ตอนที่ 88 สละชีพเพื่อความยุติธรรม

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 88 สละชีพเพื่อความยุติธรรม
รองแม่ทัพใหญ่ไป๋ฉีซาน ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงได้รับคำสั่งให้ไปยังเมืองเฟิ่ง เมื่อเขาเร่งขี่ม้าโดยไม่หยุดพักไปถึงเมืองเฟิ่งกลับพบว่าเมืองเฟิ่งสงบเรียบร้อยดี ขุนนางที่ดูแลคลังเก็บเสบียงรายงานว่าเสบียงยังมาไม่ถึงเมืองเฟิ่ง รองแม่ทัพหลิวฮ่วนจางเคยมาหยุดพักที่เมืองเฟิ่ง และบอกว่าเสบียงมาถึงทัพด่านหน้าแล้ว บอกให้ขุนนางดูแลเสบียงไม่ต้องเป็นกังวล

ซื่อจื่อไป๋ฉีซานรู้ว่าหลินฮ่วนจางทรยศจึงรีบกลับไปยังเขาชวนหลิงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ใดจะคิดว่าหลิวฮ่วนจางนำกองกำลังทหารหนึ่งแสนแปดหมื่นนายซุ่มโจมตีอยู่ที่ช่องแคบเขาหลัวเฟิง ไป๋ฉีซานเสียเปรียบด้านกองกำลัง…กองกำลังเพียงหนึ่งหมื่นนายของเขาไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้ เขาบาดเจ็บสาหัส นำทหารที่บาดเจ็บจนเหลือเพียงหนึ่งพันนายถอยทัพกลับไปยังเมืองเฟิ่ง

รองแม่ทัพใหญ่ไป๋ฉีซานถูกล้อมอยู่ในเมืองเฟิ่งห้าวัน ไร้เสบียงอาหาร หลินฮ่วนจางจับเป็นท่านชายห้าของตระกูลไป๋ เปลื้องเสื้อผ้าเฉือนเนื้อของเขาทีละชิ้นอย่างดูถูกเหยียดหยามเพื่อบีบให้ไป๋ฉีซานยอมจำนน ไป๋ฉีซานตัดสินใจออกไปสู้กับหลิวฮ่วนจางอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อยื้อเวลาให้ชาวบ้านเมืองเฟิ่งมีเวลาถอยหนี เขายิงธนูสังหารท่านชายห้าของตระกูลไป๋ทั้งน้ำตา

ก่อนที่รองแม่ทัพใหญ่ไป๋ฉีซานจะออกรบ เขาสั่งให้ทหารที่เป็นบุตรคนเดียวและมีพ่อแม่ที่แก่ชราถอนตัวออกไป ทหารที่ยังไม่แต่งงานมีทายาทสืบสกุลถอนตัว ส่วนที่เหลือ…หากกล้าสละชีพเพื่อชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นจงออกไปสู้กับข้าศึกพร้อมกับเขา!

คุณชายสิบเจ็ดที่อายุเพียงสิบขวบถือดาบก้าวไปด้านหน้า กล่าวว่าตนพร้อมสละชีวิตออกไปสู้กับศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านลุงใหญ่เพื่อปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น จะไม่ยอมอยู่อย่างคนขลาด! กองทัพไป๋มีแรงฮึดเพราะคำกล่าวของเด็กอายุเพียงสิบขวบ ต่างชักดาบออกมาพร้อมพลีชีพออกรบเพื่อปกป้องชาวบ้าน ตะโกนโห่ร้องสามครั้งว่ายอมตายในสนามรบ ดีกว่าอยู่อย่างคนขลาด

ส่วนซิ่นอ๋องหลบหนีเอาตัวรอดไปพร้อมกับทหารสามพันนายทันทีที่กองทัพของซีเหลียงห้าหมื่นนายบุกโจมตีค่ายทหารหลัก ทหารกองทัพไป๋ที่เหลืออยู่ในค่ายจำนวนสองพันนายยินดีสู้ตายไปพร้อมกับแม่ทัพจี๋เฟิงไป๋ชิงอวี๋เพื่อยื้อเวลาให้ชาวบ้านได้มีเวลาหลบหนี

