจึงได้ใช้หลายๆรวมกันครับ”
เมื่อฟาร์มาหยดยานั้นลงไปในตัวอย่างเชื้อพวกเขาก็เห็นเชื้อเหล่านั้นกำลังถูกทำลาย ฟาร์มาอธิบายเรื่องนี้เหมือนกับพูดเรื่องตลกแต่เสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นเหมือนกับยมทูตแห่งความตาย
“ยาพิเศษทั้ง4ตัวนี้จะสามารถฆ่าเชื้อให้หมดไปได้ภายในเวลาประมาณ 2 เดือนพ่ะย่ะค่ะ”
“และหลังจากการรักษานี้ได้ผล กระหม่อมจะเริ่มลดปริมาณของยาลงนะเพื่อดูอาการ”
“หากพระองค์มีอาการผิดปกติอาจจะต้องลดปริมาณความเข้มขนของยาลงบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้าเพิ่งจะพลิกโฉมแนวคิดเรื่องยารักษาทั่วไปตั้งแต่รากฐานด้วยคำอธิบายต่างๆเหล่านั้นเลยนะ”
จักรพรรดินีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เหล่าแพทย์หลวงก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเพราะรู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน
ตอนนี้พวกเขาต่างได้รับภูมิปัญญาที่นอกเหนือความเข้าใจดั้งเดิมที่พวกเขามี
“ยาที่แรงขนาดนี้จะมีผลเสียต่อร่างกายเราหรือเปล่า?”
“ผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายมีน้อยพ่ะย่ะค่ะ แต่ผลข้างเคียงของมันนั้นส่วนใหญ่จะส่งผลต่อความผิดปกติในการทำงานของตับ ดังนั้นกระหม่อมจะพยายามติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อคลายกังวลกระหม่อมจะขอแบ่งยาที่ทำมาดื่มสักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วหลังจากนั้นพระองค์ค่อยดื่มตามดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฟาร์มาทำเช่นนั้นเพื่อขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับการสอบสังหารหรือยาปลอม
“พระองค์คิดเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“ได้สิเราจะดื่มหลังจากนั้น”
จักรพรรดินีได้แสดงใบหน้าที่รื่นเริงต่อฟาร์มาความรู้สึกของเธอเหมือนได้รับการปลดปล่อยทั้งความกังวลความกลัวทั้งหมดได้หายไปแม้เธอจะป่วยหนักอยู่ก็ตาม องค์ชายน้อยก็หยุดร้องไห้แล้วด้วย
“พระอาการจะกลับมาดีขึ้นภายในเร็ววัน แต่หากจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่นั้นต้องใช้เวลาประมาณ6 เดือนพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในหกเดือนหลังจากนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเป็นไปไม่ได้เลยที่พระองค์จะมีชีวิตรอดถึงตอนนั้น ด้วยสถานการณ์ที่ไม่มีตัวเลือกทางการรักษาอื่น พ่อของเขาและคนอื่นๆก็ไม่สามารถจะเข้ามาขัดขวางตัวเขาได้
“อืม.. ต้องใช้เวลาสินะ เราเข้าใจ”
ตัวเธอนั้นได้สังเหตุเห็นเชื้อแบคทีเรียวัณโรคด้วยตาของเธอเองว่ามันอยู่ภายในร่างกายของเธอนั่นทำให้เธอเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นและมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก
ต้องค่อยๆรับการดูแลต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นการฆ่าเชื้ออย่างช้าๆซึ่งนั่นหมายความว่าตัวยาไม่ได้มีสรรพคุณที่จะฆ่าเชื้อทั้งหมดในทันที แต่ในท้ายที่สุดแบคทีเรียก็จะไม่หลงเหลืออยู่ในตัวเธอ เธอสามารถเข้าใจคำพูดของฟาร์มาได้อย่างชัดเจน
“พระองค์ต้องดื่มยานี้ต่อหน้ากระหม่อมทุกวัน”
การรักษาที่ดีที่สุดนั้นคือการมีแพทย์คอยกำกับควบคุมดูแลพร้อมกับให้ยาไปด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเธอนั้นลืมกินยาฟาร์มาจะต้องอดทนในการรักษาวัณโรคนี้เพราะถึงแม้อาการดีขึ้นของเธอก็ไม่ได้หมายความว่าเธอะจะต้องหยุดกินยาด้วย
