บทที่ 92 เขาต้องการลงโทษเธอทางร่างกาย เธอต้องวิงวอนยอมรนหาที่ตายก่อนเอง

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

เป็นเขาจริงๆเหรอเนี่ย? ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางกระตุกเบา ๆ วิธีการของสือมูเฉินนั้นเป็นวิธีที่แสนง่ายและป่าเถื่อนจริงๆ!

ผลสุดท้าย ทำให้รถของหันจื่ออี้และสือเพ่ยหลินถูกลากออกไป และทั้งสามคนก็ขึ้นรถตำรวจไปด้วยกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางไปที่สถานีตำรวจ แม้ว่าสือมูเฉินจะมารับเธอในไม่ช้า แต่ว่าถึงจะบอกว่าเขาจะมารับเธอในไม่ช้า แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายอยู่เหมือนกัน

ทั้งสามคนมาถึงสถานีตำรวจ จากนั้นได้แยกห้องสอบปากคำ ตำรวจได้รับโทรศัพท์ และพูดกับหันจื่ออี้และสือเพ่ยหลินว่า พวกเขาต้องเรียนรู้ศึกษากฎจราจรและสอบแบบการทดสอบข้อเขียนผ่านแล้วถึงจะกลับได้

ระหว่างนั้นไม่สามารถได้รับการประกันตัวใดๆ!

ส่วนหลานเสี่ยวถางได้ถูกพาไปที่ห้องรับรอง ในนั้นมีพนักงานหญิงคนหนึ่งกำลังรินน้ำชาให้เธอ จากนั้นจึงถามว่า:“คุณหลานคะ วันนี้ฉันเห็นบนเวยป๋อแล้วนะคะ คุณนี่น่าทึ่งมากจริงๆเลยนะคะ ผู้ชายทั้งสองคนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวคุณ !”

หลานเสี่ยวถางทำหน้าไม่ถูก: “นี่มีคนอัพลงเวยป๋อแล้วเหรอคะ?”

พนักงานสาวรีบยื่นข้อความบนจอให้เธอดูอย่างรวดเร็ว: “คุณดูสิคะ ฟีดข่าวค่อนข้างสะดุดตา!”

【ท่านรองประธานบริษัท Time Group และท่านรองประธานบริษัท Latitude Technology แย่งชิงตัวหญิงรักอยู่หน้าร้านกาแฟ สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้พิชิตใจเธอได้?】

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นฟีดข่าวนี้แล้ว เธอก็เงียบไปทันที

กล่าวอีกนัยก็คือ ถ้าอีกสักพักสือมูเฉินเดินทางมาถึง เขาจะโกรธเธอไหมนะ?

ในขณะที่กังวลใจอยู่นั้น ก็มองเห็นสือมูเฉินกำลังเดินเข้ามาในชุดสูท

เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาว กางเกงขายาวสีดำ และผูกเนคไทสีน้ำเงินเข้ม ในขณะที่เขาเดินเข้ามา ทำให้เธอตาเธอลุกวาวนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที

หลานเสี่ยวถางเหลือบมองเขาสักครู่ ด้วยความรู้สึกผิด ราวกับว่าเหมือนเธอเป็นเด็กที่ทำอะไรผิดและถูกคุณครูจับไปรอผู้ปกครองที่สำนักงาน เธอก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา

สือมูเฉินไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรมากนัก เขาเพียงแค่เซ็นประกันตัวด้วยตัวเอง จากนั้นจึงพาหลานเสี่ยวถางกลับไป

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องการขับแข่งกันของทั้งสองฝ่ายก็รู้กันไปทั่ว นั่นมันเป็นเรื่องที่พวกเขานั้นต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ส่วนหลานเสี่ยวถางเป็นแค่ผู้โดยสารจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