แม่ทัพจี๋เฟิงไป๋ชิงอวี๋ส่งทหารห้าร้อยนายพาชาวบ้านหลบหนีไป ส่วนตนเองนำทหารอีกพันนายดื่มเหล้าอำลา กล่าวว่าแม้ไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่วันนี้จะตายไปพร้อมกันเพื่อปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น ทุกคนเป็นดั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ดื่มให้หมดแก้วแล้วพบกันใหม่ในชาติหน้า!

จากนั้นแม่ทัพจี๋เฟิงไป๋ชิงอวี๋และทหารอีกพันนายเสียชีวิตในสนามรบ ร่างถูกไฟเผาจนไม่หลือชิ้นดี

แม่ทัพจี๋หย่งปกป้องอำเภอเฟิงด้วยชีวิต กองทัพหนานเยี่ยนบุกโจมตีเมือง แม่ทัพจี๋หย่งไป๋ชิงหมิงกล่าวว่ามีชาวบ้านนับแสนอยู่เบื้องหลัง กองทัพไป๋พร้อมสู้จนตัวตาย จะอยู่สู้เป็นคนสุดท้าย แม้ตัวตายก็มีวันถอย!เพราะต้องการบั่นทอนจิตใจของกองทัพแคว้นต้าจิ้น อวิ๋นพั่วสิงผู้นำของกองทัพในการร่วมมือกันของซีเหลียงและหนานเยี่ยนในครั้งนี้แขวนศีรษะของรองแม่ทัพใหญ่ไป๋ฉีซานไว้ที่หน้าค่ายทหาร! ตัดศีรษะและคว้านท้องของคุณชายสิบเจ็ดแห่งตระกูลไป๋ ภายในท้องของคุณชายสิบเจ็ดเต็มไปด้วยดินโคลนและเศษไม้ อวิ๋นพั่วสิงตกตะลึง!

กองทัพไป๋อาฆาตแค้น พุ่งเข้าต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ!

แม้แต่ขุนนางผู้จดบันทึกสถานการณ์รบยังเขียนทิ้งท้ายไว้เช่นนี้…

“เด็กอายุเพียงสิบขวบยังกล้าสละชีพเพื่อบ้านเมือง ข้าละอายใจยิ่งนัก ตอนนี้ต่อให้เป็นบัณฑิตก็สามารถทิ้งพู่กันหันมาจับมีดดาบ พร้อมสู้ตายในสนามรบเช่นเดียวกัน!”

เมื่ออ่านม้วนไม้ไผ่ทั้งหกจบ คนตระกูลไป๋และชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูอู่เต๋อต่างน้ำตานองหน้านานแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนชูม้วนไม้ไผ่บันทึกสถานการณ์รบที่เปื้อนเลือดทั้งหกม้วนขึ้นเหนือศีรษะ ตะโกนออกมาเสียงดัง “ไม่มีเสบียงส่งไปยังหนานเจียง รองแม่ทัพหลิวฮ่วนจางกบฏ ซิ่นอ๋องบีบบังคับให้เจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิงออกรบเพราะอยากได้ผลงาน ทำให้ทหารนับแสนต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียง ทว่ากลับโยนความผิดทั้งหมดให้จวนเจิ้นกั๋วกงโดยอ้างว่าเจิ้นกั๋วกงเอาตัวเองเป็นใหญ่ดึงดันออกรบ หม่อมฉันทูลขอให้ฮ่องเต้ทรงคืนความยุติธรรมให้วิญญาณวีรบุรุษ คืนความบริสุทธิ์ให้ผู้ที่จงรักภักดีด้วยเพคะ! ได้โปรดทรงจับตัวหลินฮ่วนจาง ประหารซิ่นอ๋องตามกฎหมายของบ้านเมืองเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ชาวบ้านด้วยเถิดเพคะ”

