เล่มที่ 1 บทที่ 14 ทะเลลมปราณ (2)

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

“ตึก…ตัก…” สวีหยางอี้ได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจตัวเองดังอยู่ข้างหู ตอนนี้ความรู้สึกเขาสับสนไปหมด ราวก้อนหินหนักอึ้งจมดิ่งลึกลงไป
ความแข็งแกร่ง…ของสิ่งนี้พอได้มาแล้ว ย่อมไม่มีใครอยากสูญเสียไป

และเขายิ่งไม่ยอมเสียมันไปเพราะความแค้นใหญ่หลวงที่ยังไม่ได้สะสางของตัวเองแน่ ด้วยความช่วยเหลือขององค์กรทำให้ทุกคนในเทียนเต้าตามหามือสังหารเจอกันหมดแล้ว จะมีก็แต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่หาไม่เจอ เขาถึงต้องการความแข็งแกร่งมากกว่าใครทั้งนั้น!

ไร้ซึ่งคำตอบ สตินึกคิดทั้งหมดของเขาจมดิ่งลงอย่างสมบูรณ์ และเข้าสู่ห้วงทะเลลมปราณของตัวเองทันที

ตรวจดูภายใน

ศีรษะ…หน้าอก…พลังจิตของเขามุ่งลงเบื้องล่างไปยังจุดทะเลลมปราณ เขารู้แก่ใจดีว่าทะเลลมปราณมันพองขยายออกเองโดยที่เขาไม่อาจใช้พลังไปบังคับมันได้ เพราะทันทีที่เริ่มใช้พลัง ชีพจรเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงกับการระเบิดไปทุกที

การที่ชีพจรเสียหายยับเยินจนถึงขีดสุด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ “คนพิการ”

จากคนที่เป็นอันดับหนึ่งของสำนักเทียนเต้าเมืองอวี๋หยางกลายเป็นคนพิการงั้นเหรอ

จากนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบ มีอนาคตยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ต้องกลายเป็นคนไม่สมประกอบงั้นเหรอ

จากนักฝึกตนที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดกลายเป็นคนธรรมดางั้นเหรอ

เขาไม่ยอมแน่!

เห็นแล้ว…เขาเห็นสีขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตา ลอยเคว้งราวสายหมอก เป็นไอราวแสงอาทิตย์รำไรลอดผ่านหมู่เมฆ…นั่นคือตำแหน่งทะเลลมปราณของเขาเอง และเป็นจุดพิฆาตที่นักฝึกตนต้องรักษาเท่าชีวิต!

“พรึ่บ!” ในชั่วขณะนั้นเอง ลำแสงสว่างสีทองก็ทะลุผ่านสายหมอกกลุ่มนั้นพาดผ่านมาตรงหน้าเขา เดิมทีมันควรจะเป็นมหาสมุทรสีขาวที่ลึกลงไปกว่านี้ แต่ตอนนี้มันกลับทำเอาพลังจิตของเขาได้แต่ตะลึงงันอยู่กับที่

“นี่มัน…”

เขากำหมัดแน่นถึงพอจะดับอาการหายใจติดขัดด้วยความตื่นตระหนกลงได้

ขั้นเลี่ยนชี่ หรือที่เรียกว่าขั้นหนิงชี่ เป็นขั้นดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายแล้วหลอมรวมกันกลายเป็น “มหาสมุทร” แห่งลมปราณ สื่อถึงมหาสมุทรสร้างโลกและโลกได้ถือกำเนิดสิ่งมีชีวิต ส่วนขั้นจู้จี คือขั้นที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ขึ้น ทว่าตอนนี้กลับมีกล่องเล็กๆ โคจรอยู่ในทะเลลมปราณเขา

กล่องนั้นหลอมขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือ ประดิษฐ์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงเป็นพิเศษ ด้านบนกล่องสลักลายดอกบัวไว้อย่างประณีต ตรงขอบกล่องสลักสัญลักษณ์หรืออักขระที่ไม่เขาไม่รู้จักเลยสักนิดเอาไว้