หลานเสี่ยวถางยังคงก้มหน้าตลอด และเดินตามสือมูเฉินจนถึงด้านนอกสถานีตำรวจ

เขาหยุดเท้าลงกะทันหัน เธอไม่ทันได้สังเกต และเกือบจะเดินชนหลังของเขาเข้าอย่างจัง

แล้วเธอรีบหยุดเดินทันที เธอก้มลงมองที่นิ้วเท้าของตัวเอง

ในเวลานี้ เสียงผู้ชายที่น่าขันเล็กน้อยดังขึ้นเหนือหัวของเธอ: “เป็นอะไรไป รองเท้าของคุณน่ามองกว่าหน้าผมอีกเหรอ”

หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ดูจากใบหน้าที่เรียบเฉยและดูจากใบหน้าที่หล่อเหลาของสือมูเฉินแล้ว มันดูไม่ออกเลยว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไรอยู่

บางทีก็ควรจะพูดว่า โดยปกติแล้วสือมูเฉินสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้เสมอ ตราบใดที่เขาไม่ต้องการให้เธอรู้ เธอก็ดูไม่ออกจริงๆ

ดังนั้นหลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากด้วยความตื่นตระหนก: “ไม่ใช่ค่ะ หน้าคุณดูดีกว่าของฉันอยู่แล้วค่ะ”

สือมูเฉินรู้สึกมันน่าขันจริงๆเลย แต่เขาก็ยังคงทำหน้าเรียบเฉยอยู่อย่างนั้น: “แล้วทำไมคุณถึงไม่กล้าเงยหน้ามองผมล่ะ?”

มือของหลานเสี่ยวถางถูเสื้อผ้าของตัวเองจนยับยู่ยี่ เธอกระซิบว่า: “มูเฉิน ฉันผิดไปแล้วค่ะ”

“หือ?” สือมูเฉินพูดอย่างเฉยเมยว่า: “แล้วคุณผิดตรงไหน?”

หลานเสี่ยวถางรีบตอบกลับว่า: “ผิดที่ไม่ควรออกไปพบสือเพ่ยหลินค่ะ”

“คุณยังผิดอะไรอีก” สือมูเฉินถามอีกครั้ง

หลานเสี่ยวถางนิ่งเงียบไปชั่วครู่: “ยังมีอีกเรื่อง ฉันไม่ควรตามหันจื่ออี้ไปเลยค่ะ”

สือมูเฉินจ้องที่เธอ:“ยังมีอีกไหม?”

หลานเสี่ยวถางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลังเลพร้อมพูดขึ้นว่า: “ฉันไม่ควรให้หันจื่ออี้ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แล้วยังไม่รู้จักห้ามปราม?”

สือมูเฉินพยักหน้าและทำท่าทางให้เธอพูดต่อไป

หลานเสี่ยวถางกล่าวต่อว่า: “การขับรถเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้นมันอันตรายเกินไป มันไม่ปลอดภัยทั้งตัวฉันและคนอื่นๆ ฉันควรหาวิธีที่ห้ามปรามหันจื่ออี้ให้ลดความเร็วลง”

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกต้อง นั่นก็คือ เมื่อคุณพบว่าสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว คุณก็ติดต่อผมทันที” สือมูเฉินกล่าวว่า: “อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำผิดไม่สามารถให้มันแล้วไปแล้วได้ ฉะนั้น คุณต้องถูกลงโทษ”

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขา เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าการลงโทษในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอย่างนั้นอย่างแน่นอน เธออดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัวเพราะกลัวการถูกลงโทษอย่างทรมาน

เมื่อสือมูเฉินเห็นท่าทางของหลานเสี่ยวถางถูกขู่จนทำท่าตกใจด้วยความกลัวแล้วนั้น เขาหันหลังพร้อมกระตุกที่มุมริมฝีปากของเขา และเมื่อเขาพูดอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสและท่าทางที่จริงจังกล่าวว่า: “ขึ้นรถ กลับไปลงโทษที่บ้าน”

“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบรับ และรีบเดินตามสือมูเฉินไปที่รถ เธอเหลือบมองที่เบาะหลัง และต้องการไปนั่งด้านหลัง แต่เธอไม่กล้าไป ดังนั้นเธอจึงจำใจต้องเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย

ในรถ ประกอบกับบรรยากาศมาคุเมื่อกี้นี้ยังไม่จางหายไป เป็นเพราะหลานเสี่ยวถางยังคงตื่นตระหนกอยู่ พอเธอขึ้นรถเธอก็รู้สึกคัดจมูกทันที ทันใดนั้น เธอก็จามออกมา

ด้านข้างเธอ สือมูเฉินเห็นท่าทางของเธอแล้ว เขาก็แอบปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในรถอย่างเงียบ ๆ

เมื่อรถสตาร์ท หลานเสี่ยวถางรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากบ้านของเธอและสือมูเฉิน ดังนั้น เธอจึงต้องอยู่ในสถานการณ์น่ากังวลแบบนี้ต่อไป อย่างน้อยก็คงประมาณ 50 นาที!

อันที่จริง ถ้าเช่นนั้นเธอยอมรนหาที่ตายก่อนเองดีกว่า ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องรีบลงโทษเธอตอนนี้เลย เธอจะได้ไม่ต้องวิตกกังวลไปตลอดทาง

ในเวลานี้ พระอาทิตย์อัสดงข้างนอกนั้นอบอุ่นมาก และหลานเสี่ยวถางแอบชำเลืองมองดูสือมูเฉินผ่านกระจกมองหลังอย่างเงียบ ๆ

เขากัดกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ ราวกับว่าเขายังคงโกรธอยู่

เพียงแต่ว่า สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้า และดูเหมือนจะไม่มีท่าทีหรืออารมณ์ใดๆฉายออกมาจากแววตาของเขาเลย

ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกัน สือมูเฉินเห็นท่าทางของหลานเสี่ยวถางตั้งแต่แรกแล้ว และเขารู้ว่าคราวนี้เธอกลัวเขามากจริงๆแล้ว อีกทั้ง มันเป็นเรื่องที่ต้องไปประกันตัวเธอถึงในสถานีตำรวจแบบนี้ และเหตุการณ์นี้หลานเสี่ยวถางพึ่งเคยประสบครั้งแรกในชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกี้นี้พวกเขายังขับรถแข่งกันอยู่บนท้องถนน และอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ด้วยความเร็วขนาดนั้น ไม่ตายก็คงพิการนั่นแหละ

ดังนั้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอกลัวมากแล้ว แต่เขาก็จงใจทำหน้าตาเรียบเฉย เพื่อที่เธอจะได้เรียนรู้และหลาบจำยิ่งขึ้นและไม่ควรทำอีก

หลังจากที่รถแล่นไปได้ 20 นาที ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอกระซิบเบาๆว่า:“มูเฉิน ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเอง ไม่เช่นนั้น คุณหาสถานที่ลงโทษฉันก่อนดีกว่าไหมคะ ฉันจะได้ไม่……”

เขากลอกตาเล็กน้อย และน้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น:“จะได้ไม่อะไร?”

หลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากของเธออย่างลังเล: “ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลและตกใจจนประสาทเสียแล้วไง……”

สือมูเฉินพูดอย่างเรียบเฉย: “เส้นประสาทอ่อนแอมากขนาดนั้นเลยเหรอ?ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเลย ต้องฝึกฝนบ่อยๆ”

“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าแล้วพูดว่า: “มิฉะนั้น คุณบอกฉันก่อนว่า เป็นการลงโทษทางร่างกายใช่หรือไม่?”

สือมูเฉินหรี่ตาของเขา: “คุณพูดถูกต้องแล้วล่ะ”

หลานเสี่ยวถางใจหายวาบ และเธอเริ่มคิดอีกแล้วว่าการลงโทษทางร่างกายนั้นมีวิธีไหนบ้าง

เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของเธอ สือมูเฉินกล่าวเสริมอีกว่า: “รางวัลสำหรับคุณในระหว่างที่ดีกันนั้นมันต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน”

เมื่อนึกถึงรางวัล แก้มของหลานเสี่ยวถางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นทันที จากนั้นไม่นาน ก็เปลี่ยนไปเป็นซีดเซียวอีกครั้ง

ในเมื่อมันแตกต่าง ถ้าเช่นนั้น เขาจะลงมือทำร้ายร่างกายของเธอจริงๆเหรอ ?