หัวหน้าทหารองครักษ์เฝ้าประตูฟังจบรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก ขอบตาร้อนผ่าว เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่งพลางเอ่ยเตือนองค์หญิงใหญ่ด้วยความหวังดี

“องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ตีกลองเติงเหวินหนึ่งทีต้องโดนโบยสามสิบที ให้คุณหนูสามหยุดเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“ตี!” ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนด้วยแววตาเกรี้ยวกราด “ข้าจะรับการโบยสามสิบทีนี้เอง! วันนี้ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่ เสียงกลองก็ต้องดังไปถึงสรวงสวรรค์ให้ได้!”

หญิงสาวคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นในท่าเตรียมรับโทษโบยอยู่ด้านหน้าสุด จ้องไปยังประตูอู่เต๋อซึ่งบานใหญ่มหึมาเขม็ง

หลายปีมานี้ กลองเติงเหวินตั้งอยู่ตรงนี้เฉยๆ ราวกับเป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีผู้ใดกล้าขึ้นไปตีมันมาก่อน

เพชฌฆาตถือไม้กระบองท่อนใหญ่ไว้ในมือแน่น ความรู้สึกมากมายถาโถมอยู่ในใจ หลังจากได้ยินว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงอย่างใด เขาจะโบยหญิงสาวลงได้อย่างใดกัน…

สตรีที่อ่อนโยนสง่างามตรงหน้าคือสตรีที่เหลืออยู่ของตระกูลไป๋! เขาทำไม่ลงจริงๆ ทว่าทำไม่ลงก็ต้องทำอยู่ดี ออมมือสักหน่อยก็แล้วกัน

“คุณหนูใหญ่ไป๋ พวกเราต้องทำตามกฎคุณหนูใหญ่โปรดเข้าใจด้วยนะขอรับ!”

ไม้กระบองง้างขึ้นสูง ฟาดลงมาอย่างพยายามควบคุมแรง…

ไม้กระบองกระทบอากาศฟาดลงบนเนื้อ ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น ร่างทั้งร่างเกือบถลาล้มลงบนพื้น หญิงสาวกัดฟันแน่นรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่เกิดขึ้นในใจ

“ข้าโดนโบยเอง ข้าร่างกายแข็งแรง! ข้ารับเอง!” ไป๋จิ่นจื้อถลาเข้าไปขวางไม้กระบองไว้ คุกเข่าลงเคียงข้างไป๋ชิงเหยียน เอ่ยบอกเพชฌฆาต “ปีนั้นพี่หญิงใหญ่ของข้าได้รับบาดเจ็บเพราะสู้กับศัตรู ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ข้าขอรับไว้เอง!”

“ข้าเป็นคนตีกลอง ข้าก็ต้องเป็นคนรับโทษ!” ไป๋จิ่นถงตีกลองอย่างแรงโดยไม่คิดจะหยุดพัก

“พวกเราพี่น้อง…รับโทษด้วยกัน!” ไป๋จิ่นซิ่วคุกเข่าลงข้างๆ ไป๋ชิงเหยียนเช่นกัน “พวกเราโดนโบยมาไม่น้อย มิกลัวท่อนไม้เล็กๆ เช่นนี้หรอก!”

ชายฉกรรจ์ที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตา เดินฝ่าฝูงชนออกมา คุกเข่าพลางเอ่ยขึ้น

“ข้าขอรับโทษโบยแทนคุณหนูตระกูลไป๋เอง! บุรุษตระกูลไป๋สละชีพเพื่อบ้านเมือง สตรีตระกูลไป๋ต้องตายตามไปด้วยเพียงเพราะต้องการทวงคืนความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ ตระกูลไป๋จงรักภักดี…ฮ่องเต้ทรงต้องคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋นะพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้ารับเอง ซิ่นอ๋องสมคบคิดกับหลิวฮ่วนจางผู้ทรยศบ้านเมืองเพราะความโลภ อีกทั้งยังเหยียบย่ำ ไม่ให้เกียรติร่างของวีรบุรุษ! บุรุษตระกูลไป๋กล้าพลีชีพเพื่อชาวบ้าน ข้าก็กล้าสละชีพของตัวเองเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลไป๋!”

