บทที่ 106 พยายามสืบสวน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว หมี่ฉงก็พาหมี่โม่หรู่เข้าประจำที่ แต่ก่อนที่เขาจะยืนนิ่ง ก็มองเห็นบางอย่างกำลังลอยเข้ามา

เขาพุ่งไปด้านข้างอย่างคล่องแคล่วว่องไวก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบจอกสุราใบเล็ก ฉับพลันก็เห็นจอกสุราขนาดเล็กอีกใบลอยไปทางหมี่โม่หรู่

“เอ๊ะ เอ๊ะ”

เพล้ง!

เสียงร้องด้วยความตกใจของหมี่ฉง และเสียงเครื่องเคลือบที่ตกแตกบนพื้นดังขึ้นพร้อมกัน

จอกสุราใบเล็กแตกกระจายอยู่หน้ารถเข็นของหมี่โม่หรู่ราวหนึ่งก้าว สุราสีใสข้างในทะลักออกมา

“อ่า ช่างน่าเสียดาย” หมี่เฉินอี้สูดกลิ่นสุราในอากาศ “มันเก่าแก่เป็นสิบปีแล้ว”

หมี่ฉงเงยหน้าขึ้นและจิบสุรา หัวใจของเขาสั่นระรัวทันทีขณะหันกลับมาและเดินไปที่โต๊ะ หยิบกาน้ำชาแล้วเทชาหนึ่งถ้วยก่อนจะยื่นให้หมี่โม่หรู่ “เสด็จอา ท่านลืมไปแล้วหรือว่าโม่หรู่ไม่ควรดื่มสุรา ก่อนออกมาน้องสะใภ้ของกระหม่อมก็กำชับกระหม่อมเป็นพิเศษด้วยว่าหากเจ้าเจ็ดมีกลิ่นสุรากลับไป เกรงว่ากระหม่อมจะไม่อาจเล่นสนุกกับเขาไปได้อีกหลายเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

นี่เป็นเพียงการบังคับให้คนเปิดเผยความลับของตนเองทันทีที่พวกเขามาถึง ราวกับว่าเมื่อมีคนโยนบางอย่างให้แล้วจะต้องเอื้อมมือออกไปจับมันโดยสัญชาตญาณ หมี่เฉินอี้โยนจอกสุราใบเล็กไปที่ด้านหน้าของหมี่โม่หรู่อย่างจงใจ หากพยุงตัวขึ้นเล็กน้อย เขาก็จะสามารถจับมันได้ตราบเท่าที่เขายกขาขึ้นเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือออกไปรับไว้

เป็นการทดสอบการตอบสนองโดยสัญชาตญาณของร่างกายมนุษย์อย่างสมบูรณ์ หากโม่หรู่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าด้วยการสกัดจุดบนร่างกายส่วนล่างของเขาเอาไว้ก่อน การทดสอบอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็จะป้องกันได้ยากจริง ๆ

“ข้าไม่เห็นด้วย” หมี่เฉินอี้มองหมี่โม่หรู่อย่างจริงจัง “หลานสะใภ้ของข้าดูอ่อนน้อมและมีคุณธรรมนัก เจ้ายังกลัวนางอยู่อีกหรือ?!”

“มันยากที่จะบอกว่ากระหม่อมกลัว แค่ทนไม่ได้ที่จะต้องฟังเสียงบ่นลอยเข้าหูเพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หมี่โม่หรู่จิบชาแล้ววางกาน้ำชาลงบนโต๊ะขนาดเล็กข้างเขา

หมี่เฉินอี้ไม่สนใจประเด็นนี้ “อยู่ที่ตำหนักถงจิ้งสะดวกดีหรือไม่? ข้าคิดว่ามันอบอุ่นกว่าที่อื่นเพราะอยู่ใกล้กับศูนย์กลางของบ่อน้ำพุร้อนที่สุด”

“ขอบพระทัยเสด็จอาที่ทรงมีเมตตา มันอบอุ่นจริง ๆ หากไม่ออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องมีเตาเผาถ่านเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าดื่มสุราไม่ได้ ฉะนั้นต้องเล่นหมากรุกกับข้าสองตา” หมี่เฉินอี้ดื่มสุราจากจอกขนาดเล็กในมือแล้วชี้ไปที่กระดานหมากรุกข้างเขา “ข้าพบคู่มือหมากรุกเมื่อสองสามวันก่อน และได้เรียนรู้กลอุบายมาบ้างจึงทำให้ใจข้าร้อนวิชา ซ้ำยังได้ยินมานานแล้วว่าโม่หรู่เล่นหมากรุกเก่งนัก ข้าจึงต้องการเล่นด้วยในวันนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ” หมี่โม่หรู่เข็นรถเข็นไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะพาตัวเองไปที่โต๊ะเล็ก ๆ บนเตียงที่ร้อนระอุ