ดอกบัวมีทั้งหมดห้ากลีบ ทว่ากลับมีแค่กลีบเดียวที่สลักสัญลักษณ์เอาไว้

มันเป็นรูปคนที่มีลำตัวเป็นมนุษย์มีศีรษะเป็นเสือดาว กำลังสวมใส่ชุดผาว[1]ของคนโบราณ ทว่าเป็นเพียงผ้าป่านธรรมดาๆ มือซ้ายถือม้วนตำราหยก ควบขี่อาชาไนยพันธุ์ดีที่มีหัวเป็นหมูป่าแต่ลำตัวเป็นม้าด้วยท่านั่งขัดสมาธิแสนประหลาด

รูปนั้นมีขนาดหนึ่งในห้าส่วนของกล่อง อีกสี่ส่วนที่เหลือเป็นช่องแข็งๆ ที่บุไว้ด้านบนสี่ช่อง

กล่องใบนั้นเรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะชั้นดีทีเดียว ทว่ามันกลับมีแค่ครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างนั้นหายวับไปแล้ว

“หึ่งๆ…” ในวินาทีที่สวีหยางอี้เห็นมันชัดๆ นั้นผืนทะเลลมปราณก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็มีแรงขุมหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะจนเขาแทบคุกเข่าลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันได้สังหรณ์ใจเลยสักนิด!

มันคือการบูชาต่อมิติที่สูงกว่าและสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่า ทั้งบริสุทธิ์ที่สุด…และดั้งเดิมที่สุด…

เพียงสัญลักษณ์ประจำเผ่าอันหนึ่งนั้นก็ทำเอาพลังจิตของเขาเหมือนกับใบไม้ร่วงโรยท่ามกลางพายุคลั่ง ถูกพัดปลิวหายไปในทันที!

เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง กล่องเล็กๆ ใบนั้นก็สั่นขึ้นมาเบาๆ และในวินาทีต่อมาก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาทันที!

ในมิติความเป็นจริง สวีหยางอี้กัดลิ้นตัวเอง เลือดสดๆ พลันไหลออกมาที่มุมปาก ดวงตาแดงฉานของเขาเบิกโพลงขึ้นในทันที

เขาเข้าใจทุกอย่างในวินาทีนั้นเอง

เป้าหมายตั้งแต่แรกของมัน…ไม่ใช่ทะเลลมปราณอะไรหรอก! แต่เป็นพลังจิตของเขาต่างหาก!

หากจะบอกว่าทะเลลมปราณคือรากฐานของการฝึกตน เช่นนั้นพลังจิต…ก็คือแก่นของการมีชีวิตอยู่!

หากเป็นทฤษฎีในอดีต มันก็คือวิญญาณ รวมไปถึงความทรงจำและจิตใจของมนุษย์ เป็นต้น แต่หากจะใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย มันก็คือความยาวคลื่นอย่างหนึ่งที่เมื่อสูญเสียความยาวคลื่นชนิดนี้ไปแล้ว…

ต้องตายสถานเดียว!

ตอนนี้เขาคิดได้แล้ว ปีศาจงูตัวนั้นเองเกรงว่าจะรู้จุดนี้ตั้งนานแล้ว เพราะอย่างนั้นปีศาจที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์นานตราบเท่าอายุขัยทั้งยังไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนั้น พอทะเลลมปราณพองจนใกล้แตกถึงได้ไม่ใช้พลังจิตเข้าไป “ดูอาการ” ให้ตัวเอง กล่องประหลาดใบนี้พองขยายสุดขีดอยู่ในทะเลลมปราณของมัน ก็เพื่อดึงดูดพลังจิตของฝ่ายตรงข้ามให้เข้ามา “สำรวจ” เพราะเป้าหมายตั้งแต่แรกของมันก็คือพลังจิต!

“นี่มันตัวอะไรกันแน่!” ไม่เหลือเวลาคิดพิจารณาแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบสั่งการไปที่พลังจิตของตัวเองให้รีบล่าถอยออกมาอย่างบ้าคลั่ง หากไม่นับแสงแล้วความคิดเขาก็คงเป็นสิ่งที่มีความเร็วสูงสุด ในทางทฤษฎีแล้ว ความเร็วของมันคือ…ไม่มีขีดจำกัด!

