ตอนที่ 11 พระราชนุญาตจากจักรพรรดินี

———-

การรักษาอาการของจักรพรรดินีเอลิซาเบทกำลังดำเนินไปด้วยดี

ฟาร์มาเข้าเรียนกับเอเลนในตอนเช้าแล้วหลังจากนั้นเขาก็จะเข้าไปยังพระราชวังพร้อมกับพ่อของเขาหลังรับประทานอาหารกลางวันเพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจว่า จักรพรรดินีได้ดื่มยาที่เขาเตรียมไว้ให้ มันกลายเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว

แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานแต่พวกเขาก็เห็นสัญญาณที่ดีออกมาจากตัวของจักรพรรดินี ฟาร์มาเคยคาดเอาไว้ว่าเธออาจจะได้รับผลข้างเคียงจากยาและเกิดความเสียหายขึ้นบริเวณตับ ทำให้เขาต้องขยันตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเพราะเขาไม่มีเครื่องมือในการทดสอบทางชีวเคมีกับร่างกายของเธอเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถึงแม้ตอนนี้เธอจะลองใช้ศาสตร์แห่งเทพออก แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เกิดขึ้น รวมไปถึงอาการเลือดในเสมหะของเธอก็ลดลงไปอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปสามเดือนแทบจะพูดได้เลยว่าเชื้อวัณโรคที่อยู่ในร่างกายของเธอนั้นแทบจะไม่เหลืออยู่อีกแล้ว

ฟาร์มายังแนะนำให้ข้าราชบริพารทุกคนที่ทำงานในราชสำนักรับยารักษานี้ไปด้วยเป็นเหมือนมาตรการป้องกันเพราะไม่ว่าจะเป็นแพทย์หลวงทั้งหลายและองค์ชายก็ต่างติดเชื้อวัณโรคนี้จากจักรพรรดินี เขาได้สร้างกำหนดการรักษาขึ้นมา ให้กับทุกๆ คน อาจจะเป็นเพราะผู้ป่วยทุกคนเป็นพวกชนชั้นสูง เลยทำให้ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ละเลยพ่อของเขาที่เป็นผู้ป่วยที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด

เวชระเบียนที่ฟาร์มาได้บันทึกเอาไว้นั้นเริ่มเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากจนถึงขั้นที่เขาต้องเพิ่มระเบียนในสมุดเล่มใหม่โดยใช้ภาษาของโลกใบนี้แทนภาษาญี่ปุ่นซึ่งจะสามารถทำให้พ่อของเขาอ่านได้ด้วย ทุกๆ คืนหลังอาหารค่ำพ่อของเขาจะเก็บตัวอยู่ในห้องและนำเวชระเบียนของฟาร์มาเข้าไปอ่านด้วยทั้งคืนและในตอนเช้าพ่อของเขาก็จะคอยมาถามเขาเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องต่างๆ ภายในสมุดจนเขาเริ่มสงสัยว่าพ่อของเขาทำอะไรอยู่กันแน่ภายในห้องนั้นกันแน่

พ่อของเขาเริ่มเข้าใจสภาพความเป็นอยู่และประวัติทางการแพทย์ของเหล่าข้ารับใช้ในคฤหาสน์มากขึ้น และนั่นยังเป็นข้อมูลทางทุติยภูมิของฟาร์มาได้อีกด้วยเนื่องจากทั้งคู่มีการแลกเปลี่ยนและใช้ข้อมูลร่วมกันในอีกหลายๆ ด้าน

ฟาร์มาเด็กชายวัย10ขวบที่กำลังยุ่งอยู่กับการใช้ชีวิตของเขาอย่างเต็มที่

แม้จะเป็นอย่างนั้นเขาก็จะไม่ฝืนตัวเองให้ทำงานหนักจนเกินไปเพราะเขาถือว่าสุขภาพของตนก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นบทเรียนที่เขาได้รับมาจากชีวิตก่อนหน้านี้ ทำงานให้เต็มสุดความสามารถแต่ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไป

การปรากฏตัวของฟาร์มาและความรู้ทางด้านเภสัชวิทยาของเขา ทำให้ตัวเขาได้รับการยอมรับจากจักรพรรดินีและเริ่มเป็นที่ยอมรับของเหล่าผู้คนในราชสำนักมากยิ่งขึ้น เหล่าแพทย์หลวงได้บอกเขาถึงข้อกำจัดต่างๆ ในการรักษาที่พวกตนมีอยู่ โดยฟาร์มาผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นแพทย์โอสถหลวงฝึกหัด แนะนำให้กับพวกเขาว่า พวกเขาควรจะสร้างกล้องจุลทรรศน์แบบเรียบง่ายขึ้นเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยเชื้อโรคเพื่อที่จะสามารถเผชิญกับโรคต่างๆ ในอนาคตได้