ไม่นานเสียงตัวหมากรุกก็ปะทะกัน หมี่ฉงนั่งดื่มสุราพลางรับชม เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับหมากรุกแล้วแต่ก็ไม่ได้มีความอดทนที่จะศึกษามันอย่างจริงจัง ทุกครั้งที่เขาเห็นโม่หรู่จ้องไปที่กระดานหมากรุก และมือทั้งซ้ายขวาของพวกเขาโต้ตอบกัน เขาก็ไร้ซึ่งความเข้าใจโดยสิ้นเชิง

หลังจากค้นคว้าอย่างรอบคอบมาหลายปี รูปแบบการเล่นหมากรุกของหมี่โม่หรู่นั้นเสถียรมาก ไม่ว่าเขาจะถูกหมี่เฉินอี้เก็บหมากรุกไปหลายตัวแล้วก็ตาม เขายังคงเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ

ในทางตรงกันข้าม หมี่เฉินอี้มาพร้อมกับพลังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ราวกับว่าเขาตั้งใจที่จะชนะและดุดันขึ้นในทุกขั้นตอน

ในขณะนี้ยิ่งหยุดอย่างคงที่มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

เสียงเริ่มเงียบลง

หมี่เฉินอี้เคาะหมากบนกระดานเบา ๆ และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “กลอุบายในตอนนี้ของเจ้าช่างดีนัก เจ้าครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของข้า ทำให้บัดนี้ข้าโต้กลับได้ยากนัก”

“หมากรุกหายไปเพียงไม่กี่ตัว มีพื้นที่แค่ครึ่งหนึ่ง หมากสีดำของเสด็จอาก็ยังคงได้เปรียบอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” หมี่โม่หรู่วางหมากสีขาวอีกชิ้นหนึ่งลงแล้วตอบช้า ๆ

“อืม ความจริงก็มีข้อดีอยู่แต่ก็แค่ตอนนี้ ตามวิธีการของโม่หรู่แล้ว คาดว่าหลังจากผ่านไปสิบตาข้าก็จะสูญเสียความได้เปรียบนี้ทั้งหมด และเจ้าจะควบคุมได้อย่างเต็มที่” หมี่เฉินอี้ยกยิ้มอ่อนและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เห็นหรือไม่ เจ้าเอาอีกสามตัว”

หมี่โม่หรู่ยกยิ้ม “โม่หรู่ไม่มีอะไรทำตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่จึงอาศัยการเล่นหมากรุกเป็นหลักเพื่อฆ่าเวลา ทักษะนี้ของกระหม่อมดีกว่าจริง ๆ แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่าเสด็จอาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

หมี่เฉินอี้วางหมากในมือลงบนกระดานหมากก่อนจะกล่าวว่า “ตอนแรกข้าต้องการตรวจสอบผลการเรียนรู้จากคู่มือหมากรุกกับเจ้า แต่ข้าพบว่ามันทำให้ข้าไม่เพลิดเพลิน ข้าจึงไม่อยากเล่นอีกต่อไป”

“เสด็จอาพูดน่าขันนัก ในแง่ของอายุ ท่านแก่กว่าพวกเราเพียงแปดหรือเก้าปี เหตุใดจึงพูดราวกับท่านแก่แล้วเล่า” หมี่ฉงรับการสนทนาและหัวเราะ

“เฮ้ ข้าชอบฟังเช่นนี้ โม่หรู่ยังเป็นเด็กน้อย มันเป็นความพอใจของข้า” หมี่เฉินอี้พูดและผลักกระดานหมากรุกไปข้างหน้า ก่อนจะหยิบจอกสุราขึ้นมาอีกครั้ง

ห้องพลันเงียบลง หมี่โม่หรู่ฟื้นฟูเกมหมากรุกที่กระจัดกระจายไปทีละตา พลางเฝ้าดูอย่างจริงจัง

ทั้งสองคนข้างเขาพูดคุยเล่นหัวกัน หลังจากที่จอกสุราในมือว่างเปล่าอีกครั้ง หมี่ฉงก็เมาเล็กน้อย “เสด็จอา วันนี้กระหม่อมต้องหยุดก่อน แล้วกระหม่อมจะพาท่านไปร่ำสุราอย่างดีในภายหลัง”

หมี่เฉินอี้ก็มึนเช่นกัน เขานอนอยู่บนเตียงร้อนและโบกมือ “กลับไป กลับไป”

หลังจากออกจากตำหนักเหลียนฟาง ลมหนาวยามค่ำคืนทำให้หมี่ฉงตื่นตัวขึ้นมาก เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วเดินข้างหมี่โม่หรู่และพูดว่า “บางทีอาจเป็นเพราะเราทำให้องค์รัชทายาทออกไปได้สำเร็จในครั้งล่าสุด เขาจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องการให้พวกเรามาเป็นพันธมิตรใช่หรือไม่?”

