มันเป็นนาฬิกาข้อมือธรรมดาๆ เรือนหนึ่ง แต่หลังจากที่เขากดลงบนตัวเรือนไม่กี่ครั้ง มันก็พลันเปิดออกเผยให้เห็นอุปกรณ์เล็กๆ ด้านใน ทันใดนั้น แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์เล็กๆ นั้นก็ส่องประกายขึ้นมา
“ตรวจสอบข้อมูล” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มดังออกมาจากนาฬิกา “นักศึกษารุ่นที่ 2,452 สวีหยางอี้ เพศชาย เลขที่ 1 โปรดแจ้งจุดประสงค์ในการติดต่อ”
“เลขที่ 1 ยื่นคำร้องขอส่งผลการประเมิน”สวีหยางอี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม “สถานที่ปฏิบัติภารกิจ : เมืองซายสุ่ย เป้าหมายของภารกิจ : มือสังหารโหดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ระดับความยาก : ระดับไม่จำกัด”
“ยังเหลือเวลาอีกสิบห้าวันกับอีกแปดชั่วโมงกว่าจะถึงพิธีจบการศึกษา ก่อนอื่นผมขอชี้แจ้งกฎอีกครั้งไว้ ณ ที่นี้” เสียงของชายหนุ่มไม่มีท่วงทำนองที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “สำนักเทียนเต้าไม่เคยตรวจสอบผลคะแนนของนักศึกษาผ่านช่องทางการติดต่อมาก่อน ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องเตือนคุณถึงความสำคัญของการสอบจบอีกมั้ง คุณสวี ในฐานะที่คุณเป็นอันดับหนึ่งประจำเมืองอวี๋หยาง คุณคงรู้ดีกว่าผมเสียอีก”
“แน่นอนครับ”
“เรื่องที่สอง คะแนนสอบจบจะถูกประกาศขึ้นบนบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ของมณฑลหนานทง การรายงานผลคะแนนเท็จอาจได้รับความสนใจเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่หลังจากกลับถึงสำนักและตรวจสอบผลคะแนนแล้ว…ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องพูดต่อ คุณสวีก็น่าจะพอเข้าใจ พอพวกผู้ช่วยเซียนระดับจินตันหรือพวกผู้อาวุโสขั้นจู้จีพบว่าคนที่พวกเขาให้ความสนใจมีนิสัยโป้ปดมดเท็จ เส้นทางการฝึกตนของคุณก็เกรงว่าจะมาถึงทางตันซะแล้ว”
สวีหยางอี้ขานรับคำ รายงานเท็จงั้นหรือ เรื่องไม่รับผิดชอบต่อตัวเองพรรค์นั้น เขาไม่มีทางทำเด็ดขาด
“งั้นก็ดี คุณสวีเชิญคุณพูดต่อได้ ตอนนี้การสนทนาระหว่างคุณกับผมได้เข้าสู่ระบบบันทึกเสียงแล้ว รหัสผู้บันทึกการตรวจสอบของผมก็คือ 9310 ผมอยู่ในขั้นเลี่ยนชี่ขั้นต้นเหมือนกัน โปรดจำหมายเลขของผมไว้ด้วย”
เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังลอดออกมา สวีหยางอี้เอ่ยรายงาน “คะแนน : ถึงเกณฑ์ ประเภท : งู อายุปีศาจ : ไม่ระบุแน่ชัด”
“ขนาดร่าง?”