มันถึงขนาดยึดเอาจิตวิญญาณของคนเป็นเป้าหมาย…นี่มันยังเป็นวัตถุอยู่งั้นเหรอ

เมื่อเทียบกับวัตถุแล้ว มันออกจะคล้ายสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงเสียมากกว่า

ทว่าในตอนนี้ เขากัดฟันแน่น แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง

ถูก “ปฏิเสธ” แล้ว

“คำสั่ง” จากสมองเขาส่งความคิดออกไปให้พลังจิต “ล่าถอย” ด้วยความเร็วแทบจะสูงสุด ทว่าพอถึงทะเลลมปราณมันกลับถูก “ปฏิเสธ”

พลังจิต…ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าสมองเขาจะสั่งการอย่างไร แต่แก่นรากของพลังจิตที่จุดทะเลลมปราณก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“ไอ้…ไอ้หน้าอ่อน นายเป็นอะไรไป นาย…นายอย่าทำให้ฉันตกใจสิ! นายเป็นอะไรกันแน่” เมาปาเอ้อสะดุ้งวาบ มันคอยดูแลอยู่ข้างๆ เขาตลอด ไม่กี่วินาทีก่อนหน้า สวีหยางอี้ยังดีๆ อยู่แท้ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อครู่นี้เอง อยู่ๆ ใจมันก็เต้น “ตุบๆ” อยู่พักหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่ภัยอันตรายจะมาเยือน จากนั้นก็เห็นสวีหยางอี้เหงื่อแตกพลั่กแล้วกระอักเลือด

สวีหยางอี้ไม่ได้ตอบเพียงเม้มริมฝีปากแน่น เพราะในขณะเดียวกันนั้นเอง พลังจิตของเขาก็ชนโครมเข้ากับกล่องใบนั้น!

“ฟรึ่บ!” แสงสีทองวูบวาบ! สาดกระทบผืนทะเลลมปราณทั้งผืน ในชั่วขณะนั้นเองกระทั่งไอพลังปราณที่ลอยขึ้นก็ยังสงบลง!

“ไอ้หน้าอ่อน! ไอ้หน้าอ่อนนายเป็นอะไร!” เมาปาเอ้อรีบโผเข้าไปหาทันที สวีหยางอี้ที่อยู่ตรงหน้ามันนั้นไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เอาแต่กุมศีรษะก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น

ความเจ็บปวดแสนสาหัส…มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว

มันเหมือนกับมีคนใช้มือยัดของเป็นกองพะเนินมาใส่ในสมอง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทุกอณูจนเขาคิดว่าหัวกำลังจะแตกเสียให้ได้

ราวกับมีสว่านนับจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาเจาะสมองเขา เขารู้สึกได้ตรงแกนกลางสมอง ซึ่งก็บอกไม่ถูกว่ามันคือตรงไหน แต่มันกลายเป็นจุดศูนย์รวมความเจ็บปวดไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันคลื่นความเจ็บปวดนั้นก็เหมือนกับตาข่ายที่แผ่ขยายไปถึงหนังหุ้มสมองชั้นนอก ทั้งสมองเขาราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอย่างไรอย่างนั้น!

แต่ในขณะเดียวกันนั้น ความเจ็บปวดมหาศาลก็โถมเข้ามาในสมองเขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับอักขระสีทองนับไม่ถ้วน

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว…หนึ่งนาที สิบนาที หรืออาจจะหนึ่งชั่วโมง ความเจ็บปวดทรมานนี้ถึงได้คลายลง

“ฮึก…ฮึก…” แผ่นอกเขากระเพื่อมขึ้นลงคล้ายถูกสูบลมเข้าไป ความเจ็บปวดสาหัสทำเอามือเขาผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นมา เมาปาเอ้อหมอบอยู่ข้างเตียง มันร้อนรนเข้าไปดูอาการเขา “ไอ้…ไอ้หน้าอ่อน นายทำให้ฉันตกใจนะ… ครั้งแรกยังดีที่ฉันสังหรณ์ใจ แต่ครั้งที่สองไม่มีสัญญาณอะไรเลย… ฉันนึกว่านายจะจากไปทั้งอย่างนี้ซะอีก…นายยังไม่ได้ทำพินัยกรรมเลยนะ…ไม่เป็นไรใช่ไหม”

สวีหยางอี้กัดฟันแน่นพลางส่ายหน้าแล้วหลับตาลง ในหัวเขาเจ็บปวดทรมานราวถูกฉีกทึ้งจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งร่าง ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาร้องครวญครางเจ็บปวด!