ระหว่างการเล่นหมากรุก คำพูดของทั้งสองคนทำให้หมี่ฉงหวาดกลัวจนเหงื่อตกหลายครั้ง โชคดีที่ความแข็งแกร่งทางจิตใจของหมี่โม่หรู่นั้นไม่มีใครเทียบได้ เขาจึงเพิกเฉยต่อคำพูดของหมี่เฉินอี้แบบสี่ตำลึงปาดพันชั่ง

“แม้ว่าเราจะไม่ได้ใส่ไฟ แต่การกระทำขององค์รัชทายาทก็เพียงพอแล้วที่เสด็จอาจะจัดการกับเขา บางทีเขาอาจแค่ต้องการทดสอบตำแหน่งของข้าในตอนนี้” แน่นอนว่าหมี่โม่หรู่ไม่อาจบอกใครได้ว่าเป้าหมายของหมี่เฉินอี้ก็คือพระชายาตัวน้อยของเขา

เดิมทีเขาแค่ต้องการจะทำให้การต่อสู้ระหว่างองค์รัชทายาทกับอ๋องจั่วเสียนรุนแรงขึ้น และเป็นการดีที่สุดที่จะบรรลุสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องสูญเสีย แต่บัดนี้ดูเหมือนว่าตำหนักของอ๋องหลี่ชินอาจต้องเข้าสู่สายตาของข้าราชบริพารก่อนกำหนด

ขาของเขาก็จะต้อง ‘ดี’ ล่วงหน้าเช่นกัน

หลังจากมาถึงทางเข้าตำหนักถงจิ้ง หมี่ฉงก็เหลือบมองไปยังแสงสีเหลืองในห้องแล้วปล่อยมือของเขา “ให้อู๋เหินเข็นเจ้าเข้าไปเถิด มันดึกมากแล้ว ข้าจะไม่เข้าไป”

“ได้เลย” หมี่โม่หรู่เคลื่อนผ่านเขาไปและหยุดหลังจากผ่านไปสองก้าว “พี่ชายสาม วันนั้นข้าไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ จึงพูดจาไม่เหมาะสมกับท่าน”

หมี่ฉงนึกขัน “หากเจ้ายังต้องควบคุมอารมณ์ต่อหน้าข้าก็แสดงว่าพี่ชายสามยังทำได้ไม่ดีพอ หนึ่งปีมีวันเดียวไม่ใช่หรือ ข้าทนได้”

“ไม่ใช่ทุกวัน เพราะวันนั้นเป็นวันครบรอบการเสียชีวิต…” หมี่โม่หรู่พึมพำกับตัวเองพลางมองหมี่ฉงที่ส่ายหน้าไปมา

ภายในห้อง ฉินปู้เข่อหลับไปนานแล้ว แต่นางไม่ต้องการให้หมี่โม่หรู่อยู่ในความมืดเมื่อเขากลับมา นางจึงจุดตะเกียงไว้

หมี่โม่หรู่นั่งลงที่ขอบเตียงและโน้มตัวลงอย่างระมัดระวัง และจุมพิตที่หน้าผากของฉินปู้เข่ออย่างแผ่วเบา

เป็นความรู้สึกดีที่ได้รับความห่วงใย

เขาโอบกอดฉินปู้เข่อและต้องการยืดร่างกายของนางให้ตรง ในเวลานี้คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง นางเหยียดแขนโอบรอบเอวเขาแล้วพูดว่า “กลับมาแล้วหรือเพคะ”

“อืม อย่าจุดตะเกียงขณะนอนหลับ มันไม่ปลอดภัยและไม่ดีต่อตาของเจ้า” หมี่โม่หรู่เอามือของนางออกจากเอวแล้ววางกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม

ฉินปู้เข่อขดตัวและหลับตา “วันหลังหม่อมฉันจะทำผ้าปิดตา”

หมี่โม่หรู่จูบตาของนางแผ่วเบา “นอนหลับเถิด”

คนครึ่งหลับครึ่งตื่นเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง หมี่โม่หรู่มองไปที่แสงสลัว “ผ้าปิดตาคืออะไร”

หลังจากพูดแล้วเขาก็หัวเราะให้กับความเขลาของตัวเอง เขาบอกว่าจะไม่สงสัยหรือสอบสวนเกี่ยวกับนาง แต่พระชายาตัวน้อยมักจะเหยียดอุ้งเท้าแมวสะกิดใจของเขาเป็นครั้งคราว

ไม่นานหลังจากอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น หมี่โม่หรู่ก็ถูกหมี่ฉงพาตัวออกไป

ฉินปู้เข่อหาเข็มและผ้ามาเพื่อทำผ้าปิดตา

ทันทีที่ผ้าไหมถูกตัดเป็นรูปทรง แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็มาจากนอกตำหนัก

……………………………………………………………………….