พวกเขากระหายความรู้ใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักกันเป็นอย่างมากทั้งที่ตอนแรกพวกเขาคิดว่าฟาร์มาจะผูกขาดข้อมูลเกี่ยวกับการประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ไว้เสียอีก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ทั้งหมดในจักรวรรดิเสียแล้ว

กระทั่งวันหนึ่งได้มีการส่งไปประกาศเกียรติคุณและแผ่นอนุสรณ์ที่ระลึกถึงฟาร์มามันถูกส่งมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนว่ารูตที่อยู่ในดินแดนอันห่างไกล

สาเหตุมาจากการที่หัวหน้าแพทย์หลวงคล็อดได้มองเห็นถึงโอกาสนี้และทำการเหมาซื้อกล้องจุลทรรศน์มาจากฟาร์มาทำให้ฟาร์มาทำเงินได้อย่างมหาศาลจากเรื่องนี้ แล้วจากนั้นเขาก็ส่งจดหมายส่วนตัวของเขาไปถึงมหาวิทยาลัยการแพทย์และยา เกี่ยวกับตัวกล้องจุลทรรศน์และฟาร์มาที่เป็นผู้ประดิษฐ์

วิทยาการทางการแพทย์ของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั้นถูกมองว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยการแพทย์และยาชั้นนำของโลกอย่างโนว่ารูตและดูเหมือนว่าตอนนี้เหล่านายแพทย์ทั้งหลายในราชสำนักกำลังพยายามฟื้นฟูเกียรติยศของตนด้วยสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่นี้ แต่บรูโนนั้นรู้สาเหตุเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงมีสิ่งนั้นเดินทางมาถึง

ฟาร์มารู้สึกประทับใจและประหลาดใจมากที่ได้รับความสนใจจากหอคอยสีขาวอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้โนว่ารูต

คณะผู้แทนที่ถูกส่งมาจากรองผู้อำนวยการของมหาวิทยาลัยการแพทย์และยาโนว่ารูตได้รีบเดินทางมายังวิทยาลัยแพทย์โอสถในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ พวกเขาขอให้บรูโนซึ่งเป็นผู้อำนวยการของวิทยาลัยนั้นเปิดเผยสูตรยาพิเศษที่ฟาร์มาทำขึ้นและใช้มันในการรักษาจักรพรรดินี

แน่นอนว่าเรื่องคล็อดได้รายงานไปเขาไม่ได้แจ้งว่าฟาร์มานั้นเป็นเพียงเด็กชายอายุ10ปี

สัญชาตญาณของบรูโนนั้นบอกกับเขาว่าเขาไม่ควรจะให้พวกคณะผู้แทนได้พบกับฟาร์มา เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาต้องการฟาร์มา มาใช้เป็นเครื่องมือการต่อสู้ทางการเมืองในมหาวิทยาลัย

ด้วยเหตุนี้เหล่าคณะผู้แทนของรองผู้อำนวยการจึงยอมแพ้และกลับไปโดยไม่ได้พบกับแพทย์โอสถผู้นั้น

ส่วนเอเลนกับฟาร์มานั้นกำลังพูดคุยกันในขณะที่มองกลุ่มขบวนรถม้าค่อยๆ ห่างออกไป

“ดูเหมือนไม่ว่าใครก็อยากจะได้สูตรยาต้นแบบจากเธอที่สามารถรักษาโรคฝีในท้องกันทั้งนั้นเลยสินะ?”

สำหรับเอเลนนั้นมันเป็นยาที่มหัศจรรย์อย่างมากที่สามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาได้หาย

“ตอนนี้ยาสำหรับต้านโรคนั้นผมเพิ่งจะทำมันสำรองได้เพียงแค่ 4 ขวดอยู่เลย”

“อย่างที่คิดเลยสินะว่าการควบคุมศาสตร์แห่งและการใช้งานสำหรับเธอยังทำไม่ได้ดีพอ”

เอเลนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพลังจากเทพโอสถที่ทำให้ฟาร์มาสามารถใช้พลังนี้ได้

นั่นน่าจะเป็นเหตุที่ฟาร์มาไม่แสดงการสังเคราะห์และสร้างสสารต่อหน้าผู้คน

แม้เอเลนอยากจะขอให้เขาสอนเธอเรื่องนี้มากก็ตามทีแต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

หากพลังที่ฟาร์มาได้รับมานั้นมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คนด้วยนิสัยของเขาแล้วเขาจะต้องใช้มันไปในทางที่ถูกต้องและทำในเรื่องที่เขาเท่านั้นสามารถทำได้อย่างแน่นอน. . . นั่นคือสิ่งที่เอเลนเชื่อมั่น

แล้วฟาร์มาก็กล่าวออกมา

“สักวันหนึ่งบางที่ผมอาจจะสามารถบอกวิธีสังเคราะห์สิ่งพวกนี้ได้อย่างไรให้กับคนอื่นก็เป็นได้นะครับ”

นั่นหมายถึงการเปิดตัวศูนย์วิจัยอย่างเต็มรูปแบบซึ่งจะสามารถสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์และเธอยังสามารถสนับสนุนฟาร์มาได้อีกด้วย

“จะดีเหรอความรู้พวกนี้มันมีค่ามาเลยนะ?”

