บทที่ 89 กู้ฉวนลู่

บทที่ 89 กู้ฉวนลู่

เฉาซื่อค่อนข้างจะหวาดกลัวกู้ฉวนลู่ เพราะกู้ฉวนลู่เป็นเสมียนที่ทำงานในอำเภอ นั่นเป็นคนละชั้นกับพวกนาง ในหมู่บ้านอู๋ซีจะมีสักกี่คนที่ได้ทำงานในตัวอำเภอกัน ทั้งยังทำในโรงเตี๊ยมอีกด้วย ค่าสินบนอะไรนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงกู้ฉวนลู่ให้พวกนางเล็กน้อย ก็เป็นค่าใช้จ่ายของพวกนางได้ทั้งปีแล้ว

เฉาซื่อรีบลุกขึ้นมาจากตัวซุนซื่อ มองหน้าเย็นเยือกของกู้ฉวนลู่อย่างอับอายเล็กน้อย ก่อนปัดฝุ่นบนตัว กู้ฉวนลู่จ้องมองเฉาซื่ออย่างดุร้าย จนอีกฝ่ายกลัวจนหดคอไม่กล้าพูดอะไรแล้ว

ซุนซื่อไม่ได้ถูกเฉาซื่อกดเอาไว้แล้วก็ตะลีตะลานลุกขึ้นจากพื้น ตบฝุ่นบนตัว กู้ซินเถาเห็นพ่อตัวเองกลับมาก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว รีบวิ่งไปข้างหน้าและประคองข้างซุนซื่อ

กู้ฉวนลู่มองเฉาซื่อด้านหนึ่ง แล้วมองซุนซื่อด้านหนึ่งสลับกัน พอเห็นกู้ซินเถาวิ่งมาแล้วเขาก็พูดขึ้น “รีบพาท่านแม่เจ้าเข้าบ้าน งามหน้าชาวบ้านหมดแล้ว!”

ซุนซื่อพยายามเงียบปากที่อยากพูดแก้ตัวไว้ แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีสภาพย่ำแย่บาดตากู้ฉวนลู่แล้ว จึงไม่ได้พูดออกไป เพียงมองเฉาซื่ออย่างเคียดแค้น จากนั้นก็ถูกกู้ซินเถาประคองกลับเข้าบ้านไป

เฉาซื่อยืนหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวของกู้ฉวนลู่ทำให้เฉาซื่อหดคอ และยังคงไม่สนใจกู้ฉวนโซ่วที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น

กู้ฉวนลู่หายใจฮึดฮัดมองกู้ฉวนโซ่วอย่างโมโห ตะคอกใส่เฉาซื่อ “ยังไม่พยุงเจ้าสามเข้าบ้านอีก นี่มันหมายความว่าอะไร!”

กู้ฉวนลู่เรียนหนังสือสองสามปี ในท้องจึงยังมีหมึกดำอยู่บ้าง* อีกทั้งยังเป็นนักบัญชีในโรงเตี๊ยม สงวนท่าทีตัวเองเป็นชนชั้นสูงคนหนึ่ง ครั้นกลับมาเห็นคนในครอบครัวตัวเองก่อเรื่องวุ่นวายต่อหน้าชาวบ้านชาวช่อง เขาก็รู้สึกขายหน้ามาก

*หมายถึง คนมีความรู้

เฉาซื่อเห็นกู้ฉวนลู่เอ่ยปากแล้ว นางไม่พูดอะไรรีบพยุงกู้ฉวนโซ่วขึ้นกลับเข้าบ้านไป กู่ฉวนลู่ไพล่มือไว้ด้านหลัง ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายของผู้มีความรู้

กู้ฉวนลู่ยืนตัวตรงหน้าบ้าน มองชาวบ้านมากมายตรงหน้าก็ประสานมือขอโทษพร้อมพูดว่า “ขออภัยที่ทำให้ทุกคนเห็นภาพน่าเกลียด ทำให้ทุกท่านหัวเราะเยาะแล้ว ขอทุกท่านโปรดกลับบ้านไปเถิด”

