บทที่ 98 เสียงในห้องเก็บศพ

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 98 เสียงในห้องเก็บศพ

บทที่ 98 เสียงในห้องเก็บศพ

ความรักของแม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้!

โจวอี้เห็นด้วยตาของเขาเองจนอดทึ่งไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งอารมณ์ผุดขึ้นในหัวใจเขา ซึ่งเรียกว่า ‘ความเจ็บปวด’

เพราะชายหนุ่มไม่เคยมีความสุขกับความรักและการเสียสละของผู้เป็นแม่

ระหว่างทางไปแผนกฉุกเฉิน เขานึกถึงเรื่องของถงหู่

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนที่ถงหู่กลับมาจากนอกภูเขา โจวอี้ได้เตรียมอาหารและไวน์ให้ถงหู่

ครั้งนั้นถงหู่เมา และโจวอี้ยังคงจำฉากนั้นได้ดี ร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนหมีนั่งกอดเข่าตัวเองและร้องไห้อยู่บนพื้น

ชายหนุ่มยังคงจำสิ่งที่ถงหู่พูดทั้งน้ำตา

“พี่อี้ ผมไม่มีแม่อีกแล้ว! ตอนที่ผมกลับมาจากข้างนอก แม่ของผมจะคอยทำอาหารให้ ซ่อมเสื้อผ้า ไล่ผมไปรอบสนามด้วยไม้กวาด และเกลียดที่ผมกลับมาจากป่าด้วยสภาพเหมือนลิงเปื้อนโคลน ”

“แต่เมื่อผมกลับมาครั้งนี้ กลอนประตูก็ขึ้นสนิม สนามหญ้าเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นรก และห้องก็ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากใยแมงมุม”

“ไม่มีบุหรี่ ไม่มีอาหารร้อน ๆ และไม่มีแม่คอยดุด่าผมอีกแล้ว”

“ฮือ…”

“พี่อี้ ผมคิดถึงแม่ อยากกินอาหารฝีมือแม่ อยากถูกเธอตีอีกสักครั้งก็ยังดี! ฮือ…”

ในเวลานั้น โจวอี้เพียงรู้สึกเวทนาถงหู่เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว คนที่รักมากที่สุดในโลกได้จากไป ใครบ้างจะทนไหว?

แผนกฉุกเฉิน

เมื่อโจวอี้มาถึง เขาก็พบว่าผู้บาดเจ็บสาหัสทั้งหมดถูกส่งไปที่ห้องผ่าตัด และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเพียงสี่หรือห้าคนเท่านั้นที่ยังรอการรักษา

ร่าของคุณแม่คนนั้น …ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาและพันแผลให้ผู้บาดเจ็บคนอื่น ๆ แล้ว เขาก็ถามหัวหน้าพยาบาลว่าร่างของผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน

“หมอโจว ร่างของเธอถูกส่งไปที่ห้องเก็บศพแล้ว” หัวหน้าพยาบาลกระซิบบอก

“ญาติมาถึงหรือยัง” โจวอี้ถาม

“ยัง” หัวหน้าพยาบาลส่ายหัวและพูดอย่างเศร้าโศก “สามีของเธอเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เราตรวจสอบบัตรประชาชนของพวกเขาจนรู้ที่อยู่แล้ว ตอนนี้กำลังพยายามติดต่อญาติที่นั่น คงใช้เวลาสักครู่ค่ะ”

“อืม!”

โจวอี้พยักหน้าเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยอะไรอีก

เขาถามตำแหน่งของห้องเก็บศพ ก่อนจะมายังชั้นใต้ดินของอาคารโรงพยาบาล

แสงของห้องใต้ดินมืดสลัว และทางเดินยาวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศมืดมน

โจวอี้เปิดประตูและเห็นเจ้าหน้าที่สองคนสวมเสื้อคลุมสีขาวและหน้ากากอยู่ข้างใน พวกเขากำลังนำศพไปแช่ช่องแช่แข็ง

“คุณกำลังมองหาใครอยู่?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้น

“ร่างของเกาเสี่ยวซิน” โจวอี้กล่าว

“อยู่ที่ตู้แช่แข็ง 1046 ครับ” พนักงานชี้ไปทางซ้าย

“ขอบคุณ!”