มีแพทย์โอสถจำนวนมากที่พยายามไม่เปิดเผยสิ่งที่ตนรู้และเก็บไว้จากนั้นก็นำมันไปจดลิขสิทธิ์ผูกขาดสิ่งนั้นในนามของตนเพื่อรับเงินจำนวนมหาศาลกลับมา

“นี่มันเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเราครับ”

ฟาร์มาตอบกลับเธอด้วยท่าทางที่เยือกเย็น เขาเป็นนักเภสัชวิทยาแม้จะมีชื่อเสียงมากมายในชีวิตก่อนหน้านี้อีกทั้งยังผลิตยาตัวใหม่ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็พูดเสมอว่าเขาไม่เคยอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะที่เขาสามารถทำสิ่งเหล่านี้มาได้เพราะเขายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์นั่นเป็นสิ่งที่ตัวเขาเชื่อ

มันคือภูมิปัญญาที่ถูกรวบรวมไว้มาในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานตั้งแต่อดีตของมนุษยชาติ

เอเลนคิดเสมอว่านี่มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอยู่แล้วที่เทพโอสถจะประทานพรมาให้แก่เด็กที่ไม่มีแม้กระทั่งความโลภคนนี้

ขณะที่ไปยังพระราชวังกับพ่อของเขาในทุกๆ วันฟาร์มาก็มักจะไปเล่นกับหลุยส์ (อายุ6ปี) ซึ่งเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดินี้ ทุกๆ วันองค์ชายมักจะคอยตามติดฟาร์มาและชื่นชมบุคคลที่เป็นผู้ช่วยชีวิตแม่ของเขาเอาไว้ นอกจากนี้ฟาร์มาก็ยังเล่นบิลเลียดกับองค์ชายด้วยหลักจากถวายการรักษา มันก็คงดีสำหรับเขาหากปล่อยให้หลุยส์ชนะและดีใจกับชัยชนะ

“องค์ชายชนะพ่ะย่ะค่ะ ฝีมือยอดเยียมมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

หลุยส์รู้สึกดีกับการสรรเสริญนี้มาก

“แน่นอนสิไว้เรามาเล่นเกมอื่นกันในวันพรุ่งนี้นะฟาร์มา ดังนั้นวันนี้เราขอตัวก่อนนะ”

ฟาร์มา ส่งองค์ชายขึ้นรถม้า ตอนจากไปองค์ชายโบกมือลาเขาอย่างมีความสุข

“ไม่ดีเลยนะฟาร์มา ถ้าเป็นอย่างงี้ทำไมนายไม่ไปขอพวกผู้ใหญ่ให้นายเอางานของผมไปทำแทนเสียเลยล่ะ?”

เช่นเดียวกับหลุยส์ ฟาร์มาได้เป็นเพื่อนกับเด็กชายอายุ 14 ปี โนอาร์ข้ารับใช้ของจักรพรรดินี งานของเขาคือการนำทางและเดินทางไปกับองค์ชายอีกทั้งยังเป็นเพื่อนเล่นให้กับองค์ชายอีกด้วย เพราะองค์ชายนั้นมักจะคอยตามฟาร์มา มาหลังจากทำงาน จึงทำให้มีโอกาสหลายครั้งที่พวกเขาจะได้คุยกัน

“งานของนาย หืมมม”

“ก็องค์ชายบอกว่าเค้าไม่อยากเล่นกับผมแล้วนี่นา แถมมันก็ดีด้วยไม่ใช่เหรอเห็นนายก็เล่นดูมีความสุขดีด้วย”

โนอาร์พูดออกมาอย่างไม่อายปาก

(แต่เล่นบิลเลียทก็สนุกจริงๆ นั่นแหละ!)