พระเจ้า นี่เขาคงไม่ได้ใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรอกใช่ไหม ?

เมื่อนึกถึงนี่ เธอขยับถอยกรูดไปชิดกับประตูรถ เพื่ออยู่ให้ห่างจากสือมูเฉิน

ตลอดระยะทาง 50 นาทีนั้น ในที่สุดความกังวลและตื่นตระหนกของหลานเสี่ยวถางก็สิ้นสุดลง

หลังจากจอดรถในโรงจอดรถเสร็จแล้ว หลานเสี่ยวถางเดินตามสือมูเฉินไปที่ห้องรับแขกภายในบ้าน

เขาหยุดเดินกะทันหัน และหันหลังไปมองเธอที่หน้าเจื่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

โดยปกติแล้วสือมูเฉินก็สูงกว่าหลานเสี่ยวถางมากอยู่แล้ว ในเวลานี้ เป็นเพราะทั้งสองคนล้วนใส่รองเท้าแตะ หลานเสี่ยวถางสูงระดับไหล่ของเขาเท่านั้น เมื่อเขามองดูเธอ มันเหมือนมีพลังงานบางอย่าง

“เสี่ยวถาง เงยหน้าขึ้นมามองผมเดี๋ยวนี้ ” สือมูเฉินกล่าว

หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นมองเขา เธอรู้เพียงแค่ว่าตัวเองนั้นเหมือนเป็นนักเรียนที่ทำผิดและกำลังรอการลงโทษ

“ความผิดพลาดของคุณ ให้ผมสรุปและย้ำให้คุณฟังอีกรอบ” สือมูเฉินกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า:

“อย่างแรก คุณรู้ทั้งรู้ว่าสือเพ่ยหลินเป็นคนยังไง คุณไม่ควรออกไปพบเขาตามลำพัง แม้ว่าครั้งแรกที่คุณโทรมาหาผมนั้น โทรศัพท์จะไม่ได้อยู่ข้างกายผม แต่ว่านี่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะออกไปพบกับเขา”

หลานเสี่ยวถางรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และตั้งใจฟังเขาอบรม

สือมูเฉินกล่าวต่อไปว่า: “ประการที่สอง คุณไม่ควรขึ้นไปนั่งในรถของหันจื่ออี้” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดเข้าไปที่แอปเวยป๋อ: “และไม่ควรให้เขาจับมือคุณด้วย!”

หลานเสี่ยวถางสะดุ้งด้วยความตกใจ และมองไปที่โทรศัพท์มือถือของสือมูเฉิน เป็นดั่งที่คิดไว้ไม่มีผิดเลย ในภาพนั้นเธอกำลังถูกหันจื่ออี้จูงมืออยู่ และมันเป็นฉากที่พวกเขาวิ่งออกจากหน้าร้านกาแฟ

“อันที่จริงฉันไม่ได้ให้เขาจูงมือฉันนะ แต่เป็นเพราะสือเพ่ยหลินกำลังวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลัง ฉันกลัวว่า –” หลานเสี่ยวถางบ่นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ผิดหรือเปล่า?” สือมูเฉินจ้องมองที่เธอ

“ผิดแล้วค่ะ……” หลานเสี่ยวถางมองสือมูเฉินด้วยแววตาที่ไร้เดียงสาและรู้สึกผิด

“ประการที่สาม” ในขณะที่พูดอยู่นั้น ท่าทางของสือมูเฉินเริ่มเปลี่ยนไปจริงจังมากขึ้น ทันใดนั้น รู้สึกเหมือนมีแรงกดดันจากผู้บังคับบัญชายังไงยังงั้นแหละ และหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกใจหายวาบทันที

แค่ฟังเขาพูดว่า: “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าถูกสือเพ่ยหลินไล่ล่าทันแล้วยังไง?ขับรถแข่งกันบนท้องถนนไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและมันอันตรายมากรู้ไหม ถ้าเป็นอะไรไปมันคุ้มค่ากับชีวิตไหม?!”

