บทที่ 67 พี่รองข้าจะเขียนให้
เหยาซูเอ่ยกับเด็กทารกในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน “ซานเป่าหิวนมหรือไม่ ไปที่บ้านของท่านยายแล้วไปกินแป้งข้าวเจ้ากันเถิด”
อาหารเสริมของทารกมีสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่านมแพะ อีกทั้งรสชาติยังดีกว่าจึงทำให้ซานเป่าชอบมาก
ทั้งครอบครัวได้พากันเดินออกจากบ้าน เนื่องจากทั้งสองบ้านนั้นอยู่ไม่ไกลกันนัก เดินไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านตระกูลเหยา
แม่เฒ่าเหยากำลังตากผ้าอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเห็นครอบครัวของเหยาซูทั้งห้าคนเข้ามาก็ยิ้มทักทายพวกเขา “ข้างนอกอากาศหนาวนัก เข้ามาเร็วเข้า”
เหยาซูและเด็ก ๆ ถูกห่อด้วยเสื้อคลุมอย่างแน่นหนา มีเพียงหลินเหราที่สวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ เท่านั้น
หญิงชราเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “อาเหรา ถึงแม้เจ้าจะแข็งแรงแต่จะใส่ชุดเช่นนี้ไม่ได้! แม้ว่าตอนนี้จะผ่านฤดูหนาวไปแล้วแต่ความหนาวเหน็บในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่น้อยเช่นกัน! หากป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
เหยาซูที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “เขาไม่ได้พกสัมภาระและเสื้อผ้ามา ข้าจึงจะมาหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อหาเสื้อผ้าที่พี่ใหญ่ไม่ใส่แล้วให้เขาใส่ไปก่อนเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของเหยาซูยังคงเหมือนเดิมราวกับว่าพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยากันมาหลายปี อีกทั้งยังทำให้ผู้คนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ
ทว่าหลินเหรารู้ว่าเหยาซูไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเขา
แม่เฒ่าเหยาไล่พวกเขาเข้าไปในห้องพลางบ่นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองกำลังซ่อมเสื้อผ้าให้ต้าหลางและเอ้อหลางอยู่ในห้อง! เด็กทั้งสองคนไปปีนต้นไม้เมื่อเช้าแล้วตกลงมาเสื้อผ้าขาดหลายจุด น่าโมโหยิ่งนัก..”
ที่บ้านแห่งนี้อบอุ่นเสมอ แม่เฒ่าเหยายกเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงมาให้ลูกสาวนั่งแทะกินที่โต๊ะ
ได้ยินเอ้อหลางตะโกนในลานบ้านอีกครั้งว่า “อาจื้อกับอาซือ มาแล้วใช่ไหม เข้ามาเขียนอักษรกัน!”
เหยาเฟิงก็อยู่บ้านเช่นกัน มิฉะนั้นเอ้อหลางคงไม่ยอมอยู่ในห้องหนังสืออย่างว่าง่ายเช่นนี้
อาซือได้ยินเสียงดังก็รีบกระโดดลงจากม้านั่งทันที ขณะกำลังจะเดินออกไปอาจื้อก็พูดขึ้นว่า “เอ้อเป่า เดี๋ยวข้าจะไปเอาลูกกวาดมาให้เจ้า”
เขายังจำได้ว่าเมื่อวานเขาขโมยลูกกวาดของน้องสาวไปครึ่งห่อ ในใจยังคงคิดแต่จะหามาชดเชยให้ จึงไปค้นของเอ้อหลางที่วางไว้ในห้องอย่างคุ้นเคยและก็พบถุงลูกกวาดที่ยังไม่ได้เปิดมาได้หนึ่งถุงจริง ๆ
จากนั้นเขาก็ส่งลูกกวาดให้กับน้องสาว อาซือถูกเกลี้ยกล่อมจนหน้าบาน อาจื้อยังกำชับอีกว่า “เอ้อเป่า พี่ชายได้สัญญาเอาไว้แล้วว่าวันหน้า ข้าจะซื้อลูกกวาดสูงเท่าภูเขาลูกเล็กให้เจ้า”
นางจึงกล่าวตอบ “พี่ชายดีที่สุดเลย”
เด็กสองคนจูงมือและเดินเข้าไปในห้องหนังสือด้วยกัน
แม่เฒ่าเหยาที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนปวดท้องจึงพูดกับเหยาซูว่า “ต้าเป่า ไปเลียนแบบคำพูดเหล่านี้มาจากที่ใดกัน? เจ้าเด็กเหลือขอมีพ่อของเขาเป็นแบบอย่าง อีกทั้งยังหน้าตาดี ดูท่าวันหน้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องการหาภรรยาให้แล้วกระมัง!”
