“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ฉินปู้เข่อมองไปที่ฉินชิงเหยียนตรงหน้านาง พลันรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินชิงเหยียนทักทายนางตามมารยาท “แน่นอนว่าข้ามาเพื่อทักทายพี่สาวคนที่สอง บัดนี้ท่านเป็นพระชายาแล้ว และมันเป็นกฎและมารยาทที่น้องสาวของท่านควรปฏิบัติตามเมื่อมาทักทายท่าน”
หลังจากที่ฮูหยินฉินมีขนยาวขึ้นตามร่างกาย นางก็ถูกส่งกลับชนบทไป และความเย่อหยิ่งของฉินชิงเหยียนก็น้อยลงนักเมื่อไม่มีแม่ของนางอยู่ในจวนด้วย
ในช่วงเวลานี้ที่วังน้ำพุร้อน ฉินเฉิงหย่งอธิบายเป็นพิเศษว่าต้องการให้นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินปู้เข่อ เพราะบัดนี้อ๋องจั่วเสียนให้ความสำคัญกับตำหนักของอ๋องหลี่ชิน นางจึงต้องเสนอหน้าอยู่ข้างฉินปู้เข่อให้มากขึ้น เพราะอาจมีโอกาสได้พบกับอ๋องจั่วเสียนนั่นเอง
“เจ้าจิตใจดีขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉินปู้เข่อไม่เชื่อว่านางจะเปลี่ยนหน้าได้ คนเช่นนี้ไม่ต้องพึ่งพาการยอมจำนนแบบผิด ๆ ในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะกลับใจอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นคือตามวิสัยของฮูหยินฉินแล้ว นางย่อมต้องรู้เหตุผลที่นางขนยาว แล้วฉินชิงเหยียนผู้มีฐานะเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของนางจะไม่รู้หรอกหรือ?!
ดวงตาของฉินชิงเหยียนสั่นไหว และนางก็ก้มศีรษะลงแล้วร้องไห้ “ในอดีต น้องสาวปะทะกับพี่สาวโดยไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พี่สาวของข้าทั้งมีคุณธรรมและเที่ยงตรง จะให้อภัยข้าอย่างแน่นอนหากท่านงดงามและมีเมตตา”
“แล้วถ้าข้าไม่ยกโทษให้เล่า” ฉินปู้เข่อยกยิ้มอ่อน คำเยินยอหาได้มีผลกับนางไม่
สำหรับการเข้าหาโดยเจตนาของฉินชิงเหยียนนั้น ฉินปู้เข่อขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจกับมันได้ ทุกประโยคจึงเผ็ดร้อนและไร้ความปรานี
ใบหน้าของฉินชิงเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “พี่สาว เลือดข้นกว่าน้ำ ท่านกับข้าเป็นพี่น้องกัน…”
“ข้าไม่มีน้องสาวอย่างเจ้า” ฉินปู้เข่อเหลือบมองนางอย่างเย็นชา ความหมายนั้นชัดเจนมาก
“ท่านกับข้าคือคนสกุลฉิน เรามีพ่อคนเดียวกัน พี่สาว…”
“พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าคิดว่ามีวิธีใดที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวโดยไม่ต้องฆ่าพ่อบ้าง?” ฉินปู้เข่อดูเหมือนจะนึกถึงสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างได้ และมองไปที่ฉินชิงเหยียนเพื่อขอคำแนะนำอย่างจริงจัง
ฉินชิงเหยียนตกใจมากจนไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง “ตัด… ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาว ฆ่าพ่อหรือ?”