เมื่อฟาร์มา เดินออกไปที่สนามเด็กเล่น

“โอ๊ะ! โอ่! จริงด้วยสิผมมีข่าวดีมาบอก นี่เป็นความลับระหว่างเรานะ จักรพรรดินีเหมือนกำลังจะพิจารณาที่จะมอบรางวัลให้กับนายด้วยแหละ นั่นคือตำแหน่งแพทย์โอสถประจำพระองค์ ให้ตายสิผมล่ะอิจฉานายจริงๆ เลย อยากจะประสบความสำเร็จให้เหมือนกับนายได้จังเลยน้อ”

โนอาร์เป็นเด็กหนุ่มชนชั้นสูงมาจากตระกูลมาร์ควิสที่มีชื่อเสียง เขาเข้ามาเป็นข้ารับใช้ของจักรพรรดินีตามคำสั่งพ่อของเขา เขาบอกกับฟาร์มาว่าเขาทำหน้าที่ในการดูแลจักรพรรดินีและองค์ชายในเรื่องส่วนตัว และดูเหมือนว่าตอนทำงานเขาจะทำหน้าที่อย่างจงรักภักดีอย่างเต็มรูปแบบต่อหน้าองค์จักรพรรดินี แต่หากลับหลังแล้วดูเหมือนเขาจะเป็นพวกปากพล่อยและดูไม่ค่อยจะเต็มพอสมควร

“งั้นแปลว่าผมก็จะได้ที่อาณาเขตที่ดินด้วยงั้นเหรอ? ทั้งที่ผมก็เป็นบุตรชายคนที่สองของบ้านเนี่ยนะ ถ้าหากเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาจะอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

ถึงจะได้อาณาเขตมาแต่ฟาร์มาก็ไม่ค่อยจะรู้สึกตื่นเต้นนักกับเรื่องนี้ ซึ่งมันแสดงออกมาทางใบหน้าของเขา ใบหน้าที่ดูโง่เหมือนคนเขลาทำให้ความคมชัดแน่วแน่ในช่วงเวลาการทำงานเป็นแพทย์โอสถของเขาเหมือนเป็นเรื่องโกหกไปเลย

“นายจะบ้าหรือเปล่า! ชนชั้นสูงไม่สนใจเรื่องอาณาเขตที่ดินเนี่ยนะ!? ยิ่งเป็นลูกคนที่สองนั่นแหละยิ่งต้องโลภให้มันมากกว่าคนอื่นด้วย ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่านายทำไมถึงไม่สนใจมันกันนะ?”

โนอาร์นั่นเป็นชนชั้นสูงความคิดของเขาส่วนใหญ่นั้นคือการได้มีดินแดนเป็นของตนเองเพื่อขยายอำนาจ ซึ่งแตกต่างกับฟาร์มาที่สนใจแต่เรื่องของเภสัชวิทยา เขาคิดเพียงแค่ว่าอะไรจะช่วยในการค้นคว้าเกี่ยวกับยาชนิดใหม่ๆ ที่เขาจะทำขึ้นมา ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่ได้มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษกับเขานัก รวมถึงอาณาเขตที่ดินก็เช่นกัน

“นี่มันบ้าจริงๆ เลยนะ ไม่สนใจในสิ่งที่ตัวเองควรได้รับเนี่ยนะ”

ต่อมาโนอาร์นั่นได้พยายามถามฟาร์มาถึงความต้องการของเขาหรือเป้าหมายใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของเขา

“ได้ยินเรื่องที่ผมพูดแล้วอย่าเอาไปบอกใครแล้วกันนะ ให้ปิดเป็นเรื่องที่เรารู้กันแค่สองคน”

โนอาร์รีบเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนฟาร์มาจะทำท่าทางเหมือนให้เงียบเอาไว้ ซึ่งโนอาร์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“ผมอยากจะเปิดร้านขายยา สำหรับสามัญชนน่ะ”

“สำหรับสามัญชน? ทั้งๆ ที่นายเป็นถึงแพทย์โอสถหลวงเนี่ยนะ จะบ้าหรือเปล่า ชนชั้นสูงไม่ลดตัวไปทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นหรอก ไอนั่นน่ะก็ให้เป็นงานของพวกสามัญชนกันเองทำไปสิ”

เขาใส่คำว่าบ้าไปทุกประโยคพูดของเขา ดูเหมือนจะเป็นคำที่เขาชอบนะ โนอาร์ที่พูดออกมาอย่างน่ารังเกียจนั้นอาจจะเป็นผลมาจากวิถีชีวิตในฐานะชนชั้นสูงของเขาซึ่งทำงานให้กับจักรพรรดินีและองค์ชายจนไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนและก็ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้อีกด้วย

เพราะโนอาร์นั้นเป็นชนชั้นสูงเมื่อได้ยินหัวข้อร้านขายยานี้ขึ้นมาคิ้วของเขาถึงกับต้องขมวด เขาพยายามแนะนำให้ฟาร์มาไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยและเป็นนักวิชาการเหมือนกับพ่อของเขายังจะดีเสียกว่า

“แบบนี้ก็เหมือนกับเสียเวลาชีวิตตัวเองไปรักษาพวกสามัญชนเลยไม่ใช่หรือไง?”