โจวอี้พยักหน้าให้ชายทั้งสอง ก่อนจะเดินไปดึงตู้แช่แข็งหมายเลข 1046 ออกมา เขาเปิดผ้าคลุมขาวออก จนกระทั่งเห็นใบหน้าซีดไร้เลือดฝาดของเกาเสี่ยวซิน

โจวอี้เอื้อมมือไปปัดผมยาวที่ปรกใบหน้าของเธอ

“คุณเกา ผมมาหาคุณแล้ว”

“ผมทำตามสัญญาแล้ว”

“ผมช่วยลูกสาวคุณไว้ ตอนนี้เธอยังไม่ตื่นแต่เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว และการรักษาจะไม่ทิ้งผลสืบเนื่องใด ๆ อีกในอนาคต คุณสบายใจได้”

“ขอบคุณนะครับ คุณทำให้ผมได้เห็นความยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ และบอกให้ผมรู้ว่าความรักของแม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้”

“โรงพยาบาลแจ้งเรื่องนี้ให้ญาติของคุณทราบแล้ว และพวกเขาจะรีบมาดูแลลูกสาวของคุณ”

“หลับให้สบาย ขอให้ไปสู่สุคตินะครับ”

“…”

บริเวณใกล้เคียง มีเจ้าหน้าที่สองคนนำศพไปแช่ช่องแช่แข็ง

พวกเขารู้ว่าร่างของใครอยู่ในตู้แช่แข็งหมายเลข 1046 และยังได้ยินเรื่องราวของแม่ที่เสียสละเลือดเพื่อปกป้องลูกสาวของเธอ แม้จะรู้ว่าอันตรายเพียงใด แต่คุณแม่ท่านนั้นก็ไม่ลังเล…

พวกเขาเศร้าสลดและสะเทือนใจไม่น้อย

หลังจากฟังคำพูดของโจวอี้ พวกเขาก็แสดงความเคารพด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

โจวอี้ออกมาจากห้องเก็บศพ เขาไม่ได้ตรงไปที่แผนกฉุกเฉิน แต่กลับไปยังคลินิกที่ปรึกษา

ในเวลานี้เหลียนซานยังไม่กลับมา โจวอี้เดาว่าเธออยู่คงที่โต๊ะผ่าตัดแล้ว ดังนั้นเขาจึงหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนจะพบว่าชาเย็นหมดแล้ว

ก๊อกก๊อก

ประตูห้องถูกเคาะ

โจวอี้เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าซีชิงอิ่งเข้ามา เธอสวมเสื้อผ้าที่บางมาก นอกจากนี้ผิวของเธอยังซีด และริมฝีปากของเธอก็เป็นสีม่วงจาง ๆ

“หมอโจว ฉันมาเพื่อรับการรักษา” ซีชิงอิ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือราวกับว่าเธอถูกแช่แข็ง

“เป็นอะไร? ทำไมคุณใส่เสื้อผ้าบางจัง” โจวอี้ขมวดคิ้วถาม

“ฉันพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในแผนกฉุกเฉิน จึงถอดเสื้อตัวนอกออกและมอบให้ผู้บาดเจ็บคนหนึ่ง” ซีชิงอิ่งยิ้มอย่างเอียงอายเล็กน้อย

โจวอี้ตกตะลึงและพยักหน้าเงียบ ๆ

เขายืนขึ้นถอดชุดกาวน์ออกเพื่อนำเสื้อคลุมด้านในยื่นให้ซีชิงอิ่ง “สวมให้ร่างกายอุ่นไว้ ไม่งั้นคุณจะเป็นหวัดเอาได้ ระวังตัวด้วย”

“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก ฉัน…” ซีชิงอิ่งรีบโบกมือปฏิเสธ

“รับไปเถอะ!”

ซีชิงอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ส่งสายตาแสดงความความขอบคุณมาให้และสวมยอมสวมเสื้อนั้น

อุ่นจัง!