“นี่ สิ่งที่ข้าถามคือจะหลีกเลี่ยงการฆ่าพ่อของข้าได้อย่างไร อย่างไรเสียการฆ่าคนก็ต้องชดใช้ และข้าไม่ต้องการที่จะเสียสละปีที่ดีของข้าเพื่อชายชราผู้นั้น” ฉินปู้เข่อพูดด้วยรอยยิ้มหยัน มันเป็นเรื่องยากที่นางจะได้มามีชีวิตเช่นนี้และได้อยู่ร่วมกับเทพบุตรอย่างดี ดังนั้นนางต้องไม่ทำลายตนเอง
ทันใดนั้นฉินชิงเหยียนก็ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ฉินปู้เข่อ ก่อนจะด่าทอออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “นังผู้หญิงนอกคอก ข้ามน้ำได้ก็รื้อสะพาน เจ้ามันเนรคุณ เสียชาติเกิด เจ้า เจ้า…”
“เจ้าตื่นเต้นอะไรถึงเพียงนั้น? ข้าแค่พูดถึงมัน เจ้าได้พัฒนาพจนานุกรมสำนวนในใจของเจ้าแล้วหรือ?” ฉินปู้เข่อโบกมือเบา ๆ “ซวงหวน ส่งแขก”
คุณภาพทางจิตใจย่ำแย่เกินไป เพราะนางต้องการออกจากจวนสกุลฉินเอง และแยกตัวจากความสัมพันธ์แบบพ่อลูกกับฉินเฉิงหย่ง มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าฉินชิงเหยียนกำลังจะเสียพ่อไป
หายากนักสำหรับพ่อไม่ดีที่ปฏิบัติต่อลูกสาวของตนราวกับตัวหมากรุก นางไม่ต้องการจะมีจุดจบแบบเดียวกับฉินเสวี่ยเหลียนในวันหนึ่ง ไร้ประโยชน์ หรือถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าหลังจากที่อยู่เหนือการควบคุมของจวนสกุลฉิน
ปัจจุบันตำหนักของอ๋องหลี่ชินดูเหมือนจะไม่ได้มีส่วนร่วมในข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่จากการคาดคะเนของหมี่โม่หรู่และหมี่ฉง พวกเขาตั้งใจที่จะผลักหมี่โม่หรู่ออกไป นางเกรงว่าฉินเฉิงหย่งจะเข้ามากดดันนางเพื่อให้ทำเรื่องไร้สาระบางอย่าง
แทนที่จะถูกควบคุมโดยผู้อื่นก็เป็นการดีกว่าที่จะโจมตีโดยเร็วที่สุด และทำลายความคิดของฉินเฉิงหย่งเมื่อเขาคิดว่านางเป็นหมากรุกที่ไร้ประโยชน์
นางคิดว่าหลังจากการพบกันแบบ ‘จริงใจต่อกัน’ นี้ ฉินชิงเหยียนจะรับรู้ถึงความเป็นจริงที่นางไม่เต็มใจที่จะเป็นพี่น้องกับอีกฝ่ายอีกต่อไป และต้องการอยู่ห่างจากนางอย่างน้อยสามลี้ แต่คาดไม่ถึงว่าฉินชิงเหยียนจะกลับมาหาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
นอกจากสีของเสื้อผ้าแล้ว ทั้งสีหน้า ท่าทาง และทัศนคติของนางยังคงเหมือนกับเมื่อวันก่อนทุกประการ ดูเหมือนว่านางจะลืมคำพูดของลูกสาวนอกคอกอย่างฉินปู้เข่อไปแล้ว และยังคงคุยกับนางเกี่ยวกับความเป็นพี่น้อง
ฉินปู้เข่อต้อนรับคนผู้นั้นเข้ามา และยังคงด่านางแบบติดหอกพกกระบอง*[1] จนนางจากไปทั้งน้ำตา
ในวันที่สาม ฉินชิงเหยียนมาตรงเวลา ฉินปู้เข่อคิดอยู่ครู่หนึ่งว่านางได้เข้าสู่ห้วงเวลาและสถานที่กลับชาติมาเกิด วันนี้นางถูกกักขังและไม่สามารถออกไปไหนได้
ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์นองเลือดทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนางก็เกิดขึ้นจนได้ และมันก็เป็นไปได้ที่สิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน
ในวันที่สี่ ฉินปู้เข่อเรียกจานหานชิวให้มาหาเพื่อดูว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หลังจากที่ทั้งสองยังไม่ทันได้นั่งพัก ฉินชิงเหยียนก็กลับมาอีกครั้ง
พวกนางทักทายตามปกติและพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นพี่น้องกัน
เป็นฉินปู้เข่อที่อดทนไม่ไหวและพูดหยาบคายต่อหน้าจานหานชิว “ข้าไม่ต้องการให้คนนอกวิจารณ์ข้าอย่างไร้กฎเกณฑ์ในตำหนักของท่านอ๋อง ข้าใส่ใจกับความสุภาพและมารยาทในการต้อนรับเจ้าทุกวัน เจ้าจะพอได้หรือยัง?!”
