เล่มที่ 1 บทที่ 15 ขอโทษ

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

เมาปาเอ้อลุก “พรึ่บ” ขึ้นเสียงราวกับคนลุกขึ้นจริงๆ แล้วดึงประตูเปิดออก “ดูสิ! ไม่มีใครสักคนใช่มั้ยล่ะ!”
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้น

ไม่มีใครสักคนจริงๆ

ถ้าอย่างนั้น…ก็เรื่องใหญ่แล้ว แล้วเมื่อกี้นี้เขาได้ยินอะไร

เขาได้ยินคนที่ชื่อผู้จัดการซูพูดงึมงำอยู่คนเดียวหน้าประตูอย่างชัดเจน ผู้จัดการซูคนนั้นกับเมาปาเอ้อตกลงกันจัดการเรื่องต่างๆ ทั้งราคา ค่าตอบแทน ล้วนตกลงกันอย่างชัดเจน ทว่า..ที่หน้าประตูตอนนี้กลับไม่มีใครอยู่จริงๆ!

“ด้านซ้ายมีใครอยู่ไหม จะให้หมอมาเปลี่ยนยาเหรอ”

หัวสุนัขของมันยื่นออกมาดูแล้วหดกลับไป “ไม่มีสักหน่อย”

“นายหูฝาดแล้วล่ะมั้ง” เมาปาเอ้อมองสวีหยางอี้อย่างระแวง “อันที่จริงนายไม่ต้องมาพล่ามว่าเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน…ถ้านายยอมอธิบายกับฉันมาให้ชัดๆ ว่านายรู้ข้อตกลงระหว่างฉันกับตู้มหาสมบัติได้ยังไง”

สวีหยางอี้หรี่ตาลง เขาไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แต่กลับส่งพลังจิตออกไป

ในหัวเขาบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

บางที…เขาอาจไม่ได้หูฝาด…

ทันทีที่ส่งพลังจิตออกไปเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที มันเป็นความชัดเจนที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง!

ก่อนหน้านี้ก็ชัดเจน ทว่าเทียบกับตอนนี้แล้วมันเหมือนกับมีเยื่อบางๆ มาคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง

ดอกไม้ยังคงเป็นสีแดงอยู่อย่างนั้น ทว่าสายตาเขากลับสัมผัสได้ถึงความซับซ้อนที่มากขึ้นและหลากหลายขึ้น ราวกับว่าสามารถเห็นโครงสร้างของสีได้อย่างชัดเจน เขาเห็นกระทั่งปีกของผึ้งตัวหนึ่งบนดอกไม้กำลังสั่นไหว

หรืออาจจะกล่าวได้ว่าโลกใบนี้มันจริงแท้มากขึ้น

เขาอยู่ห้องผู้ป่วยชั้นสิบ ตรงข้างทางหลวงที่ห่างจากแปลงดอกไม้ใต้ตึกไปเกือบร้อยห้าสิบเมตร!

ต่อให้เป็นนักฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ ก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปร้อยห้าสิบเมตรได้ละเอียดถึงขนาดนี้ แค่ร้อยเมตรก็นับว่าสุดยอดแล้ว!

และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ…เสียง

ทุกกระแสเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงผึ้งกระพือปีก เสียงผู้ป่วยพูดคุยกันใต้ตึก เสียงรถเมล์จอดเทียบป้ายที่ห่างออกไปสองร้อยเมตร หรือแม้แต่กระทั่งเสียงคนขับรถวัยกลางคนไอเบาๆ ตอนลงรถ…เขาได้ยินมันราวกับดังอยู่ข้างหูเขา

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ฟังผิด…แต่พลังจิตของเขามันขยายขนาดขึ้นแล้ว อีกทั้งช่วงสั้นๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาถึงประมาณหนึ่งในสามเท่า!

