บทที่ 95 จะต้องมีการปิดบัง
“ไอ้สารเลว……” เจียงหยุนเอ๋อพูดออกมาด้วยเสียงเบาหวิว ถึงแม้ว่าจะพยายามฝืนให้ตัวเองมีสติเอาไว้ แต่ว่ายังไงก็ยังแพ้ให้กับฤทธิ์ยาอยู่ดี แป๊บเดียวเธอก็ฟุบหลับลงไปบนโต๊ะ
เจียงหนิงเอ๋อเดินมายื่นมือออกไปผลักเจียงหยุนเอ๋อ หัวของเจียงหยุนเอ๋อโยกไปอีกด้านหนึ่ง และไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ
เห็นเจียงหยุนเอ๋ออยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากของเจียงหนิงเอ๋อก็ยกยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ หันหน้าไปมองฝู้ชูเหมย เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงถือดี “เป็นยังไงคะ? การแนะนำของหนูครั้งนี้ใช้ได้เลยใช่ไหม?”
ใบหน้าของฟู้ชุเหม่ยเองก็ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม คงเพราะว่าพอใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้ “ใช่สิ หนิงเอ๋อฉลาดจริงๆ”
เธอเลือกมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ฝู้ชูเหมยเห็นว่าแววตาของเจียงเย่เฉิงดูสับสน สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้น แค่แวบเดียวเธอก็อ่านความคิดของเจียงเย่เฉิงออกในทันที ทำเสียงเหอะใส่เขา “ทำไม? เป็นห่วงหรือไง?”
เจียงเย่เฉิงหัวเราะขึ้นมาแห้งๆ แล้วหลบสายตาของฝู้ชูเหมย “เปล่า”
“เหอะ อย่าคิดว่าฉันอ่านความคิดของคุณไม่ออกนะ ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ ตอนนี้เรื่องราวมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณไม่มีทางให้เดินกลับหลังอีกแล้ว อีกอย่าง ถ้าเกิดว่าตอนนี้คุณใจอ่อน หลังจากนี้แม่ลูกสาวคนนี้แข็งแกร่งขึ้นมาล่ะก็ เธอจะต้องกลับมาเอาคืนคุณแน่ๆ”
ฝู้ชูเหมยกอดอกแล้วมองมาที่เจียงเย่เฉิงด้วยท่าทางเย็นชา แววตาของเธอบอกถึงความโกรธต่อเจียงเย่เฉิงไว้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ที่เจียงเย่เฉิงแสดงน้ำใจเล็กๆน้อยๆให้กับซูม่านลี ฝู้ชูเหมยเองก็รู้สึกไม่ดีมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขาโดนเจียงหยุนเอ๋อกระทำขนาดนี้แล้ว ยังจะไปมีเมตตาให้อีก แบบนี้จะให้เธอทนได้ยังไง?
เจียงเย่เฉิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและไม่ยอมพูดอะไรออกมา ในที่สุดฝู้ชูเหมยก็โมโหจนทนไม่ได้ เดินไปพูดกับเขา “เจียงเย่เฉิง คุณตั้งสติหน่อย มาถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังคิดจะเปลี่ยนใจอีกเหรอ?”
“เห้อ…….” เจียงเย่เฉิงถอนหายใจออกมาแรงๆ กันไปมองทางทนาย “เรียบร้อยแล้ว เริ่มงานเถอะ”
คุณทนายย่นคิ้วเล็กน้อย อยู่ๆก็รู้สึกไม่สบายใจ “นี่….. นี่เกิดอะไรขึ้นครับ? วันนี้ที่เรียกผมมา ไม่ใช่เพื่อที่จะให้มารับรองเหรอ?”
“ก็เพื่อรับรอง เมื่อกี้ก็ไม่ใช่ว่าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอคะ? ตอนนี้คุณไม่มีวานอะไรแล้ว?” เจียงหนิงเอ๋อเอ่ยขึ้น แล้วยังหยิบซองเงินในกระเป๋าออกมา ข้างในมีเงินหนาอยู่เป็นปึก ส่งให้ถึงมือของทนาย
“นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน วันนี้รบกวนคุณแล้วจริงๆ”
ทนายมองซองเงินนั้นอย่างอึ้งๆ ถึงแม้ว่าเสียงในหัวของเขากำลังบอกว่ารับเงินก้อนนี้เอาไว้ไม่ได้ แต่ว่าด้วยความยั่วเย้าของเงินจำนวนมากขนาดนี้ เขาก็พยักหน้าในที่สุด
เขาเหลือบไปมองเจียงหยุนเอ๋อที่ฟุบสลบไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกับเอกสารอีกฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “อย่างนั้น…. เอกสารฉบับนั้นยังต้องการอยู่อีกไหมครับ?”