“ร่างปีศาจยาวทั้งสิ้นร้อยเมตรโดยประมาณ ตอนนี้ถูกเก็บไว้ในห้วงสมบัติของสำนักย่อยแล้ว”
เสียงเคาะแป้นพิมพ์อันราบรื่นพลันสะดุดกึกลง กระทั่งหลายวินาทีต่อมาเสียงเย็นชาทว่าชัดเจนของชายหนุ่มถึงได้ดังขึ้นอีกครั้ง “คุณสวี ผมหวังว่าคุณจะไม่ลืมที่ผมเพิ่งเตือนคุณไปเมื่อกี้”
สวีหยางอี้ขมวดคิ้ว
“จากสถิติแล้ว ขนาดของปีศาจในขั้นเลี่ยนชี่ไม่มีทางทะลุห้าสิบเมตร นี่เป็นจุดสำคัญมากนะ ขอบคุณ” เสียงชายหนุ่มเหมือนจะถอนหายใจเฮือก “คุณเป็นอันดับหนึ่งของเมืองอวี๋หยาง มีสายตาผู้อิทธิพลไม่น้อยกำลังจับจ้องคุณอยู่ บางทีคุณอาจอยู่แต่ในสำนัก เลยไม่เข้าใจว่าสาขาย่อยข้างนอกนี่มีอิทธิพลยังไง แต่ผมเตือนคุณได้นะ นักฝึกตนทั้งหวาซย่าล้มเหลวในการฝึกตนประมาณหนึ่งแสนคน และเทียนเต้า “เนอร์สเซอรี่สำหรับนักฝึกตน” มีนักศึกษาที่เรียนจบสูงสุดสามร้อยคน คุณคงไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคตของคุณแล้ว”
พูดเสียน่าฟัง ทว่าในคำพูดนั้นกลับชี้ให้เห็นชัดอย่างทะลุปรุโปร่ง ผลคะแนนอันดับหนึ่งอย่างสวีหยางอี้ ต่อให้ปฏิบัติภารกิจได้ไม่ดี ก็คงถูกมองว่าแค่ทำพลาดครั้งเดียว ไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเท็จเพื่อสร้างมูลค่าให้ตัวเองตอนผู้มีอิทธิพลกำลังคัดเลือกคน
ในขณะเดียวกันนั้นเอง อาคารรัฐสูงใหญ่แห่งมณฑลหนานทง ภายในห้องที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่องตั้งอยู่ ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ ร่างผอมสูง ผมดำมันขลับปาดเรียบแปล้ไปไว้ด้านหลัง กำลังดันแว่นตากรอบสีทองขึ้นแล้วดื่มกาแฟอย่างหงุดหงิด
“เหล่าอิง เจอตัวยุ่งเข้าแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมงานข้างๆ ที่ทำงานร่วมกับเขามาหลายปีเห็นท่าทางเขาแล้วก็ยิ้ม “นายนี่นะ พอหงุดหงิดเข้าหน่อยก็กินกาแฟเหมือนเดิม ผ่านไปกี่สิบปีก็ไม่เคยเปลี่ยน”
“ไม่ใช่ว่าฉันเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน” เหล่าอิงกดปุ่มหยุดการบันทึกเสียงแล้วนวดขมับ “เมืองอวี๋หยาง เมืองใหญ่ใต้การปกครองของมณฑลหนานทง นายอันดับหนึ่งนั่น พูดกันตามหลักแล้วนับเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในตอนนี้เลย หลายวันก่อนผู้ช่วยเฉินของอวิ๋นเฮ่อเจินเหรินยังเตือนพวกเราว่า อวิ๋นเฮ่อเจินเหรินกำลังทำอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ในชื่อจินซิน พวกเขาต้องการนักฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่เก่งๆ สักคนไปดูแลความเรียบร้อยภายในฉาก เมืองอวี๋หยางเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง และยังเป็นพื้นที่ที่พวกปีศาจแย่งกันมาอยู่ ไม่ค่อยสงบเท่าไร แต่นายอันดับหนึ่งนี่ดัน…”
เหล่าอิงเหลือบไปมองหน้าจอแวบหนึ่ง แล้วเปิดเทปที่บันทึกเสียงไว้ ก่อนจะเอนร่างผอมบางพิงพนักเก้าอี้พลางยิ้มเย็นๆ “เตรียมจะแนะนำให้อวิ๋นเฮ่อเจินเหรินแล้วแท้ๆ ฉันเตือนชัดขนาดนั้นแล้ว แต่อยู่ๆ เขาดันรายงานเรื่องปีศาจใหญ่ร้อยเมตรออกมาเสียได้ สัตว์ประหลาดขั้นจู้จีเหรอ เห็นยุคนี้เป็นยุคปล่อยดาวเทียม[1]หรือไง ไร่หนึ่งจะปลูกพืชผลได้เป็นแสน[2]เลยเหรอ พูดเป็นเล่น”
เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วก็หัวเราะ “ปีศาจขนาดร่างร้อยเมตรงั้นเหรอ…นั่นมันสัตว์ประหลาดขั้นจู้จีแล้วล่ะมั้ง เหล่าอิง ถึงยังไงนายก็เป็นอันดับห้าสิบในปีนั้น…”