บัณฑิตหน้าขาวผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “กล่าวได้ดี! สละชีพเพื่อความยุติธรรม! ข้าเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง ต่างกล่าวกันว่าบัณฑิตคือผู้ที่ไร้ประโยชน์ วันนี้ข้าจะสละชีวิตที่ไร้ประโยชน์ของข้า ขอแค่ทวงความยุติธรรมคืนให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าได้!”

คำกล่าวของบัณฑิตผู้นี้สะเทือนอารมณ์ของชาวบ้าน แม้แต่สตรีและเด็กยังร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว โดยเฉพาะสตรีวัยกลางคนที่มีบุตร เมื่อนึกถึงจุดจบของคุณชายสิบเจ็ดที่อายุเพียงสิบขวบ นึกถึงฮูหยินสี่ที่เกือบเอาศีรษะกระแทกโลงศพเพื่อปลิดชีพตัวเอง พวกนางจึงยืนขึ้นกล่าวว่าจะรับโทษโบยแทนตระกูลไป๋

ชาวบ้านต่างโกรธแค้น เมื่อเห็นว่ามีผู้กล้าสองสามคนเริ่มออกหน้า พวกเขาจึงรีบเอ่ยตาม

ไป๋จิ่นจื้อหันไปมองชาวบ้านที่ออกรับแทนตระกูลไป๋ของพวกนาง ราวกับมีพายุโหมกระหน่ำอยู่ในใจ น้ำตาไหลพรั่งพรู ลำคอตีบตันจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

จู่ๆ นางก็หวนนึกถึงถ้อยคำที่พี่หญิงใหญ่สั่งสอนนางที่เรือนชิงฮุยในวันที่หนึ่ง…

เราไม่มีคนอยู่ในราชสำนัก เดิมทีก็ลำบากมากอยู่แล้ว หากไม่มีชาวบ้านคอยปกป้องคุ้มครองก็จะยิ่งพบกับหายนะเร็วขึ้นเท่านั้น! นี่คือจุดจบของตระกูลไป๋ซึ่งคนที่วางแผนเรื่องนี้ต้องการจะเห็น!

ที่แท้นี่คือใจของชาวบ้านที่พี่หญิงใหญ่ต้องการ! ที่แท้ใจการได้ใจของชาวบ้านมันทรงพลังมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

เลือดในใจของไป๋จิ่นจื้อพุ่งพล่าน นางกำมือแน่น เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที มิน่าเล่าผู้ที่ไม่ค่อยเอ่ยวาจาอย่างพี่หญิงใหญ่กลับเอ่ยถึงความดีความชอบของตระกูลไป๋ต่อหน้าผู้คนมากมาย แสดงให้ทุกคนเห็นว่าตระกูลไป๋รักบ้านเมืองห่วงใยชาวบ้านมากมายเช่นใดบ้าง

เมื่อก่อนตระกูลไป๋ทำมากแต่กล่าวน้อย ชาวบ้านจึงเห็นว่ามันควรที่จะเป็นเช่นนั้น

บัดนี้ พี่หญิงใหญ่กล่าวออกมาว่าตระกูลไป๋ทำสิ่งใดเพื่อชาวบ้าน เพื่อแคว้นต้าจิ้นบ้าง ชาวบ้านจึงซาบซึ้งใจ

คำโบราณกล่าวไว้ว่า เด็กที่ชอบร้องไห้จะมีลูกอมกิน เป็นจริงดังคำกล่าวจริงๆ

“ข้าก็ด้วย ข้าร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าคุณหนูสามไป๋จะตีกลองสักกี่ทีข้าก็จะรับโทษโบยเอง!”

———————————————

[1] บัณฑิตหน้าขาว หมายถึง บัณฑิตรุ่นเยาว์ที่มีความรู้น้อย ด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้