สวีหยางอี้ข่มกลั้นความสั่นสะท้านในใจเอาไว้ สำหรับนักฝึกตนแล้วพลังจิตกับทะเลลมปราณมีความสำคัญเท่าๆ กัน มันคือดวงตา หู และลิ้นของนักฝึกตนในการสัมผัสโลกใบนี้ เหมือนกับประสาทรับรู้ทั้งห้าของมนุษย์ รวมไปถึง…

ขนาดแรงในการสัมผัสและดึงดูดพลัง!

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเร็วในการสัมผัสและดึงดูดพลังของเขาในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่านักฝึกตนในลำดับขั้นเดียวกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามเท่า!

ณ ตอนนี้ไม่มีกำลังภายในหรือของล้ำค่าใดที่จะช่วยให้เลื่อนขั้นพลังจิตได้แน่! ยุคแห่งอารยะธรรมการฝึกบำเพ็ญ หรือเรียกอีกอย่างว่ายุคปลายของเวทย์ยุทธ พลังปราณมันเริ่มจะเบาบางลงชนิดหาใดเปรียบแล้ว การเข้าสู่ขั้นจู้จีภายในร้อยวันอย่างในนวนิยายนั้นไม่ได้รับความสำคัญอีกต่อไป ทุกวันนี้เข้าสู่ขั้นจู้จีได้ในร้อยปีก็นับว่าล้ำเลิศแล้ว ซึ่งพลังจิตนั้นจะพัฒนาขึ้นตามลำดับขั้นการฝึกตนเท่านั้น ไม่เคยอยู่ๆ ก็เลื่อนขั้นขึ้นมาก่อน!

“ไอ้หน้าอ่อน…นายไม่เป็นไรใช่ไหม” สีหน้าเขาว่างเปล่า เมาปาเอ้อจึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ “ หรือเป็นเพราะ…พักผ่อนไม่เต็มที่ถึงได้หูฝาด”

“ก็เป็นไปได้” สวีหยางอี้หลับตาลงเอนกายลงพิงเตียงผู้ป่วย “เก็บของซะ ไม่กี่วันหลังจากนี้เราจะไปจากเมืองซานสุ่ย”

“ตึงตึงตึง…” ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สิ้นเสียงเขาก็เห็นดอกไม้ช่อใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยคนนับสิบกว่าคน

คนทั้งหมดนั้นคือเจ้าพนักงานจากหน่วยสืบสวน คราวนี้มากันครบทีเดียว โดยมีรองหัวหน้าเฉินนำทีม!

“หัวหน้าสวี ดีขึ้นหรือยังครับ” รองหัวหน้าเฉินเอาดอกไม้หอบหนึ่งนั้นวางลงบนโต๊ะอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยด้วยท่าทีนอบน้อมจริงใจ “ได้ยินว่าคุณสลบไปสิบกว่าวัน พวกเราเสียใจมาก ไม่คิดว่าคนร้ายจะวางระเบิดได้ หากไม่ใช่เพราะคุณหัวหน้าสวี…พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าจะมีวันได้เห็นหน้าลูกอีกรึเปล่า”

ในคำพูดนั้นเผยให้เห็นถึงความนับถือ นอบน้อม และเคารพจากใจจริง ท่าทีแข็งกร้าวของอีกฝ่ายที่มีต่อเขาตอนที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งไม่กี่วันก่อนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว” สวีหยางอี้มองดอกแกลดิโอลัสช่อใหญ่อันสื่อถึงสุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วคลี่ยิ้ม “ขอบคุณพวกคุณมากสำหรับดอกไม้”

“ไม่ครับ ไม่ต้องขอบคุณ…ไม่เลย คือผมจะบอกว่าหัวหน้าสวีไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลยครับ!” เหล่าจูก้าวออกมาข้างหน้า เขาถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย “เมื่อก่อนมีคนบอกว่าคุณเป็นเด็กเส้น บอกว่าคุณลงมาทำงานเอาหน้า ผมดันเชื่อไปเสียได้…หัวหน้าสวีครับ พวกเรา…เรา…”