เจียงเย่เฉิงเองก็เหลือบไปมองเอกสารฉบับนั้น แล้วหยิบขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นเขาก็ฉีกเอกสารฉบับนั้นแล้วทิ้งลงในถังขยะ
ทนายมองการกระทำของเขา ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรเหมือนกัน เขาเพิ่งจะเปิดปาก ก็ได้ยินเสียงของเจียงหนิงเอ๋อเอ่ยเร่งตัวเองเสียแล้ว
“วันนี้ลำบากคุณทนายแล้ว ตอนนี้คุณไปได้แล้วล่ะค่ะ ส่วนเรื่องต่อจากนี้พวกเราจะจัดการเองค่ะ” ใบหน้าของเจียงหนิงเอ๋อยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดศีลธรรม
ทนายมองมาที่เจียงหยุนเอ๋อท่าทางลังเล จากนั้นเขาก็เงยหน้าแล้วพูดขึ้น “พวกคุณห้ามทำอะไรที่ผิดต่อกฎหมายเป็นอันขาดเลยนะครับ”
“คุณวางใจเถอะค่ะ พวกเราไม่ทำหรอก” เจียงหนิงเอ๋อยิ้มแล้วโบกมือไปมา “นี่เป็นพี่สาวฉัน พวกเราไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายเธอหรอกค่ะ”
ถึงตัวทนายเองจะไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของเธอหรือไม่ แต่ว่าถ้าเกิดเธอพูดมาขนาดนี้แล้ว ตัวเองก็ไม่มีอะไรที่จะให้พูดอีก ทำได้แค่พยักหน้าหงึกๆ “โอเคครับ อย่างนั้นผมขอตัวก่อน”
“ค่ะ! ขอบคุณนะคะคุณทนาย”
หลังจากที่ส่งทนายกลับไปแล้ว เจียงเย่เฉิงก็แบกเจียงหยุนเอ๋อขึ้นมาแล้วเดินไปที่ลานจอดรถทันที
“พ่อ พวกเราส่งตัวเธอไปตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ?” เจียงหนิงเอ๋อเดินอยู่ด้านหลังของเจียงเย่เฉิง แล้วพูดขึ้น
เธอไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ถ้าเกิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นทำให้ไปไม่ถึงจุดประสงค์ที่พวกเขาต้องการ อย่างนั้นก็ไม่ได้กลายเป็นว่าพวกเธอเหนื่อยฟรีหรือยังไง?
เจียงเย่เฉิงย่นคิ้วเข้าหากันแน่น เหมือนกับว่ายังคงมีข้อสงสัย เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ฝู้ชูเหมยที่อยู่ข้างๆก็เร่งเขาขึ้นมา “เย่เฉิง ตอนนี้คุณมีอะไรให้ลังเลอีก? ถ้าไม่ส่งตัวเธอไป หลังจากนี้เธอหนีขึ้นมาจะทำยังไง?”
“เอาเถอะ” เจียงเย่เฉิงกัดฟัน หลังจากโดนพวกเธอทั้งสองคนหว่านล้อมสุดท้ายเขาก็ยอมตกลง “ส่งตัวไปตอนนี้เลย”
รถเก๋งขับไปตามทิศทางไปบ้านของคุณลุงที่พิการคนนั้นในตระกูลเซียว ตลอดทางมองเจียงหยุนเอ๋อที่หลับอย่างไม่ได้สติ รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงหนิงเอ๋อก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ว่าขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้แล้วเหรอ? ถ้าเกิด…..ไม่ได้ เจียงหยุนเอ๋อจะทำยังไงล่ะ?”
ฝู้ชูเหมยเขม็งตามองเธอด้วยความไม่พอใจ แต่ว่าก็ยังคงไม่พอที่จะปิดความลิงโลดในใจไว้ได้ เอ่ยขึ้น “ลูกเป็นสาวเป็นแซ่ พูดจาแบบนี้ได้ยังไงกัน? อีกอย่างนะ ถึงแม้ว่าเขาจะพิการ แต่เขาก็ยังมีขาเทียมช่วงขาอ่อนก็ยังมีอยู่”
ฟังที่พวกเธอทั้งสองคนคุยกัน ภายในใจของเจียงเย่เฉิงก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา ตอนเริ่มแรกเขาก็แค่นั่งฟังไปเงียบๆ หลังๆก็เริ่มทนไม่ได้จนต้องพูดออกมา “พอแล้ว พูดกันพอหรือยัง? ช่วยเงียบหน่อยจะได้ไหม?”
ฝู้ชูเหมยเลิกคิ้วขึ้น พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ทำไม? ตอนนี้รู้จักเป็นห่วงแม่ลูกสาวสุดที่รักของคุณแล้วหรือไง? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะพาเธอไปขายเหรอ ตอนนี้มาเสแสร้งทำตัวเป็นคนดี?”
เห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเริ่มเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ เจียงหนิงเอ๋อก็รีบพูดแทรกขึ้นทันที “โถ่ แม่ พ่ออาจจะไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นก็ได้ อย่าโกรธไปเลยนะ”
“ถ้าพ่อไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แล้วหมายความว่ายังไง?” ฝู้ชูเหมยพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉันจะรีบโทรหาคุณชายตระกูลเซียว ให้เขามารับคนไป พวกเธอเงียบกันได้แล้ว” เจียงเย่เฉิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
ฟังจบ ฝู้ชูเหมยก็ทำเสียงเหอะขึ้นมา แล้วปิดปากเงียบถึงจะไม่ยินยอม
รถวิ่งด้วยความเร็ว ระยะห่างจากตระกูลเซียวก็ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
อีกด้านหนึ่ง ทนายคนนั้นกลับไปถึงที่ทำงานของตัวเอง เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนเดิม ชอบคิดว่าเรื่องๆนี้คงไม่ได้ง่ายแบบนั้นแน่ๆ
เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก กลัวว่าเพราะความโลภมากของตัวเองจะกลายเป็นความผิดครั้งใหญ่ หลังจากที่ลังเลและคิดกลับไปกลับมาเขาก็เลือกที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย
ตรงโต๊ะทำงานในออฟฟิศ มีผู้ช่วยของลี่จุนถิง ซู่จี้งยี้ นั่งอยู่ในท่วงท่าสง่างาม
ซู่จี้งยี้กำลังยุ่งๆ พอเห็นว่าคุณทนายมาแล้ว ก็เลยถามขึ้น “เป็นอะไร? ภารกิจวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ทนายหยิบซองเงินที่ได้รับมาจากเจียงหนิงเอ๋อออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะ ซู่จี้งยี้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้น “นี่เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาอยากจะใช้เงินปิดปากคุณ? จะต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ๆ”