“ทำไมล่ะ?”

“นายนี่มันบ้าจริงๆ พวกสามัญชนน่ะมักจะป่วยกันง่ายเพราะพวกนั้นมันไม่ได้รับพรจากพระเจ้าร่างกายจึงอ่อนแอ แล้วพวกมันก็จะป่วยกันแบบไม่สิ้นไม่สุดด้วยถึงนายจะพยายามใช้ยาแพงๆ ในการรักษาก็เถอะ”

ฟาร์มาปฏิเสธเรื่องนั้นอยู่ในใจของเขาเพราะเขาเข้าใจดีว่ามันมีสาเหตุมาจากความเป็นอยู่ที่แย่และสุขอนามัยที่ไม่ดี

“ผมจะสร้างยารักษาที่มีราคาย่อมเยาด้วยนะ”

“ฮ่าๆๆๆ บ้าจริงๆ โง่จริงๆ! แล้วนี่จะไปหาสต๊อกพวกวัตถุดิบที่มีราคาแพงมาจากไหนล่ะ? ถึงแม้นายจะเป็นลูกชายของแกรนดยุกที่ร่ำรวยมากก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินพวกนั้นมันจะไม่มีวันหมดสักหน่อยนะ”

แม้ว่าฟาร์มาจะมีความรู้ความสามารถทางด้านเภสัชวิทยามาก แต่ในทางกลับกันความเชี่ยวของโลกใบนี้นั้นเขายังมีไม่มากนัก ถึงแม้โนอาร์จะพูดแกล้งเขาเท่านั้นแต่เขาก็ต้องแกล้งเป็นพยายามคิดอย่างหนักและตอบสนองต่อคำพูดนั้น

“จริงด้วยสิบางทีผมอาจจะต้องการที่ดินสักส่วนหนึ่งเพื่อที่จะมาปลูกสมุนไพรก็น่าจะดี”

ด้วยความสามารถในการสร้างสสารของฟาร์มาเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องราคาของวัตถุดิบแต่เขาก็มีข้อจำกัดในการสร้างสสารที่มีโครงสร้างซับซ้อนดังนั้นหากพิจารณาดูแล้วจะเป็นการดีกว่าถ้าหากทำยาขึ้นมาจากพืชสมุนไพรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นเอาเป็นที่ดินแบบไหนดีล่ะ ใกล้ทะเล ใกล้ภูเขา หรือจะเอาเป็นพื้นที่ธรรมดาดี”

“ผมคิดว่าเอาเป็นใกล้ทะเลน่าจะดี”

ฟาร์มาตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ

“นั่นแหละดีแล้ว! ผมได้ยินชัดเจนเต็มสองหู!”

แล้วดวงตาของโนอาร์ก็เปล่งประกายแสงออกมาอย่างรวดเร็ว

หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป 6 เดือน อาการของจักรพรรดินีก็ดีขึ้นเกือบสมบูรณ์แล้ว ฟาร์มาและพ่อของเขาได้รับเชิญจากพระราชวังอย่างเป็นทางการในฐานะแขกผู้มีเกียรติไม่ใช่แพทย์โอสถ

มีการแจ้งล่วงหน้าเข้ามาว่าให้พวกเขาแต่งกายให้เต็มยศ ฟาร์มาได้เดินทางไปพร้อมกับพ่อของเขาเข้าพระราชวังโดยใช้รถม้าที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามซึ่งถูกส่งมาจากจักรพรรดินี และคราวนี้ฟาร์มาก็ไม่ลืมที่จะหยิบคทาแห่งเทพของเขามาด้วย งานที่เขาจะไปครั้งนี้มีลักษณะเหมือนกับปาร์ตี้นั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาบอกมา

กลิ่นอายของพระราชวังนั้นเปลี่ยนไปจากที่ผ่านมา พระราชวังในตอนนี้ถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากสีสันสดใสและพวกเขาได้รับการต้อนรับจากเหล่ามหาดเล็กมากมายที่ยืนเรียงรายกันเต็มห้องโถง เมื่อเดินผ่านห้องโถงบัลลังก์จนมาถึงชั้นสี่ที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่และกว้างขวางเป็นอย่างมากซึ่งมีบัลลังก์สีทองอยู่ข้างบนบันไดหินอ่อน

โดยมีเหล่าชนชั้นสูงของจักรวรรดิและเหล่าข้าราชบริพารจำนวนมากนั่งล้อมรอบห้องโถงอยู่

ฟาร์มานั่งอยู่ข้างๆ พ่อของเขาในขณะที่กำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดินี

“องค์สมเด็จจักรพรรดินีเสด็จมาถึงห้องโถงแล้ว”

เหล่าชนนั้นสูงและข้าราชบริพารต่างลุกขึ้นยืนในขณะที่เสียงเพลงกำลังบรรเลง จักรพรรดินีผู้สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม เดินเข้ามาในห้องโถงและตามมาด้วยเหล่าผู้ติดตาม

สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ เอลิซาเบทที่ 2

(ว้าว. . . งดงามจริงๆ . . .!)

ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะเขาเกือบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นเป็นใครกันแน่

เธอเดินขึ้นไปนั่งยังบนบัลลังก์ในขณะที่ถือคทาแห่งเทพขององค์จักรพรรดิอยู่ด้วยและเหลือบตามองไปยังเหล่าข้าราชบริพารของเธอ ในตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้ป่วยที่ต้องคอยฟังคำสั่งของฟาร์มาอีกต่อไปแล้ว เธอกลับมาเป็นผู้ที่ครองอำนาจอธิปไตยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบารมีสมศักดิ์ศรีแห่งจักรพรรดินี ทั้งแก้ม ดวงตาและเส้นผมสีเงินของเธอเปล่งประกายออกมาด้วยความงดงามสดใส

หลังจากที่เธอทักทายเหล่าข้าราชบริพารทั้งหมดและแจ้งให้พวกเขาทราบถึงเรื่องที่เธอหายตัวไป พวกชนชั้นสูงก็ต่างแสดงความยินดีกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

และสุดท้ายจักรพรรดินีก็รับสคริปต์มาจากมหาดเล็ก ก่อนจะอ่านข้อความที่อยู่ข้างในนั้นด้วยเสียงที่ดังก้อง

“แกรนดยุกหัวหน้าแพทย์โอสถหลวง บรูโน เดอ เมดีซิส”

“อยู่ที่นี่แล้วครับ ฝ่าบาท”

บรูโนยืนขึ้นแล้วเดินขึ้นไปยังหน้าบัลลังก์ด้วยท่าทางที่สง่างามและโค้งคำนับต่อหน้าจักรพรรดินีหลังจากที่พ่อของเขาถูกเรียกชื่อออกไปก็ทำให้ฟาร์มาได้รู้แล้วว่าพิธีประกาศเกียรติคุณได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“สำหรับการทำงานอย่างหนักของเจ้าในการรักษาเรา เราจะขอมอบรางวัลแห่งความไว้วางใจจากเราให้เจ้าเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งมาเซล มันเป็นดินแดนที่มีไว้สำหรับปลูกและเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพรชั้นยอดสำหรับเหล่าชนชั้นสูง”

จักรพรรดินีชี้ปลายไม้กางเขนของคทาแห่งเทพไปทางบรูโน่และเขาก็ได้คว้าปลายสุดของมันก่อนกล่าวคำสัญญาว่าจะรักษาอาณาเขตดินแดนที่ตนได้รับเป็นอย่างดี ในงานพิธีนี้มีการกล่าวกันว่าดินแดนแห่งมาเซลนั่นเป็นเมืองท่าที่มีการค้าขายเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่ง พื้นที่เพาะปลูกก็อุดมสมบูรณ์กระจายไปตามแนวชายฝั่งโดยผลผลิตส่วนใหญ่ในเมืองนั้นคือสมุนไพร

“ข้าที่เป็นหนึ่งในข้าราชบริพารแห่งกษัตริย์ขอให้คำมั่นสัญญาในนามแห่งพระเจ้า ข้าจะอุทิศความรักและความจงรักภักดีของตนให้สืบต่อไป”

ในความเป็นจริงนั้นแม้ว่าจะถูกประกาศภายใต้นามพ่อของเขาแต่เขาก็เข้าใจได้ว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เธอต้องการมอบให้กับฟาร์มาเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าฟาร์มานั้นกำลังเฝ้ามองดูพ่อของเขาอย่างมีความสุขเหมือนกับได้รับมันด้วยตนเอง

“แพทย์โอสถหลวงฝึกหัด ฟาร์มา เดอ เมดิซิส”

(หา?)

ฟาร์มารู้สึกตกใจจนเขาพูดไม่ออก

เหล่าข้าราชบริพารต่างส่งเสียงดังกันออกมา ไม่ใช่เพียงแค่พ่อของเขาเท่านั้นที่ได้รับรางวัล แม้แต่ลูกชายก็ยังได้รับตามอีกด้วยดังนั้นสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาจึงพุ่งตรงมายังตัวเขาทั้งหมด แม้ว่าจะไม่มีใครคัดค้านในความสำเร็จของตัวเขาก็ตามที

“ด้วยทักษะอันน่าทึ่งของเจ้าที่ได้แสดงให้แก่เราจนเป็นที่ประจักษ์ทั้งความสามารถและทักษะทางการแพทย์อันงดงาม เราขอขอบคุณเจ้าจากใจจริงที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อได้จนถึงบัดนี้”

ฟาร์มาได้ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังหน้าบัลลังก์ เขายืนตัวตรงราวกับถูกแช่แข็งและพยายามก้มศีรษะของตนในขณะที่กำลังสับสน

“เราขอแต่งตั้งให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งจากแพทย์โอสถหลวงฝึกหัดมาเป็นแพทย์โอสถหลวงอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เรายังอนุญาตให้เจ้าสามารถเปิดร้านขายยาเพียงหนึ่งเดียว ณ เมืองหลวงในนามองค์จักรพรรดินีผู้นี้ได้”

“หา?”