หลานเสี่ยวถางคาดไม่ถึงว่า ท่าทางของเขาจริงจังขนาดนั้นแต่กลับพูดเรื่องนี้

เธอจ้องที่เขาอย่างนิ่งเงียบ และฟังเขาอบรมต่อ: “คุณไม่ใช่แล้วนะ เวลาจะทำอะไรคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากมุมมองที่มีเหตุผลหน่อยจะได้ไหม ? มีสิ่งของอะไรที่สำคัญกว่าชีวิตของคุณอีกเหรอ?”

“มันอาจจะมีจริงๆ แต่ว่า สถานการณ์ของพวกคุณไม่ได้อยู่ในขอบเขตแบบนั้นเลย!” สือมูเฉินกล่าว แววตาของเขาเฉียบคมมากขึ้น: “เข้าใจหรือยัง? ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณต้องปกป้องดูแลความปลอดภัยของตัวเองก่อน!”

“อืม เข้าใจแล้วค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าตอบรับ

ไม่รู้ว่าทำไม และเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเขาแล้ว ความวิตกกังวลจากเดิมก็ค่อยๆ หายไป แล้วมันก็แทนที่ด้วยความวาบหวามดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ

ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้น เขาก็มองไปที่หลานเสี่ยวถางพร้อมกล่าวว่า:“ดังนั้น ตอนนี้คุณควรพร้อมที่จะยอมรับการลงโทษแล้วหรือยัง”

เดิมหลานเสี่ยวถางรู้สึกโล่งอกและผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว พอได้ยินแบบนั้นเธอก็วิตกกังวลใจเพิ่มใหม่อีกครั้ง

เธอคิดว่า แม้ว่าเมื่อกี้นี้เขาจะดูท่าทางเข้มงวดและจริงจังมาก แต่ว่ามันน่าเป็นห่วงเธอซะมากกว่า? ดังนั้น อีกสักครู่เวลาเขาลงมือลงโทษคงไม่โหดเหี้ยมเกินไปหรอก?

ดังนั้น เธอจึงค่อยๆเดินบิดตัวและขยับก้าวไปทีละนิด เมื่อเดินถึงกลางห้องรับแขก จากนั้น เธอรีบหลับตาลงด้วยการแสดงออกท่าทางกล้าหาญ: “มูเฉิน คุณลงโทษฉันเถอะ!”

ทั้งๆที่สือมูเฉินเห็นว่าเธอกลัวอย่างเห็นได้ชัดราวกับกวางที่หวาดระแวงอย่างมาก แต่แสร้งทำเป็นไม่กลัวตาย เขารู้สึกว่ามันน่าขันอย่างมาก

เขาหันหลังกลับมา เขาพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองโดยไม่ให้หลุดยิ้มออกมา แล้วก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของหลานเสี่ยวถาง

หลานเสี่ยวถางหลับตาและแอบเหล่มอง

และแล้ว เธอก็เห็นมือของสือมูเฉินยกขึ้น

เขาจะตีเธอจริงๆเหรอ?

คงไม่ใช่จะตบหน้าเธอหรอกนะ?

หลานเสี่ยวถางรู้สึกเข่าอ่อนทันที เธอตกใจกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า

“ป๊าป!” มีเสียงดังขึ้น หลานเสี่ยวถางรู้สึกได้ว่าใบหน้าไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย และจากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแสบๆร้อนๆบนก้นของเธอ

เธอกระพริบตา

“ทำผิดสามครั้ง ก็ ตีสามครั้ง” สือมูเฉินกล่าว ดวงตาของเธอบิกกว้าง: “ยังเหลืออีกสองที”