เขา “สแกน” ตัวเองทุกซอกทุกมุมทุกตารางนิ้ว ทั้งมือ หน้าอก ช่องท้อง แขนขา สมอง ทว่า…กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!

เขาตรวจดูทะเลลมปราณอีกครั้ง ก่อนจะอดจะกัดฟันกรอดขึ้นไม่ได้

ครึ่งบนของกล่อง…ก็หายวับไปแล้ว!

ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

“พรึ่บ” ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงขึ้น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เมื่อสแกนร่างกายก็ได้พิสูจน์แล้วว่าว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้มีบางอย่างจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาในหัวตัวเองแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง

หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง…ผ่านไปสามชั่วโมงเต็มๆ เขาถึงได้เอ่ยปากขึ้น

“ไม่เป็นไร” ความเจ็บปวดในร่างกายที่โถมเข้ามาทำลายล้างอย่างกับพายุบรรเทาลงในที่สุด เขาถึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะมองเมาปาเอ้อด้วยสายตาลึกล้ำ “จำไว้ให้ดี เรื่องหลายวันนี้ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด”

“ทำไม” เมาปาเอ้อเอ่ยอย่างร้อนใจ “ร่างกายนายเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่กลับไปตรวจดูที่เทียนเต้าหน่อยเหรอ จะไม่ไปหาครูฝึกหารือแผนรับมือหรือไง”

“นั่นต้องหลังจากที่ฉันรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรซะก่อน!” สวีหยางอี้เอ่ยอย่างหนักแน่น

เขาเม้มริมฝีปากที่เริ่มจะแห้งผาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “สิ่งที่คนเราขาดไม่ได้ก็คือรัศมีให้คนยกย่อง และที่ขาดไม่ได้ยิ่งกว่านั้นก็คือความมืดมิดให้คนขนลุก”

“ประเทศหวาซย่าเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก ลุ่มแม่น้ำที่ทอดยาวมีประวัติศาสตร์หลายพันปี ทิ้งปริศนาที่ยังไม่อาจไขไว้มากตั้งเท่าไร เมาปาเอ้อ…” เขาจ้องตาอีกฝ่าย “นายลองคิดดูว่าถ้ามีคนบอกว่านี่เป็นจินตันโบราณอะไรสักอย่าง เป็นของวิเศษล้ำเลิศที่สามารถจำเจ้าของได้…ต่อให้มีกฎหมายควบคุม หรือต่อให้มันจะแค่ “คล้าย” นายคิดว่าพวกที่แค่ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเตะก็เปิดอีกมิติหนึ่งได้ กับพวกนักฝึกตนวัยไม้ใกล้ฝั่งจะคิดยังไง”

เมาปาเอ้อพลันชะงักไป

“ไม่ต้องเดา…” เขายิ้มเย็นๆ พลางเลียริมฝีปากตัวเอง “ต่อให้ฉันจะหนีไปซ่อนไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว ฉันก็คงถูกตามหาชิ้นส่วนจนเจอภายในไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์แน่”

“การฝึกตน…เดิมทีก็เป็นเรื่องที่มนุษย์ทั้งหลายต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่แล้ว” เขาเอนตัวลงนอนมองเพดานพลางเอ่ยอย่างถอนใจ “ถ้าเวลานั้นมาถึง ต่อให้ฉันต้องเสี่ยงอันตรายถึงขนาดต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ฉันก็คงต้องลงมือสังหารหมู่ไปตามระเบียบ”

เมาปาเอ้อกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “บางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่านายเป็นพระเอกหรือเป็นตัวร้ายกันแน่…ดูไปแล้วก็เหมือนจะเป็นคนดี แต่ฉันก็มักจะรู้สึกว่านายมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจซ่อนอยู่ในใจ”

“ฉันก็แค่นักปฏิบัตินิยม[2]” สวีหยางอี้เผยยิ้ม

“ไอ้หน้าอ่อน” เมาปาเอ้อยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นวางบนร่างของเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แต่ว่า…ฉันว่านายรีบกลับไปทำเรื่องจบที่สาขาย่อยก่อนจะดีกว่า นายเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าสาขาย่อยหมายถึงอะไร”