ร่างฟาร์มากลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว เขาทราบมาว่าตำแหน่งฝึกหัดนั้นต้องได้รับเลื่อนขั้นจากพ่อของเขาและเอเลนเท่านั้น แต่…

“เจ้าจะตกใจไปทำกันเล่า? ใบอนุญาตการสำเร็จการศึกษาของเจ้าได้รับการยอมรับจากอาจารย์ของเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

จักรพรรดินีแสดงรอยยิ้มที่สดใสออกมา พ่อของฟาร์มานั้นได้ประเมินการทำงานของเขาในฐานะแพทย์โอสถหลวงฝึกหัดเรียบร้อยแล้วและรายงานผลไปโดยตรงไปยังจักรพรรดินีเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาได้รับการอนุญาตให้เป็นแพทย์โอสถอย่างเต็มตัวแล้ว

ฟาร์มารีบส่งสายตาไปหาโนอาร์ซึ่งเป็นคนรับใช้ของจักรพรรดินีทันที และดูเหมือนหมอนั่นจะยิ้มออกมาแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขยับปากออกมาว่า เจ้าบ้า

(ก็บอกให้เก็บเป็นความลับแล้วแท้ๆ นะ! แต่… ก็ต้องขอบคุณเขาแหละนะ)

ฟาร์มาเชื่อว่าเหตุผลที่โนอาร์พยายามถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นมาจากความต้องการที่จักรพรรดินีต้องการให้รางวัลกับเขาอย่างแน่นอน

เปิดร้านขายยาแห่งแรกของจักรวรรดิ

มันเป็นรางวัลอันสูงสุดของฟาร์มาขอเพียงสิ่งนี้เขาก็คิดแล้วว่าไม่ต้องการอะไรอีก

ถ้าโนอาร์ไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกจักรพรรดินี เขาก็คงจะไม่ได้รับมันในตอนนี้

นอกจากนั้น

(เขาแอบเคืองเล็กน้อยที่ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้เขตแดนมาเซลกันล่ะ?)

ฟาร์มาสังหรณ์ใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาตอบคำถามของโนอาร์โดยไม่ได้ตั้งใจว่าอยากจะได้ดินแดนที่ใกล้กับชายทะเล

จักรพรรดินีได้ยกคทาแห่งเทพชี้ไปยังฟาร์มาที่ทำท่าประหลาดใจอยู่

(แล้วตอนนี้เราต้องพูดอะไรดีล่ะเนี่ย?)

ฟาร์มาพยายามขบคิดอย่างมากเกี่ยวกับคำพูดที่เขาจะกล่าวออกไป และอาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกสับสนอยู่มากเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงกล่าวประโยคสุดเบสิกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

“กะ-กระหม่อม รู้สึกยินดีและรู้สึกขอบคุณพระองค์เป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

เหมือนกับพ่อของเขาฟาร์มาได้นำมือของเขาคว้าไปที่ปลายคทาของจักรพรรดินี ทันใดนั้นคทาแห่งเทพของจักรพรรดินีที่เปล่งแสงสีแดงออกมานั้น ส่วนของอัญมณีภายในคทาก็เปล่งแสงสีขาวออกมาทันที

(ห๊ะ เวรละ นั่นเป็นคำสาปอะไรหรือเปล่าน่ะ! เราไม่ควรจะไปจับมันจริงๆ สินะ!)

คทาแห่งเทพของจักรพรรดินีนั้นดูเหมือนจะมีความสามารถเหมือนกับเครื่องตรวจวัดพลัง

“หืมมมม?”