เหยาซูมองไปที่หลินเหรา นางพยายามที่จะจินตนาการถึงท่าทางของหลินเหราที่จะพูดคำหวาน ๆ ออกมา
หลินเหราในเวลาปกติมักจะทำสีหน้าเย็นชา แต่ก็เป็นคนที่สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้มากที่สุด หากพูดถึงความน่าเอ็นดูแล้ว…เกรงว่าคงไม่มีใครเทียบได้กับเสน่ห์ของชายผู้นี้
หลินเหราไม่รู้ว่าในหัวของเหยาซูกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทว่าเขาก็ไม่ได้รังเกียจสายตาของนาง ยังหวังอีกว่านางจะมองเขามากกว่านี้
ทันใดนั้นเหยาซูก็นึกขึ้นได้ “ข้าจะไปเอาเสื้อผ้าให้ท่าน”
พูดจบก็อุ้มซานเป่าส่งให้มารดาแล้วเข้าไปยังห้องของพี่สะใภ้ใหญ่
ส่วนแม่เฒ่าเหยาก็นั่งคุยอยู่กับหลินเหราตามประสาแม่ยายนั่งคุยกับลูกเขย ยิ่งมองเท่าใดนางก็ยิ่งพอใจหลินเหรามากจริง ๆ ในใจของนางคิดว่า หากชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีตระกูลหลินคอยถ่วงไว้ข้างหลัง ทุกอย่างคงก็จะสมบูรณ์แบบ
“หลินเหรา กลับมาครั้งนี้เจ้าจะกลับไปยังตระกูลของเจ้าหรือไม่? แล้วสุขภาพร่างกายของพ่อแม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
แน่นอนว่าหญิงชราไม่ได้ใส่ใจสามีภรรยาคู่นั้นจริง ๆ นางหวังว่าทั้งสองคนจะมีโรคภัยไข้เจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ จะได้งดก่อเรื่องบ้าง
หลินเหราจึงตอบกลับ “พวกเขาสบายดีขอรับ”
แม่เฒ่าเหยาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจแรง ๆ “หลินเหรา เจ้าเป็นคนดี แต่บางครั้งก็ซื่อสัตย์เกินไปจนถูกคนเอาเปรียบง่าย ๆ…”
คนตระกูลเหยามักจะคุยเกี่ยวกับเรื่องทำงานโดยเฉพาะญาติพี่น้องของพวกเขา
แม้แม่เฒ่าเหยาไม่อยากจะพูดถึง แต่หลินเหรากลับเข้าใจความหมายของนาง เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่วางใจเถอะขอรับ ข้ารู้แล้วว่าอาซูกับลูก ๆ ต้องทุกข์ทนทรมานเพียงใด วันหน้าจะไม่ทำให้พวกเขาได้รับความคับข้องใจอีก”
แม่เฒ่าเหยาพยักหน้าแล้วคิดในใจว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
“เหยาซูเคยชินกับความมั่นคง ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจได้ไม่น้อย”
หลินเหราจึงพูดต่อ “ข้าจะไม่ปิดบังท่าน เมื่อวานข้ากลับไปที่ตระกูลหลินและขอแยกตระกูลกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้ก็มีพยานอยู่ด้วย ต่อไปข้ากับอาซูจะแยกออกมาจากตระกูลหลินแล้วอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันขอรับ”
แม่เฒ่าเหยานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะแสดงสีหน้าดีใจออกมา “จริงหรือ?”