ฟาร์มาเทยาลงบนแก้วทั้ง3เท่าๆกัน
จากนั้นฟาร์มาก็ดื่ม 1 ใน 3 แก้วนั้นลงไปเพื่อแสดงว่ามันไม่มีพิษ
“ตาพระองค์แล้วครับ”
“ได้สิ”
เธอดื่มมันหมดจนหยดสุดท้ายก็ที่จะแสดงรอยยิ้มออกมา
“มันอร่อยมากเลย”
จากนั้นจักรพรรดินีก็ค่อยๆหลับไปแล้วฟาร์มาก็เขียนบันทึกทางการแพทย์เกี่ยวกับผู้ป่วยของเขาในสมุดบันทึกเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ท่านพ่อครับ เรากลับคฤหาสน์กันเถอะครับผมชักหิวแล้วด้วยสิ วันนี้อยากกินของหวานๆจัง”
พ่อของเขาแสดงท่าทีเหมือนกังวลกับคำพูดที่ดูเหมือนเด็กๆของเขา
“แล้วก็นี่ครับยาส่วนของท่านพ่อ… รับมันไปด้วยนะครับ”
ฟาร์มาส่งยาส่วนสุดท้ายให้กับพ่อของเขา
พ่อของเขาซึ่งติดเชื้อวัณโรคเช่นเดียวกันได้แสดงท่าทางลังเลอยู่นานพอสมควร
“จากนี้ไปก็สามารถพูดได้แล้วสินะว่าโรคฝีในท้องสามารถรักษาได้”
เป็นเวลานานมาแล้วที่โรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ แต่ตอนนี้พวกเขาได้รับวิทยาการแผนใหม่ทางการแพทย์มาแล้ว
บรูโนได้จับมือของลูกชายเอาไว้และกล่าวคำพูดด้วยความจริงใจขณะกุมมือทั้งสองข้างของลูกเขา
“ขอบคุณมากนะ ลูกพ่อ”
ลอตเต้ เอเลน และเหล่าข้ารับใช้ต่างยืนเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของบ้าน เดอ เมดิซิสกว่าหลายชั่วโมงจนตะวันตกดินไปแล้ว อาหารที่เย็นที่เตรียมเอาไว้นั้นได้เย็นชืดไปหมด เพราะไม่มีใครแตะต้องมันเลย
พ่อลูกทั้งสองยังไม่กลับมาจากพระราชวังของจักรพรรดินี ไม่มีใครรู้อาการของจักรพรรดินีนอกจากแพทย์โอสถหลวง บางคนก็คิดกันว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางหรือเปล่า
ส่วนตัวเอเลนนั้นนึกไปถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หากทั้งคู่ล้มเหลวในการรักษาพวกเขาอาจจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการปลิดชีพตัวเอง เพราะหากจักรพรรดินีสิ้นพระชนม์ หัวหน้าแพทย์หลวงและหัวหน้าแพทย์โอสถหลวงจะต้องรปลิดชีพตัวเองตามกันไปเพื่อแสดงความรับผิดชอบ กับบรูโนผู้ซึ่งภูมิใจเกียรติของแพทย์โอสถทำให้เขามีความรับผิดชอบสูงมาก ซึ่งสถานการณ์แบบนี้อาจจะเป็นไปได้พอสมควร
“ท่านอาจารย์… ฟาร์มาคุง”
เอเลนได้ถอดแว่นตาที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตาออก ขณะคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดยิ่งกว่านั้นลอตเต้ได้กุมขวดยาของเธอที่ได้รับมาจากฟาร์มาเหมือนกับเป็นเครื่องรางอยู่
พวกเขาต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกัน? ทุกๆนาทีที่ผ่านไปมันช่างยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์
ทุกๆคนต่างรอการกลับมาของพวกเขา ลอตเต้ได้เงยหน้าขึ้นขณะที่เธอได้ยินเสียงแตรดังกึกก้องมาจากทางเหนือของภูเขา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงของกีบม้าอย่างชัดเจนถัดจากเสียงที่ดังกึกก้องนั้นพวกเธอก็ได้เห็นกองอัศวินขี่ม้าเข้ามาทางคฤหาสน์ ลอตเต้ที่พยายามเก็บอารมณ์ความรู้สึกของเธอไว้ได้ปล่อยให้น้ำตาของเธอนั่นหลั่งไหลออกมา
“คุณท่าน ท่านฟาร์มา–!”
ลอตเต้รีบวิ่งไปหาพวกเขาด้วยความรวดเร็ว
“ขอบคุณพระเจ้า… จริงๆเลยอย่าทำให้พวกเราเป็นห่วงนักจะได้ไหม…”
เอเลนจับแว่นตาของเธอไว้จนแน่นขณะเดินตามหลังลอตเต้ไป
“พวกเรากลับมาแล้วครับ”
ฟาร์มารับลอตเต้เอาไว้ในขณะที่เธอกระโดดเข้ามาหาเขาทันทีที่เขาลงจากม้า
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ”
แล้วความวุ่นวายของเหตุการณ์ในวันนี้ก็ได้ปิดฉากลง
______________