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดถึงความเป็นพี่น้อง มันทำให้ข้าดูใจแคบยิ่งกว่าไส้ไก่ กี่ครั้งแล้วที่เจ้าและพี่สาวของเจ้ารังแกข้าตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้เจ้าหวังแค่มาร้องไห้ต่อหน้าข้าสองสามครั้งทุกวัน พูดดี ๆ สองสามรอบแล้วข้าต้องยกโทษให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
“หากพรุ่งนี้เจ้ากล้ามาที่ตำหนักถงจิ้งอีก ข้าจะบอกให้ซวงหวนยืนถือไม้รออยู่ที่หน้าประตู และหากนางเห็นเจ้าภายในระยะหนึ่งจั้งจากประตูก็ให้ตีเจ้าด้วยไม้ทันที!”
ฉินชิงเหยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ “พี่สาว บัดนี้พี่สาวคนโตไม่อยู่ ท่านเป็นพี่สาวคนเดียวของชิงเหยียน”
“ช่างไร้ยางอายเสียจริง ออกไป!” ก่อนที่นางจะพูดจบ ฉินปู้เข่อก็ลุกขึ้นจากเตียงอุ่นและผลักนางออกไปทันที ก่อนจะปล่อยให้ซวงหวนลากนางออกจากตำหนักถงจิ้ง
เมื่อเสียงร้องข้างนอกเงียบลงเล็กน้อย จานหานชิวก็ทนไม่ไหว “เสี่ยวเข่อ สิ่งที่นางกระทำก่อนหน้านี้มากเกินไปจริง ๆ แต่บัดนี้ฮวงจุ้ยเปลี่ยนไปแล้ว นางรู้ดีว่ามันผิดจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่านางมาขอปรองดองด้วยที่นี่ทุกวันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ได้โปรดยอมรับนางเถิด พี่สาวน้องสาวทั้งหลายต่างก็มีความบาดหมางกันในชั่วข้ามคืนเท่านั้น”
แม้ว่าจะมีนางสนมอยู่ในจวนของจานซื่อเจีย แต่นางสนมในจวนสกุลจานก็ไม่ได้มีทายาท จานหานชิวและพี่สาวทั้งสองเป็นบุตรสายตรงของฮูหยินใหญ่ และนางเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่พี่สาวทั้งสองรักใคร่ที่สุด
ดังนั้นนางจึงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีความเกลียดชังระหว่างพี่สาวน้องสาวในระยะยาว และนางเชื่อจริง ๆ ว่าการสำนึกผิดของฉินชิงเหยียนนั้นจริงใจ
ฉินปู้เข่อเหลือบมองนางแล้วบ่นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้เรื่องตอนที่ข้าอยู่ในจวนมหาเสนาบดีหรือ เหตุใดเจ้าถึงช่วยนางพูดในเวลานี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ทำอะไรมากเท่ากับฉินเสวี่ยเหลียน พี่สาวคนโตของนาง แต่การที่นางเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ไม่สามารถละเว้นได้เช่นกัน”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนไม่พอใจ จานหานชิวก็รีบปลอบอีกฝ่ายทันที “เอาล่ะ ๆ อย่าพูดถึงนางเลย ปล่อยให้ซวงหวนขับไล่นางไป หลังจากวันนี้เจ้าจะไม่ได้พบนางอีก อย่าโกรธเลยนะ”
จานหานชิวจงใจทำตัวเหมือนเด็กงอแงเพื่อหยอกล้อฉินปู้เข่อ
ฉินปู้เข่ออดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางจึงค่อย ๆ เปลี่ยนอารมณ์ไป
หลังจากที่จานหานชิวกล่าวอำลาไปแล้ว ซวงหวนก็กล่าวว่า “พระชายา หากท่านไม่ชอบแม่นางฉินที่สาม เมื่อสองสามวันก่อนท่านก็ไม่ควรปล่อยให้นางเข้ามา นางทำให้ท่านโกรธมาหลายวันแล้วนะเพคะ!”
“หากไม่ปิดกั้นถนนสายนี้ นางจะหาวิธีอื่นได้อย่างไร” ฉินปู้เข่อจุดไฟเพื่อจุดเทียนสีเงิน “เจ้าเห็นอย่างชัดเจนแล้วหรือไม่?”
“เพคะ เพียงไม่กี่ก้าวหลังจากที่ข้าน้อยส่งแม่นางจานที่สี่ออกไป แม่นางฉินที่สามก็เดินออกมาข้างนางและหาข้ออ้างที่จะไปเส้นทางเดียวกันกับแม่นางจานที่สี่ ดูเหมือนว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองจะดีนะเพคะ”
……………………………………………………………………….
[1] 夹枪带棒 jiā qiāng dài bàng ติดหอกพกกระบอง สำนวนนี้หมายถึงการพูดจาแฝงนัยเย้ยหยันถากถาง