ไออุ่นของโจวอี้ยังติดเสื้ออยู่ไม่หาย

ซีชิงอิ่งมองใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มด้วยหัวใจเต้นแรง

“ผมเพิ่งกลับมาจากแผนกฉุกเฉิน อุบัติเหตุจราจรครั้งนี้ร้ายแรงมาก น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ ไม่อย่างนั้น ผมอยากให้รถทุกคันที่ผลิตออกมาเป็นแบบกันกระสุนและกันระเบิด และไม่เสียหายจากการชน” โจวอี้นั่งลงที่โต๊ะพลางส่ายหัวและถอนหายใจออกมา

ตั้งแต่ชายหนุุ่มมาอยู่ในเมือง เขาก็ได้เห็นอันตรายร้ายแรงที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์สองครั้งติดต่อกัน

มีผู้เสียชีวิตมากมาย ในขณะที่ผู้บาดเจ็บอีกหลายคนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก

ซีชิงอิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจเมตตาในฐานะแพทย์ของโจวอี้

หมอโจวเป็นคนดี

“ว่าแต่ …ขอพูดอะไรหน่อยสิ” โจวอี้กล่าว

“พูดมาได้เลยค่ะ”

“หลังจากที่คุณได้รับการรักษาแล้ววันนี้ ไม่ต้องมาที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ เดี๋ยววันหลังผมจะไปดื่มชาที่โรงน้ำชาปาซานบ่อย ๆ และคอยรักษาให้คุณเอง” โจวอี้กล่าว

“จริง ๆ เหรอคะ?” ซีชิงอิ่งดูประหลาดใจ

“จริงสิ!” โจวอี้พยักหน้า

“ดีจังเลย ฉันจะเตรียมชาที่ดีที่สุดไว้รอคุณนะคะ” ซีชิงอิ่งกล่าวอย่างมีความสุข

“ได้สิ ผมจะรอชาดี ๆ ของคุณนะ” โจวอี้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มและถามว่า “คุณรู้สึกอุ่นขึ้นไหม มาเถอะ… มาเริ่มรักษากัน”

“ค่ะ!”

ซีชิงอิ่งเปลื้องผ้าต่อหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะยังอาย แต่ก็ดีขึ้นกว่าสัปดาห์ที่แล้วมาก

ผ่านไปสิบนาที การรักษาก็เสร็จสิ้น

ขณะที่ซีชิงอิ่งกำลังจะจากไป เหลียนซานก็กลับเข้ามาในห้อง

“ผ่าตัดเสร็จแล้วเหรอ?” โจวอี้ถาม

“มันจบลงแล้ว แค่คนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บก็น่าสงสารเกินไปแล้ว” เหลียนซานยิ้มอย่างขมขื่น

“เราเป็นหมอ สิ่งที่เราทำได้คือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ แล้วก็มองโลกในแง่ดีไว้!” โจวอี้กล่าวพลางส่ายหัว

“ฉันเข้าใจ! แต่ทุกครั้งที่ฉันเห็นคนตาย หรือครอบครัวที่ดูสิ้นหวังเพราะพวกเขาไม่มีเงิน มันก็รู้สึกเศร้ามาก” เหลียนซานถอนหายใจ

“ไม่มีเงินเหรอ หมายความว่าไง?” โจวอี้ขมวดคิ้ว

“ตัวอย่างเช่น พอญาติของผู้บาดเจ็บมาถึง เมื่อได้ยินราคาแล้วก็ร้องไห้และบอกว่าไม่สามารถจ่ายได้…”

“มีแบบนี้เยอะเลยเหรอ?” โจวอี้ถามด้วยความสงสัย

“เยอะมาก! โรงพยาบาลของเรามีกองทุนช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลพิเศษ แต่เงินเล็กน้อยที่จัดสรรจากด้านบนก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก มีครอบครัวยากจนจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ จนโรงพยาบาลต้องเลิกรักษาผู้ป่วยที่ไม่มีเงิน”

สีหน้าของโจวอี้เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน

เลิกรักษาเพราะไม่มีเงิน?

แล้วคนไข้จะสิ้นหวังแค่ไหน?

ครอบครัวเขาจะรู้สึกอย่างไร?

ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “กองทุนช่วยเหลือทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรับบริจาคไหม!?”

“รับสิ” เหลียนซานกล่าว

“ใครเป็นคนรับผิดชอบ ผมจะบริจาคเงินให้เอง” โจวอี้กล่าว

“ฉันก็จะไปด้วย!” ซีชิงอิ่งที่อยู่ข้าง ๆ รีบกล่าวขึ้นมาทันที