แม้ว่าการแสดงออกของจักรพรรดินีก็แข็งไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฟาร์มาก็รีบปล่อยคทาแห่งเทพและรีบเดินกลับไปนั่งข้างๆ พ่อของเขา

คทาแห่งเทพของจักรพรรดินี้นั้นส่องแสงเพียงชั่วครู่เท่านั้น ดังนั้นฟาร์มามั่นใจว่าน่าจะไม่มีใครมองเห็นได้ชัดนัก แม้หลังจากงานประกาศเกียรติคุณเสร็จสิ้นจักรพรรดินีก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าเพราะเธออ่านบรรยากาศออกและมองข้ามมันไปหรือเธอจะไม่เห็นมันจริงๆ กันแน่

ตอนนี้เหล่าชนชั้นสูงจำนวนมากต่างรายล้อมเอลิซาเบทเอาไว้อยู่ เขาได้แอบมองไปยังจักรพรรดินีและเหล่าแพทย์หลวงที่แต่งกายดูหรูหราภายในงาน

“แด่ราชวงษ์ที่ยังคงสันติสุขอยู่เรื่อยมา”

บรูโนได้ดื่มไวน์ระดับสูงที่หายากมากพร้อมกับกินอาหารรสเลิศที่ถูกเตรียมเอาไว้ภายในนี้ ดูเหมือนว่าภาระอันใหญ่หลวงได้ถูกปลดออกจากบ่าของเขาไปแล้ว

“ดูเหมือนว่างานของท่านพ่อจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้วนะครับตอนนี้”

ฟาร์มาเดินไปขอบคุณพ่อของเขา ก่อนที่พ่อของเขาจะมองไปยังป้ายทองคำอันใหม่ซึ่งเป็นตำแหน่งแพทย์โอสถหลวง ฟาร์มาติดมันไว้บนปกเสื้อของเขา นี่คือสิ่งที่เขาได้รับมาจากจักรพรรดินี

“เหมาะกับเจ้าจริงๆ”

“จริงเหรอครับ?”

ฟาร์มารู้สึกสงสัยว่าจะดีจริงๆ หรือที่อนุญาตให้เขาได้เป็นแพทย์โอสถจริงๆ ถึงแม้พ่อของเขาจะอนุญาตด้วยตัวเองแล้วก็ตามที แต่ความกังวลนั้นก็ได้หายไปทันที

“ตอนนี้พ่อไม่เหลืออะไรที่จะต้องสอนเจ้าอีกแล้ว เพราะฉะนั้นแบบนี้แหละดีแล้ว”

ตอนนี้ฟาร์มาก็ได้เป็นแพทย์โอสถอย่างเต็มตัวตามที่พ่อของเขาได้หวังเอาไว้แล้ว จากนั้นพ่อของเขาก็หยิบไวน์แก้วใหม่ขึ้นมาก่อนจะพูดว่า

“ไชโย!”

ฟาร์มาที่ถือแก้วผลไม้สำหรับเด็กอยู่ได้ยืนแก้วขึ้นเหมือนพ่อเขาเช่นกัน

“แด่องค์จักรพรรดินี”

“และการเกิดใหม่ของแพทย์โอสถ”

จากการฟื้นตัวของจักรพรรดินีทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของแซงต์เฟลิฟนั้นมีความเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ฟาร์มาและพ่อของเขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

แต่ในวันเดียวกันนั่นเองได้มีจดหมายส่วนตัวส่งมาถึงเขา

“ของใครกันนะ? เป็นจดหมายปิดระดับสูงด้วยสิ…”

ถึงผู้มีศาสตร์แห่งของพระผู้เป็นเจ้าที่หาผู้ใดเทียบเคียงได้นับตั้งแต่รุ่งอรุณแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อเจ้ามีอายุที่มากขึ้นและเข้าใจการใช้พลังอย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้นเมื่อถึงเวลานั้นคงจะดีหากเจ้าเข้ามาท้าทายตัวเราและแย่งชิงบัลลังก์ก็ไปจากเรา มันคงจะไม่ยุติธรรมหากเจ้ายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

จาก สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ เอลิซาเบทที่ 2

นี่อาจจะเป็นเพราะอาการของเธอฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะทำเรื่องแบบนี้

“ผมขอยอมแพ้ครับ…”

พระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องบัลลังก์เลยพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงแล้วกระหม่อมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งด้วย แต่ตัวกระหม่อมนั้นมีความสนใจให้กับเรื่องของศาสตร์แพทย์โอสถเพียงเท่านั้น อีกทั้งพระองค์ยังอนุญาตให้กับกระหม่อมเปิดร้านขายยาอีกด้วย เช่นนั้นแล้วได้โปรดครองบัลลังก์สืบต่อไปด้วยเถิด

นั่นคือส่วนสำคัญของเนื้อหาที่ฟาร์มาตอบกลับไปยังเธอด้วยภาษาที่มีความนุ่มนวลระดับสูงที่สุด

ปล : อันที่จริงแล้วกระหม่อมไม่ค่อยชอบโนอาร์เท่าไรนัก เขาค่อนข้างเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว แต่ก็กลับกลายเป็นว่าเขาได้ทำเรื่องดีๆ ออกมาได้เหมือนกัน

—————————–