หลินเหราพยักหน้า “เป็นความจริงขอรับ”
แม่เฒ่าเหยาแทบนั่งไม่ติดที่และคิดอยากจะบอกข่าวดี ๆ ให้กับทางครอบครัวได้รับรู้ ทว่าสุดท้ายนางก็ยังจ้องมองไปที่ใบหน้าของลูกเขยและระงับความตื่นเต้นเอาไว้พร้อมกับดื่มชา
“วันนี้เป็นวันสำคัญของหมู่บ้านตระกูลเหยา ท่านพ่อออกไปทำพิธี เหยาเฉาก็ไปด้วย ยามบ่ายรอพวกเขาสองคนกลับมา พวกเราทั้งครอบครัวจะได้ดื่มกินเพื่อฉลองกัน…”
ที่จริงแล้วสิ่งที่นางอยากเฉลิมฉลองจริง ๆ ก็คือลูกสาวและหลานของนางได้กระโดดออกมาจากหลุมไฟของตระกูลหลินแล้ว
หญิงชรากำลังดีใจ จู่ ๆ ก็ได้ยินเหยาซูพูดจากด้านในว่า “หลินเหรา ลุกขึ้นแล้วมาเปลี่ยนเสื้อผ้าหนา ๆ ที่ห้องปีกตะวันออกสิ”
ชายคนนั้นรับคำและพยักหน้าให้กับแม่เฒ่าเหยาก่อนจะเดินเข้าไป
หลังจากที่หลินเหรามาถึงห้องปีกตะวันออก เขาก็มองสำรวจห้องของภรรยาก่อนจะออกเรือนอย่างเงียบ ๆ
ในห้องหับตกแต่งได้สะอาดและอบอุ่นคล้ายกับบ้านที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบัน ที่ชั้นวางของมีของเล่นสำหรับเด็ก ๆ วางอยู่ คิดว่าอาซูและลูก ๆ ของเขาคงอาศัยอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว
“พี่สะใภ้ใหญ่หาเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งหมดที่พี่ใหญ่ไม่ได้ใส่มาให้ รีบมาเปลี่ยนเถิด เจ้ากับพี่ใหญ่รูปร่างไม่ต่างกัน สมควรที่จะใส่ได้พอดีตัว”
ในมือของเหยาซูเป็นชุดสีขาว เนื้อผ้าหนามาก ด้านในยังมีเสื้อชั้นในที่สะอาดสะอ้าน หลินเหรารับเสื้อผ้านุ่ม ๆ มาจากมือของนาง จากนั้นนางก็ยิ้มและเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
ในอดีตนางหลีกเลี่ยงยามเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้านางหรือไม่?
หลินเหรานิ่งเงียบไป เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ อาซูอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เขากล่าวกับตัวเอง
เมื่อพ่อเฒ่าเหยาและเหยาเฉากลับมาจากพิธีไถพรวนฤดูใบไม้ผลิ หัวใจของเอ้อหลางก็พองโตเมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองคนเข้ามาในเรือน จึงรีบโยนพู่กันทิ้งทันที
เหยาเฟิงถลึงตาใส่ “เอ้อหลาง!”
เอ้อหลางหดคอลงพลางพึมพำ “ท่านพ่อและคนอื่น ๆ กลับมาแล้วขอรับ”
เหยาเฟิงกวาดสายตามองหลานชายอย่างรุนแรง “เจ้าดูซิว่าอาจื้อที่มาเรียนช้ากว่าเจ้าแต่กลับเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ครบสิ้น อีกทั้งยังท่องหนังสือเสร็จแล้วอีก แต่ดูเจ้าสิ เดี๋ยวทำเดี๋ยวไม่ทำ เดี๋ยวขยับตัว ตลอดเช้ายี่สิบคำก็ยังเขียนไม่เสร็จ!”
เอ้อหลางรู้สึกกลัวลุงใหญ่เป็นอย่างมาก เมื่อเหยาเฟิงโกรธ เอ้อหลางแทบไม่กล้าหายใจ ดังนั้นเขาจึงหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง
ต้าหลางและอาจื้อท่องบทเรียนกันมาได้ครึ่งบทแล้ว คิดดูแล้วเมื่อท่องเสร็จก็สามารถออกไปเล่นได้
ทว่าเขายังมีอีกหกคำที่จะต้องเขียน!
เหยาเฟิงหันไปมองเด็กทั้งสองคนที่ท่องหนังสืออยู่ มีเพียงเอ้อหลางที่ยังถือพู่กันอย่างขมขื่น ก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไป
อาซือที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาว่า “พี่รอง ไม่เป็นไรนะ รอลุงใหญ่ไม่อยู่ข้าจะเขียนให้พี่เอง…”
พวกเขาทั้งสองคนมีลายมือคล้ายกันและบิดเบี้ยว แม้แต่เหยาเฟิงก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นของใคร
เอ้อหลางขยิบตาให้กับลูกพี่ลูกน้องด้วยความซึ้งใจ คิดว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้
เมื่อพ่อเฒ่าเหยาและเหยาเฉากลับมาถึงบ้าน แม่เฒ่าเหยาก็เริ่มทำอาหารอย่างเร่งรีบ
พี่สะใภ้ใหญ่ทำอาหารได้อร่อยที่สุด ปกติแล้วอาหารของครอบครัว นางและมารดาจะลงมือปรุงเอง เหยาซูที่อยู่ด้านข้างช่วยเป็นลูกมือและทำอาหารเสร็จ ก่อนจะไปจัดโต๊ะใหญ่
หาได้ยากที่ครอบครัวจะมาพร้อมใจกันเช่นนี้ พ่อเฒ่าเหยาขุดสุราสองไหที่ฝังเอาไว้ใต้ดินออกมา และเปิดมันให้สองพี่น้องตระกูลเหยาและหลินเหราดื่มเป็นเพื่อนเขา
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แววนางร้ายออกแล้วอาซือ แอบทำการบ้านให้เอ้อหลางด้วย
ไหหม่า(海馬)