“พวกเราปฏิเสธคำชมเชยจากสำนักงานตำรวจประจำมณฑล” รองหัวหน้าเฉินมีสีหน้าละอายใจ “หัวหน้าสวี…พวกเรารอคุณได้ แต่สำนักงานตำรวจของมณฑลรอไม่ได้ คดีนี้ยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว คุณคงยังไม่รู้ว่าเดือนนี้ประชาชนในเมืองซานสุ่ยต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน การเรียนภาคค่ำก็ถูกยกเลิกไป ตอนกลางคืนบนถนนมีคนแค่ไม่กี่คน…พวกเขาต้องการให้เราแถลงข่าวนี้เดี๋ยวนี้ ผม…”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก” สวีหยางอี้ไม่ได้ใส่ใจสักนิด ปลอบประโลมจิตใจประชาชนเป็นภารกิจแรกที่ต้องทำหลังเกิดเหตุประหลาดอยู่แล้ว “นี่เป็นเรื่องที่พวกคุณควรทำ”

ในที่นั้นพลันเกิดความอึดอัดใจเล็กๆ ขึ้น

ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเห็นสวีหยางอี้ขัดหูขัดตา อยู่ๆ ก็ส่งเด็กเส้นลงมา ทั้งยังให้รับผิดชอบคดีใหญ่อย่างนี้อีกต่างหาก แม่ทัพไร้สามารถ จะพาทัพพ่ายกันไปหมด ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่สวีหยางอี้แสดงท่าทีว่าจะรับทำคดีนี้เองนั้น ทำเอาพวกเขาเดือดเสียจนแทบระงับโทสะไว้ไม่อยู่

แต่ตอนนี้ หลังจากที่พวกเขาสลบไปแล้วฟื้นขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ในช่วงเวลาวิกฤตนั้นสวีหยางอี้ได้ช่วยพวกเขาเอาไว้ ได้ยินว่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่ใกล้จุดที่ผู้ต้องหาวางระเบิด ถึงทำให้สูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง

เมื่อย้อนคิดไปถึงท่าทีของตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว ก็ทำเอาพวกเขาต้องใช้ความกล้ามากพอดูในการมาเยี่ยมไข้

ช่างน่าอายเหลือเกิน…จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน อายุอานามตั้งสามสิบสี่สิบแล้วแต่ยังตัดสินคนจากภายนอก ผลก็คืออีกฝ่ายช่วยพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ อีกทั้งเขาแค่คนเดียวก็ยังจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ ตอนที่อธิบดีเจิ้งมาแจ้งข่าวนี้ ทั้งหน่วยสืบสวนต่างพากันพูดอะไรไม่ออกอย่างกับคนใบ้

ทว่าหลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ ความรู้สึกละอายแก่ใจก็เอ่อล้นทะลักราวน้ำในทะเลสาบ แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกกระดากใจอยู่นานทีเดียว จนตอนนี้ถึงได้ปลุกความกล้าไปเลือกดอกไม้ช่อโตมาที่ห้องผู้ป่วยด้วยกันนี่เอง

“ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ” สวีหยางอี้พอจะเข้าใจความคิดพวกเขาชัดเจนแล้ว “ผมจะตรวจสอบอีกครั้งทันที หลังจากนั้นก็จะย้ายไป รอให้ผมออกจากโรงพยาบาลเราค่อยคุยกันดีไหม”

ย้ายไป?

ความรู้สึกละอายแก่ใจจางหายไปในชั่วพริบตา กลายเป็นความหักใจไม่ลงที่พลันเอ่อล้นขึ้นมาแทนที่ ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ในตอนนั้นเองถึงคิดขึ้นมาได้ว่า เหมือนสวีหยางอี้จะเคยพูดเอาไว้จริงๆ ว่าหลังจากจบคดีนี้จะย้ายไป

เมื่อก่อนพวกเขาทั้งร้อยยี่สิบชีวิตล้วนยินดี! แต่ตอนนี้…

เมื่อก่อนยินดีแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่ยินดีแค่นั้น!