เป็นดังคาด คนรู้หนังสือช่างแตกต่างจริง ๆ พวกชาวบ้านที่ได้ยินกู้ฉวนลู่กล่าวเพียงนั้นก็รู้สึกอายขึ้นมา เห็นคนไล่ตัวเองแล้ว จึงพากันแยกย้ายกลับ

จากนั้นกลุ่มคนขนาดน้ำหยดเดียวก็ไม่ไหลผ่าน* ที่กองกันอยู่หน้าบ้านตระกูลกู้ก็หายไปไม่เหลือสักคน เหลือเพียงคนเดียวเป็นเด็กชายอายุแปดขวบยืนหลังตรงสวมเสื้อสีขาวธรรมดา ใบหน้าเย็นชานั่นดูไม่พอใจมาก มองผิวเผินแล้วคล้ายกู้ฉวนลู่อีกคน ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายคนเล็กของกู้ฉวนลู่ กู้จือเหวิน

*หมายถึง คนเยอะมากจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไหลผ่านไม่ได้

กู้จือเหวินมองบ้านอาสามกู้ฉวนโซ่วด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าฉายแววไม่พอใจ

ตอนนี้อาสามของเขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ซึ่งเป็นบ้านเก่าของตระกูลกู้ บ้านมีขนาดใหญ่ ภายในมีหลายห้อง ตกแต่งทั้งดีทั้งงดงาม เดิมทีบ้านหลังนี้ควรจะเป็นบ้านพ่อของเขาที่เป็นพี่ชายคนโต แต่คาดไม่ถึงว่าอาสามของเขาจะได้ครอบครอง

ทุกครั้งที่พวกเขากลับบ้านเก่าตระกูลกู้ ก็ต้องเบียดอัดกันอยู่ในห้องเล็ก ๆ และก็เป็นห้องเล็ก ๆ เพียงสองห้องเท่านั้น แม่กับพี่สาวนอนด้วยกัน ตัวเองกับพ่อนอนอีกห้องหนึ่ง ห้องทั้งเล็กทั้งพัง พอคิดถึงตรงนี้ กู้จือเหวินก็จ้องบ้านหลังนั้นอย่างดุร้าย

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากู้ฉวนลู่ผู้เป็นพ่อของเขาควรเป็นผู้นำตระกูลกู้ด้วยซ้ำ อาสามกลับหน้าไม่อายยึดบ้านไว้เป็นของตัวเอง

ใบหน้าของกู้จือเหวินเต็มไปด้วยความโกรธแค้น พูดกับกู้ฉวนลู่อย่างร้ายกาจ “ท่านพ่อ หากเรายังเป็นครอบครัวเดียวกับอาสาม พวกเขาจะทำลายพวกเราสักวันแน่!”

กู้ฉวนลู่เห็นลูกชายตัวเองพูดเหมือนไม่ให้เกียรติกู้ฉวนโซ่วแบบนั้นก็ไม่เอ่ยขัด เพียงได้ยินคำพูดของลูกชาย นัยน์ตากู้ฉวนลู่ก็ดำมืด กวาดตามองบ้านหลักตระกูลกู้ ไม่พูดไม่จาก็รู้ว่ากู้ฉวนลู่คิดอะไรอยู่ในใจ

กู้ฉวนลู่กลับมาที่ห้องเล็กฝั่งตะวันตก ครั้นผลักประตูจมูกก็พลันได้กลิ่นอับทันที ห้องเล็ก ๆ นี้หน้าต่างปิดสนิท แสงที่ส่องเข้ามามองเห็นเป็นเศษฝุ่นสีเทา

ภายในห้องนี้ทั้งเล็กทั้งแคบ ของในห้องก็น้อยนิดจนน่าอนาถ เพราะครั้งก่อนตอนกลับมาทำความสะอาดรอบหนึ่ง ถึงทำให้มันสะอาดขึ้นเยอะแล้ว เนื่องจากห้องนี้ไม่โดนแดดมานาน พื้นจึงชื้นมาก กู้จือเหวินลูบจมูกตัวเองอย่างรังเกียจ ในใจยิ่งไม่พอใจ เทียบกับบ้านที่เขาอยูในอำเภอนี้มันแย่กว่าห้องของเขาเป็นพันเท่าหมื่นเท่า!