สวีหยางอี้กวาดสายตามองมันแวบหนึ่ง “ความจริง”

“ความจริงของโลก ความจริงที่ถูกกลบฝังไว้ด้วยประวัติศาสตร์และตำรา ความจริงที่สืบทอดมาแล้วหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คำ มีเพียงหนทางการฝึกตนเท่านั้นที่จะทำให้มองเห็นโลกใบนี้ได้อย่างชัดเจน”

“งั้นนายเคยคิดบ้างไหมว่าสาขาย่อยเป็นยังไง” เมาปาเอ้อหย่อนบั้นท้ายอวบอ้วนลงนั่ง “ที่นั่นเป็นกุญแจแห่งความจริง…กุญแจที่จะไขประตูไปสู่ความจริง…ฉันคิดว่ามีแค่การไปที่นั่นเท่านั้นถึงจะสามารถวิเคราะห์สาเหตุความเปลี่ยนแปลงของทะเลลมปราณนายได้ ฉันไม่อยากให้อนาคตนายพังเพียงเพราะการคาดเดา”

“อนาคต…” สวีหยางอี้หรี่ตาลง “เทียบกับไม่มีชีวิตรอด นายคิดว่าอะไรมันแย่กว่ากัน”

ครั้นข้ามมาประเด็นสนทนานี้ เขาก็โบกไม้โบกมือ “ช่วยหยิบยาแก้ปวดมาที”

“ทำไมนายไม่กู้เงินจากตู้มหาสมบัติสักแสนหนึ่งมาซื้อขี้ผึ้งสมานแผลหยกดำ” เมาปาเอ้อหรี่ตาสุนัขของมันลง แล้วเอ่ยข้อเสนอสุดเย้ายวน “ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มันเยิ้ม สลายทุกความเจ็บปวดไปในพริบตา”

“ถ้าฉันฟังไม่ผิด ผู้จัดการของตู้มหาสมบัติอยู่หน้าประตู” สวีหยางอี้ส่งเสียงหัวเราะเย็นๆ “อย่านึกว่าฉันไม่ได้ยิน…ตู้มหาสมบัติให้นายห้าพัน แลกกับการให้ฉันใช้ยาของพวกเขา…จะได้ถือโอกาสยกระดับสินค้าของตู้มหาสมบัติในเมืองซานสุ่ย…ฉันแม่Xมีค่าแค่ห้าพันเองเหรอ”

เมาปาเอ้อมองสวีหยางอี้เสียอย่างกับเห็นพวกครึ่งผีครึ่งคน แต่พอได้ยินว่าเขาบอกว่าไม่เป็นอะไรก็พลันเบิกบานขึ้นมา ทว่าทันใดนั้นก็ยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ “ยังมีอาหารหมาสูตรเฉพาะของตู้มหาสมบัติด้วยนะ…แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น! ประเด็นก็คือนายรู้ได้ยังไง!”

“เขาเอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูมาแปดรอบแล้ว…นายจะไปไม่ไป” สวีหยางอี้นวดขมับ เขาชักจะปวดตุบๆ ขึ้นมาทุกทีแล้ว

“เป็นไปไม่ได้!” นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ เมาปาเอ้อจะกระโดดโหยงขึ้นมาจ้องสวีหยางอี้ตาเขม็ง “ที่หน้าประตูไม่มีใครพูดอะไรสักหน่อย! ฉันกล้าสาบานได้!ถึงยังไงฉันก็เข้าขั้นเลี่ยนชี่ขั้นต้นแล้ว! และฉันก็เป็นหมา การได้ยินการดมกลิ่นฉันไวกว่าคนตั้งเท่าไร! ถ้าจะสู้กันเรื่องการได้ยินการดมกลิ่น นายเหรอจะสู้ฉันได้! ขนาดฉันยังไม่ได้ยิน นายจะมาได้ยินได้ยังไง!”

——————————————————————————–

[1] ชุดผาว คือ เสื้อคลุมตัวยาว

[2] ปฏิบัตินิยม เป็นทัศนะทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้และความจริง