ล้อเล่นอะไรกัน! จะมีหน่วยงานไหนไม่อยากมีหัวหน้าเก่งขนาดนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าติดตามเขาจะต้องพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย แค่ได้เรียนรู้จากเขาก็ถือว่าได้กำไรแล้ว!

“หัวหน้าสวี!” รองหัวหน้าเฉินเม้มริมฝีปากแล้วพลันลุกพรวดขึ้น ก่อนจะโค้งคำนับอย่างจริงจัง “ขอโทษด้วยครับ!”

พวกเขาทั้งหมดก้มศีรษะโค้งกายคำนับแล้วเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน “ขอโทษด้วยครับ/ค่ะ!”

“ไม่เป็นไร” สวีหยางอี้ส่ายหน้า ครั้นกำลังจะเอ่ยปากขึ้น รองหัวหน้าเฉินก็เอ่ยขึ้นต่อทันที “ไม่ครับ! มีเรื่องหนึ่งหากไม่พูดออกไป เกรงว่าต่อไปผมต้องนอนหลับไม่สนิทแน่!”

“ตอนแรกนั้นเป็นเพราะผมตัดสินคนจากภายนอก หัวหน้าสวี…ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า…คุณจะ จะ…ขนาดนั้น” เหล่าจูเม้มริฝีปาก ไตร่ตรองอยู่สองวินาทีถึงค่อยพูดออกไปอย่างจริงใจ “สุดยอด…สุดยอดจริงๆ! ทั้งมณฑลหนานทงไม่มีใครกล้ารับทำคดีนี้ แต่คุณแค่สามวันก็ปิดคดีได้แล้ว! ผมเหล่าจูเคยยอมแพ้ให้หัวหน้ากงคนก่อน แต่ตอนนี้ผมยอมคุณเลย!

“หัวหน้าสวี ขอได้โปรดรับคำขอโทษจากพวกเราด้วย” เจ้าพนักงานฉินเอ่ยขึ้นบ้าง “พวกเราไม่มีของขวัญอะไรมาให้ แต่นี่คือน้ำใจจากพวกเรา ถ้าเป็นเพราะท่าทีของพวกเราเมื่อก่อนทำให้คุณเข้าใจผิด…”

“ผมรับประกันได้ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก!” รองหัวหน้าเฉินยืดตัวตรงแล้วตบอกตัวเอง “ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หัวหน้าหน่วยคนนี้ ผมยอมแพ้แล้ว เดิมทีถ้าพูดถึงเรื่องประสบการณ์แล้วมันควรจะเป็นผม แต่คนที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ได้! ต่อจากนี้ไปถ้าคุณบอกทิศใต้ ผมไม่มีทางไปทิศเหนือเด็ดขาด!”

สวีหยางอี้เข้าใจแล้ว

แบบนี้ก็คือไม่อยากให้เขาไปนั่นเอง…

สำหรับคำขอโทษของอีกฝ่ายนั้นเขาไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลยจริงๆ กระทั่งเรื่องที่เคยทำให้เขาลำบากก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ

เพราะเดิมทีก็ไม่ใช่คนในระดับเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าดูถูก แต่เพราะจุดเดือดของเขากับคนธรรมดาทั่วไป เดิมทีก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว

คนทั่วไปจะด่ากราดเพราะโดนหัวหน้ากลั่นแกล้ง เพราะสุดยอดเพื่อนร่วมงาน เพราะของขึ้นราคา แต่เขาไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องที่ทำให้เขาร้อนใจได้ก็มีแต่ฝึกตนไร้หนทางก้าวหน้า หรือจะกลุ้มใจก็แต่เรื่องมองไม่เห็นทางสิ้นสุดเท่านั้น

“ขอโทษด้วย” เขาลุกขึ้นยืน แต่ละคนต่างพากันเข้ามาพยุงเพื่อนร่วมงานเพียงไม่กี่วัน “เป็นคำสั่งเลื่อนตำแหน่งน่ะ ผมมาที่นี่แค่เพราะต้องจัดการคดีนี้ หมดเรื่องแล้วก็ต้องไป”

คำพูดของเขาเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ ทุกคนต่างฟังออกว่าเรื่องนี้ไม่อาจทัดทานได้อีก

“มัน…ผ่อนผันออกสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ” รองหัวหน้าเฉินกัดริมฝีปากอย่างไม่เต็มใจนัก หัวหน้าหน่วยที่มีความสามารถขนาดนี้ เขาไม่อยากให้ย้ายไปจริงๆ

สวีหยางอี้ส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “มีโอกาสคงได้เจอกันอีก”

คนจากหน่วยสืบสวนทั้งหมดออกจากห้องผู้ป่วยไปด้วยความรู้สึกไม่ยินดีนัก

“โธ่เอ๊ย เหล่าเฉิน คุณจำได้ไหมว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เหล่าจูขมวดคิ้วถาม “ผมจำอะไรไม่ได้สักนิด…จำได้แค่ว่า…เหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่โตสุดๆ อะไรขึ้นสักอย่าง…เราติดค้างน้ำใจหัวหน้าสวีอย่างใหญ่หลวงแล้ว”

“ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน…” รองหัวหน้าเฉินส่ายหน้าพลางยิ้มเฝื่อนๆ “แต่ฉันก็เหมือนกับนาย จิตสำนึกฉันมันมักจะเตือนว่าคืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราได้ตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว”

“ผมก็เหมือนกัน!” “แปลกนะ…ผมก็เป็นเหมือนกัน” “มักจะรู้สึกว่าตัวเองติดค้างหนี้น้ำใจอีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวง แต่กลับคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง”

คนทั้งกลุ่มนั้นเดินลงไปถึงใต้ตึก รองหัวหน้าเฉินพลันเงยหน้าขึ้นไปมองยังห้องผู้ป่วยที่ชั้นสิบเป็นครั้งสุดท้าย

เขามักจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย

“ว่าแล้วไม่มีผิด…” เขาส่ายหน้าแล้วเดินตามคนอื่นๆ ไป “คนมีความสามารถจะยอมมาทนอยู่ที่กันดารแร้นแค้นอย่างเมืองซ่านสุ่ยนี่ได้ยังไง…”

“พรึ่บ…” มู่ลี่ถูกดึงลงมาแล้ว ทว่าสวีหยางอี้กลับใช้มือเลิกมู่ลี่เกล็ดหนึ่งขึ้นเบาๆ สายตาเขาฉายแววสั่นไหวเล็กน้อย

“ทำไม รู้สึกหดหู่ที่ไม่มีเพื่อนเป็นคนธรรมดาขึ้นมาหรือไง” เมาปาเอ้อยืนอยู่ข้างกายเขา แล้วใช้เท้าข้างหนึ่งแหวกม่านมู่ลี่ขึ้นตาม “ไอ้หน้าอ่อน…พวกเรามันไม่ใช่คนธรรมดามาแต่แรกแล้ว…ในสังคมนี้ ภายใต้เปลือกนอกที่ดูกลมกลืน ซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล…และยิ่งกว่านั้น คือซ่อนการมีอยู่ของคนเหนือมนุษย์อย่างพวกเราเอาไว้ด้วย มีคนเคยพูดไว้ว่า ทางที่เราเลือกเอง ต่อให้เข่าทรุดลงก็ต้องเดินไปจนสุด”

“ฟรึ่บ…” ม่านมู่ลี่ถูกปล่อยลงเบาๆ สวีหยางอี้คลี่ยิ้ม “หายากนะที่นายจะพูดภาษาคน”

“ช่วยติดต่อทางตู้มหาสมบัติประจำเมืองซานสุ่ยให้ฉันที ฉันต้องการให้ประเมินราคาเดี๋ยวนี้”

“แล้วนายล่ะ”

สวีหยางอี้กดที่นาฬิกาของตัวเอง “แน่นอนว่าต้องรีบส่งผลการประเมินคะแนนเดี๋ยวนี้น่ะสิ”