ห้องนี้ก็เหมือนกับห้องของซุนซื่อกับกู้ซินเถา เพราะเพิ่งกลับมาถึง สัมภาระบางส่วนยังไม่ทันเก็บเรียบร้อย วางทิ้งระเกะระกะอยู่อย่างนั้น ตะกร้าที่นำกลับมาถูกเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เสื้อผ้าออกมาจากภายในมุมหนึ่ง ซุนซื่อที่เป็นหญิงเจ้าระเบียบย่อมไม่ปล่อยให้ข้าวของเหล่านี้เรี่ยราดกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าตอนที่พวกเขาไม่อยู่ห้องถูกคนรื้อค้นแล้ว

ใครเป็นคนรื้อไม่ต้องพูดก็รู้ นอกจากสตรีคนนั้นที่อยู่ในบ้าน ใครจะกล้ากล้าค้นกระเป๋าของกู้ฉวนลู่คนนี้ได้

ซุนซื่อเพิ่งถูกเฉาซื่อตบมาอย่างโหดร้าย ตามตัวยังถูกเฉาซื่อถีบสองสามเท้า ขณะนี้กำลังนอนแผ่บนเตียงโดยมีกู้ซินเถาทายาให้นาง

พอเห็นกู้ฉวนลู่เข้ามา กู้ซินเถาก็รีบวางยาในมือลงทันที วิ่งไปพลางพูดเสียงดังว่า “ท่านพ่อ อาสะใภ้สามมือหนักเกินไปแล้ว นางตบตีจนเนื้อตัวท่านแม่ช้ำเขียวช้ำม่วงหมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อรีบมาดูเร็ว”

กู้ฉวนลู่มองตามนิ้วกู้ซินเถาก็เห็นร่องรอยบนตัวของซุนซื่อที่ถูกตบกับเตะจนเป็นรอยจ้ำทั้งเขียวทั้งม่วงเต็มไปหมด สายตาของเขาก็พลันมืดครึ้มขึ้นมา

ซุนซื่อเห็นกู้ฉวนลู่เข้ามา ใบหน้าเมื่อครู่ที่ยังเคียดแค้น ในใจก่นด่าเฉาซื่ออย่างรุนแรง ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทำหน้าตาน้อยอกน้อยใจพูดว่า “ตอนที่อยู่บ้าน…”

กู้ฉวนลู่เดินไป เอ่ยพลางส่งสายตาปลอบประโลม “เจ้าอย่าขยับ นอนพักผ่อนสักพักเถอะ”

ยิ่งซุนซื่อได้รับท่าทีอ่อนโยนของกู้ฉวนลู่ นางก็ยิ่งพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ตอนที่อยู่บ้าน ข้ากับซินเถาออกไปข้างนอกครู่เดียว ท่านดูสิ ข้าวของของพวกเราถูกคนอื่นรื้นค้นตามอำเภอใจ นี่มัน มัน…”

กู้ฉวนลู่พยักหน้าว่าเขารู้แล้ว

“ยังมีอีกนะเจ้าคะท่านพ่อ ท่านดูห้องนี้สิทั้งเล็กทั้งอับขนาดนี้ คนจะอยู่ไปได้อย่างไรเจ้าคะ!” กู้ซินเถาพูออย่างรังเกียจขณะมองรอบห้อง ของที่เหมือนของใช้ทั่วไปยังไม่มีเลย และนางยังต้องอยู่อีกครึ่งเดือน จะไปอยู่ได้อย่างไรกัน!

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ควรแยกครอบครัวอย่างจริงจังแล้วล่ะ ไม่งั้นตีกันตายแน่ ๆ

ไหหม่า(海馬)