“ก็แค่ข้ออ้างไว้ปิดบังความจริงเท่านั้นแหละ” เหล่าอิงดันแว่นตาขึ้นอย่างเย็นชา “ในมณฑลหนึ่งจะมีแค่คนที่ได้คะแนนสอบจบยี่สิบอันดับแรกเท่านั้นที่เป็นที่ต้องการของตลาด ลำดับที่ยี่สิบเอ็ดกับลำดับที่หนึ่งร้อยต่างกันยังไง ถึงยังไงคะแนนของหมอนี่ก็ต้องติดหนึ่งในยี่สิบของมณฑลอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องโกหก แต่เพื่อเกียรติยศจอมปลอมที่น่าขำ เขากลับรายงานว่าร่างปีศาจขนาดร้อยเมตร ทุกปีมักจะมีคนที่รีบร้อนจนทำอะไรไม่รู้จักคิด ผ่านการฝึกนรกแตกในเทียนเต้ามาสิบกว่าปี แต่กลับต้องมาตกม้าตายเอาเรื่องคุณลักษณะนิสัย”
“ฟังดูก่อนเถอะ” เพื่อนร่วมงานของเขาชักจะสนใจขึ้นมา ในหนทางการฝึกตนนิสัยใจคอย่อมเป็นสิ่งสำคัญ หลายครั้งยังออกจะสำคัญกว่าการฝึกตนด้วยซ้ำ การจบการศึกษาของสำนักเทียนเต้าไม่ต่างอะไรกับการเรียนจบมหาวิทยาลัยนัก เพียงแต่คืนก่อนจบการศึกษา “บริษัทประกาศรับสมัครงาน” จะเปลี่ยนเป็น “แหล่งทรงอิทธิพลในวงการฝึกตน” เท่านั้นเอง
คงไม่มีใครรับคนที่คุณลักษณะนิสัยมีปัญหาเข้าทำงานล่ะมั้ง ต่อให้เซียนขั้นจินตันจะต้องตาเขาก็เถอะ แต่จะมอบหมายงานสำคัญให้เขาทำได้อย่างไร
เหล่าอิงเปิดโปรแกรมบันทึกเสียงขึ้นมาอีกครั้งอย่างใจเย็น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “คุณสวี คุณยังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกี้ผมไม่ได้บันทึกเสียงไว้ คุณลองทบทวนให้ละเอียดถึงมาตรฐานร่างปีศาจของฝ่ายตรงข้ามซิ”
เสียงสนทนาอีกฝั่งดังขึ้น ราวกับสวีหยางอี้กำลังถามคนที่ชื่อเมาปาเอ้ออยู่อย่างไรอย่างนั้น เมื่ออีกฝ่ายให้คำตอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เสียงของสวีหยางอี้จึงได้ดังชัดเจนขึ้นอีกครั้ง “อืม ผมคำนวณชัดแล้ว”
“คุณสวี โปรดรักษาโอกาสของคุณให้ดีด้วย” เหล่าอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งนี้เขาไม่ได้เตรียมจะปิดการบันทึกเสียง ล้อเล่นหรือไง ให้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเซียนในขั้นจินตันที่แนะนำผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารสาขาย่อยมณฑลหนานทงของเขาเองก็มีหน้ามีตา เขามีหรือจะยอมให้โอกาสแม้แต่เสี้ยวหนึ่งกับนักฝึกตนเล็กๆ ที่ยังเรียนไม่จบ
“อืม ทั้งสิ้น 142.03 เมตร กว้าง 4 เมตรถ้วน
“อุ๊บ…” เพื่อนร่วมงานเขาแทบหลุดขำก๊ากออกมา เขากลั้นหัวเราะพร้อมกับยักไหล่มองเหล่าอิงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำ ก่อนจะผายมือเป็นสัญญาณว่า “เชิญคุณตามสบาย” แล้วส่ายหน้าด้วยแววตาเสียดาย จากนั้นก็พึมพำขึ้น “จะคิดเล็กคิดน้อยกับคนแบบนี้เอาอะไร”
เหล่าอิงหลับตาลง ทว่าตอนลืมตาขึ้นอีกครั้งน้ำเสียงที่เอ่ยกลับแฝงแววเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิม “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะรายงานตามจริงก็แล้วกัน คุณสวี…นายยังมีเรื่องอะไรอีกไหม”
กระทั่ง ‘คุณ’ ก็ไม่เรียกแล้ว
คนแบบนี้ถูกเขี่ยทิ้งก็สมควรแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นอันดับหนึ่งของเมืองอวี๋หยางก็เถอะ
กับคนที่อนาคตถูกทำลายไม่มีชิ้นดีไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาได้รับความเคารพนับถือกัน
“อ๋อ ยังมีอีกหน่อยครับ” น้ำเสียงสวีหยางอี้พลันหยุดชะงักไป “มันเป็นโรคบ้าคลั่งครับ ตามกฎของทางสำนักแล้ว สำหรับสถานการณ์พิเศษสามารถเพิ่มคะแนนได้ รบกวนช่วยบันทึกไว้ด้วยครับ”
เสียงจากในนาฬิกาข้อมือ พลันเงียบกริบภายในชั่วพริบตา
ทันใดนั้น เพื่อนร่วมงานที่กำลังปิดปากหัวเราะอยู่หุบยิ้มไปในชั่วพริบตา เหล่าอิงก็เองพลันจ้องคอมพิวเตอร์อย่างมึนงง นึกว่าตัวเองฟังผิดไปเสียอีก
เมื่อกี้เขา…พูดว่าอะไรนะ
“เหมือนจะพูดว่า…โรคบ้าคลั่ง” เหล่าอิงถูกคำตอบประโยคนี้ดึงสติกลับมาในทันที และในตอนนี้เอง เขาถึงได้พบว่าตัวเองตื่นตะลึงจนเกินเหตุ ถึงขนาดถามโพล่งออกมาเสียได้!
เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ เองก็มองเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ได้ ฉันวางแล้วนะ”
“รอเดี๋ยว!” คำพูดนี้ทำเอาคนทั้งสองมีสติกลับมา เหล่าอิงคว้าไมโครโฟนไว้ น้ำเสียงก็พลันสูงขึ้น “นายสวี นายต้องจำไว้ให้ดี! โรคบ้าคลั่งนี่ต้องไปรายงานที่ ‘สำนักงานจัดการสถานการณ์พิเศษ!’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลักษณะการโจมตีของพวกมันรุนแรงกว่าปีศาจปกติถึงห้าเท่า! ทั้งยังสามารถเลื่อนขั้นข้ามไปได้ถึงสองขั้นย่อย! หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ มันอยู่ในขั้นเลี่ยนชี่ขั้นต้นก็สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นเลี่ยนชี่ขั้นปลายได้ นอกจากนี้อัตราการเกิดสถานการณ์พิเศษนี่น้อยยิ่งกว่าน้อย! มีแค่ในโรงพยาบาลในเครือสำนักเทียนเต้าที่ปักกิ่ง กับโรงพยาบาลที่เมืองปีศาจ[3]เท่านั้นถึงจะมีเคสตัวอย่างกายวิภาคแบบนี้ได้! นาย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เขาก็ต้องตื่นตะลึงจนถึงขีดสุด ทางด้านเพื่อนร่วมงานของเขาเองก็แทบสะดุ้งโหยงขึ้นมาด้วยเหมือนกัน!
เพราะบนคอมพิวเตอร์มีภาพๆ หนึ่งที่เมาปาเอ้อถ่ายเอาไว้ส่งมา มันเป็นรูปตอนที่สวีหยางอี้ซึ่งมีสภาพเหมือนลูกบอลไฟพุ่งเข้าไปปะทะงูที่มีหนามแหลมแทงเสียดกระดูกกลับออกมา!
ภายใต้แสงจันทร์ งูยักษ์ยาวหลายสิบเมตรตัวหนึ่งพ่นหนามแหลมกลับออกมา ลูกบอลไฟบนตัวทำเอาดวงจันทร์สุกสกาวถึงกับหม่นแสงไป! แม้ในยามแสงไฟสลัวก็ยังมองเนตรปีศาจสีสันแปลกตานั้นออก ไหนจะงูเล็กๆ ขนาดหนาเท่าลำตัวคนนับร้อยตัวบนพื้น! รวมถึง…ลำพังแค่งูยักษ์ที่อยู่นอกพื้นดินนั่นก็มีขนาดยาวสี่สิบกว่าเมตรแล้ว!
สถานการณ์พิเศษ…และนี่ก็คือเหตุผลที่ปีศาจขั้นเลี่ยนชี่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปสู่ขั้นจู้จีได้!
ตึง…ตึง…
เหล่าอิงไม่รู้ว่าตัวเองผุดลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไร ปากก็อ้าค้างไปเล็กน้อย ทั้งยังดันแว่นตาขึ้นไม่หยุด
เพื่อนร่วมงานข้างๆ เขาก็เช่นกัน ทั้งยังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาค้างจนดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
พวกเขาดูออกอยู่สามอย่างด้วยกัน
ข้อแรก รูปถ่ายแผ่นนี้ไม่มีร่องรอยการตัดต่อ
ข้อสอง งูตัวนี้…ต่อให้ไม่ได้เป็นโรคบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่อาจเป็นความผิดปกติอื่นไปได้!
ข้อสาม…
“นี่มัน…กระบวนท่าที่เก้าสิบ…พลีชีพ…” ลำคอของเหล่าอิงราวกับกลืนลูกพุทราแห้งๆ ลงไป น้ำเสียงเขาสั่นเครืออย่างรุนแรง การเรียนรู้และขอบเขตการใช้งานของนักศึกษาเทียนเต้าที่ยังเรียนไม่จบนั้น…ในอดีต…คนที่สามารถใช้กระบวนท่านี้ในการสอบจบได้…มีแค่สุดยอดอัจฉริยะเท่านั้น…”
ตัวเขาเองก็รู้ว่า…คงอีกสิบปีข้างหน้าโน่นเขาถึงจะใช้กระบวนท่านี้ได้!
“นาย…ไม่สิ คุณแน่ใจนะว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง” ในที่สุดเขาก็ข่มความตื่นตระหนกในใจแล้วเอ่ยปากออกไปจนได้
เขาอยากให้อีกฝ่ายปฏิเสธเหลือเกิน เพราะความห่างชั้น ความริษยา อิจฉาด้วยความชื่นชม มันกลายเป็นความเจ็บปวดมหาศาลเท่าผืนมหาสมุทรอยู่ในใจเขา
ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน มันต้องห่างชั้นกันขนาดนี้เชียวหรือ!
ทว่าเขากลับยิ่งอยากให้อีกฝ่ายยอมรับมากกว่า! เพราะว่า…หากสามารถแนะนำผู้ช่วย คนที่มีความสามารถในระดับที่สามารถควบคุมจัดการอะไรได้ให้เซียนขั้นจินตันได้ ชื่อเสียงและขอบเขตอิทธิพลในวงการฝึกตนในประเทศหวาซย่าของมณฑลหนานทงจะต้องสูงขึ้นบ้างแน่ๆ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความสามารถล้ำเลิศขนาดนี้!
“แน่นอนครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ในห้องผู้ป่วย แต่ผมจะไปถึงเมืองหลวงประจำมณฑลหนานทงตรงเวลาอย่างแน่นอน แต่ว่างูบ้าตัวนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งอะไรนัก อยู่แค่ระหว่างจุดสูงสุดของขั้นต้นถึงขั้นกลางเท่านั้น”
เหล่าอิงกับเพื่อนร่วมงานไม่รู้ว่าตัวเองวางโทรศัพท์ไปตั้งแต่เมื่อไร
ภายในใจพวกเขาทั้งหดหู่ ตื่นเต้น และอิจฉา… สารพัดรสชาติหลอมรวมกันจนมีขนาดเท่าผืนน้ำสุดลูกหูลูกตา
ทำไมถึงได้โชคดีขนาดนี้…สอบจบก็เจอสถานการณ์พิเศษด้วย
ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้…ถึงขนาด…ถึงขนาดฆ่าอีกฝ่ายตายได้
ทั้งยังพูดเสียอย่างกับไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โต…อะไรคือไม่แข็งแกร่งเท่าไรกัน อยู่ระหว่างจุดสูงสุดของขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง…นายไม่รู้หรือไงว่าการคุยโวโอ้อวดโดยไม่มีการมูลความจริงคือการฆ่าตัวตายโดยแท้ ลำพังแค่ร่างปีศาจขนาดยักษ์ใหญ่ก็พอจะทำให้นักฝึกตนขั้นต้นเหมือนกับสวีหยางอี้ท้อแท้ได้แล้ว
จากทั้งหวาซย่า 80% ขึ้นไปเป็นนักฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่! ไม่สิ ทั้งโลกก็เป็นอย่างนั้น โดย 60% ในนั้นอยู่ในขั้นต้น! นายไม่โม้หน่อยมันจะตายหรือไง!
“รีบรายงานให้สาขาย่อยจัดการเดี๋ยวนี้!” เหล่าอิงลุกพรวดขึ้นราวกับเพิ่งได้สติ ทว่าอยู่ๆ ก็พลันชะงักฝีเท้าอย่างหงุดหงิด “เวรเอ๊ย…ฉันดันลืมไปแล้ว ทวนรหัสทำงานฉันอีกทีซิ!”
——————————————————————————–
[1] ปล่อยดาวเทียม เป็นศัพท์สแลงในภาษาจีน หมายถึง การพูดเกินจริง
[2] หนึ่งไร่มีผลผลิตนับแสน เป็นการอุปมาหมายถึงการกล่าวเกินจริง
[3] เมืองปีศาจ เป็นอีกชื่อหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้