ตอนที่ 161 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (3)
ฮ่องเต้ปิดพระเนตรของพระองค์ลง ทรงทนมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้าเวลานี้ไม่ได้จริงๆ
เดิมทีพระองค์คิดว่าหากยกผู้ที่อยู่เบื้องหลังไป๋อวิ๋นเซียนหรือก็คือสำนักชิงอวิ๋นที่แข็งแกร่งและทรงพลังออกมาข่มขู่ จวินอู๋เสียจะยอมเลิกราและไม่กล้าลงมือโหดเหี้ยม แต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงคิดผิดถนัด จวินอู๋เสียไม่แยแสสิ่งเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
จวินอู๋เสียไม่กล้าลงมือทำร้ายไป๋อวิ๋นเซียนอย่างนั้นเหรอ
นี่มันเรื่องตลกชัดๆ!
นางไม่เพียงแต่กล้าลงมือกับไป๋อวิ๋นเซียน แต่นางยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมและดุร้ายด้วย
ความเจ็บปวดที่ไป๋อวิ๋นเซียนได้รับ เรียกได้ว่าหนักไม่แพ้กับอาการของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยเลย!
มั่วเฉี่ยนยวนมองดูฉากตรงหน้าราวกับโง่งมไปแล้ว ในขณะที่เขาหมกมุ่นอยู่กับการวางแผนดึงฮ่องเต้ให้ลงจากราชบัลลังก์ วิธีการเรียบง่ายและป่าเถื่อนตรงไปตรงมาของจวินอู๋เสียได้ตบเขาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด
“อู๋เสีย นี่เจ้า…กำลังทำอะไร…” มั่วเฉี่ยนยวนกลืนน้ำลายดังอึก ถามนางไปด้วยเสียงเบา
จวินอู๋เสียเหลือบตามองเขาและเย้ยหยัน “เจ้าดูไม่ออกเหรอ”
“…” เขาดูไม่ออกจริงๆ นั่นแหละ!
ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องชื่อเสียงอันดีงามของสกุลจวิน ไม่ว่าจะเป็นการสังหารขุนนางชั้นสูงไปมากมาย การใช้กำลังทหารปิดล้อมเมืองหลวง ทุกๆ ก้าวของจวินอู๋เสียล้วนเดินด้วยความระมัดระวัง ไม่อนุญาตให้มีช่องโหว่แม้แต่เล็กน้อย
แต่เวลานี้ จวินอู๋เสียกลับกล้าที่จะทุบตีไป๋อวิ๋นเซียนโต้งๆ ต่อหน้าคนจำนวนมาก แถมยังไม่อธิบายอะไรสักคำ แล้วจะให้เขาเข้าใจว่าอย่างไร
“ผู้อื่นคือเนื้อปลาบนเขียง ส่วนข้าคือผู้ตัดสินชะตา…ไยเจ้าถึงชอบถามเรื่องไร้สาระนักนะ” จวินอู๋เสียขมวดคิ้วมุ่นใส่มั่วเฉี่ยนยวน ทั้งท้องพระโรงขนาดใหญ่ นอกจากทั้งสามคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับฮ่องเต้ ตอนนี้วังหลวงทั้งหมดถูกกองทัพรุ่ยหลินของนางควบคุมเอาไว้หมดแล้ว นางยังจะต้องสนใจภาพลักษณ์ไปอีกทำไม คิดแสดงอย่างไรก็แค่แสดงออกมาอย่างนั้น มันมีปัญหามากนักหรือไร!
“…” มั่วเฉี่ยนยวนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าจวินอู๋เสีย สวรรค์ทรงโปรดเถิด โชคดีจริงๆ ที่เขาเป็นพันธมิตรอยู่ฝั่งเดียวกับเด็กสาว คุณหนูใหญ่สกุลจวินผู้นี้ บทจะเล่นบทร้ายกาจก็เจ้าเล่ห์มากแผนการเสียจนปั่นหัวศัตรูแทบหัวหมุน แต่พอเล่นบทบาทใช้กำลัง นางก็เปลี่ยนร่างไปเป็นสตรีป่าเถื่อนในพริบตา ลงมือโหดร้าย หยาบคาย และรุนแรงชนิดที่พาให้ผู้ที่มองวิกลจริตตามไปด้วย
เอิ่ม…อย่าไปขัดอารมณ์สุนทรีย์ของนางในตอนนี้เลยจะดีกว่า
อีกอย่างหนึ่ง การที่จวินอู๋เสียเล่นทรมานมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและไป๋อวิ๋นเซียนแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามันเป็นกรรมที่แต่ก่อนคนทั้งคู่เคยทำไว้กับจวินอู๋เสียหรอกหรือ นางก็แค่เอาคืนทุกสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้กับนางก็เท่านั้น
หนึ่งชั่วยามผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไป๋อวิ๋นเซียนที่ยามนี้ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อลนลานจนแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว นางหวาดกลัวมาก แต่ขณะเดียวกันก็สับสนมากเช่นกัน ทั้งๆ ที่นางก็ฝังเข็มกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนแล้ว ทว่าก็ยังไม่สามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปปิดกั้นเส้นเลือดในขาทั้งสองข้างของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยได้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกรีดร้องทุรนทุรายอย่างหนักด้วยความทรมาน แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะใช้คุกเข่า บัดนี้ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป
“เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดกัน ทำไมมันถึงไม่สามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไปได้” ไป๋อวิ๋นเซียนดวงตาแดงก่ำด้วยความกังวล นางใช้ทุกอย่างที่นางเรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตออกไปจนหมดแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีประโยชน์ใดๆ สักนิด แม้แต่เม็ดยาที่ท่านอาจารย์ของนางเป็นผู้หลอมด้วยมือตัวเอง ก็ยังใช้ไม่ได้ผลกับอาการของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยในปัจจุบัน
“เจ้า เจ้ากำลังหลอกข้าใช่หรือไม่ เขา…” ไป๋อวิ๋นเซียนถลึงตาจ้องจวินอู๋เสียอย่างลืมตัว แต่พอได้สบตากับนาง นางก็ตัวสั่นสะท้านและไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าจวินอู๋เสียอีกต่อไป
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนที่ร้องไห้จนแทบสิ้นสติอยู่ด้านข้างมั่วเซวี่ยนเฝ่ย
ไป๋อวิ๋นเซียนหดตัวกลับไปทันทีด้วยความผวา
จวินอู๋เสียคร้านจะสนใจนางอีก จากนั้นก็เดินขึ้นไปหยุดอยู่ตรงหน้ามั่วเซวี่ยนเฝ่ย นางวางมือทั้งสองข้างลงบนเข่าสองข้างของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย แล้วดึงเข็มเงินขนาดเล็กที่เปื้อนเลือดออกมา
ศาสตร์การสกัดจุดด้วยเข็มเงิน หากไม่ดึงเข็มเงินออกก่อนการรักษา ต่อให้มีฝีมือทางการแพทย์เลิศเลอเพียงใด หรือว่ามีเม็ดยาครอบจักรวาลอยู่ในมือ มันก็ไร้ประโยชน์!
“ลองตรวจอาการเขาดูอีกครั้งสิ” จวินอู๋เสียกล่าวกับนางอย่างเย็นชา
ไป๋อวิ๋นเซียนยื่นมือที่สั่นระริกขึ้นไปจับชีพจรให้มั่วเซวี่ยนเฝ่ย ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ไหลเวียนแล้ว! โลหิตที่ถูกปิดกั้นไว้ที่เข่าทั้งสองข้างของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยกลับมาไหลเวียนตามปกติแล้ว แต่ว่ามันก็สายเกินไปแล้วเช่นกัน ขาของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยพิการแล้ว และเขาจะไม่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกตลอดทั้งชีวิตนี้!
เพียงแค่หนึ่งชั่วยามจริงๆ!
ในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามสั้นๆ…
ชีวิตของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็แปรเปลี่ยนจากองค์ชายรองผู้ทรงเสน่ห์เปี่ยมไปด้วยอนาตอันก้าวไกล กลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
ไป๋อวิ๋นเซียนที่เชื่อมั่นและภาคภูมิใจกับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของตัวเองมาโดยตลอด ถือว่าตัวเองเป็นศิษย์เอกที่มีความสามารถของสำนักชิงอวิ๋น จึงไม่เคยคิดไขว่คว้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเลย มาเวลานี้นางได้ลิ้มรสกับความไร้ประโยชน์ของตัวเองแล้ว แม้แต่เข็มเงินสองเล่มที่ถูกฝังลงไปในเข่าของชายคนรักก็ยังไม่มีปัญญาเอามันออกมาได้ จนเป็นเหตุให้มั่วเซวี่ยนเฝ่ยต้องกลายมาเป็นคนพิการ การที่จวินอู๋เสียเรียกพิษของนางว่าเป็น ‘ของเด็กเล่น’ ก่อนหน้านี้จึงไม่นับว่าเกินไปเลย
เนื่องจากความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นทั้งหมดที่มีมาแหลกสลายลงในพริบตา ไป๋อวิ๋นเซียนคล้ายตุ๊กตาไร้ชีวิต นางมองไปที่จวินอู๋ซีด้วยน้ำตานองหน้าแต่ดวงตาไร้แววว่างเปล่า และเหมือนกับคนที่สูญเสียจุดยืนไป เห็นได้ชัดว่านางถูกจวินอู๋ซีบดขยี้ลงโดยสมบูรณ์!
ตอนที่ 162 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (4)
ในหนึ่งชั่วยามนี้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยต้องทนทุกข์ทรมานกับเข็มเงินที่ถูกจวินอู๋เสียฝังลงมาจนอยากตายเสียหลายๆ รอบ เวลานี้เมื่อเข็มเงินนั้นถูกถอนออกไป เขาก็โล่งใจ แต่พอรู้สึกตัวว่าไม่ว่าเขาจะขยับขาอย่างไรมันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็แทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง
เขาพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ขาทั้งสองข้างของเขากลับไม่ฟังคำสั่ง มันชาดิก เขาจึงทำได้เพียงแต่ต้องคุกเข่าอยู่อย่างนั้นต่อหน้าทุกคน แล้วแหงนมองทุกคนจากบนพื้น
“ไปเอาเก้าอี้รถเข็นที่ข้าเตรียมไว้ให้องค์ชายรองเป็นพิเศษเข้ามา” จวินอู๋เสียสั่งด้วยรอยยิ้ม
ทหารกองทัพรุ่ยหลินนายหนึ่งก็ไปเข็นเก้าอี้รถเข็นที่เตรียมไว้เข้ามาในท้องพระโรงโดยไม่รอช้า
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมองไปที่เก้าอี้รถเข็นที่ทหารเข็นเข้ามา เขาพบว่าเก้าอี้รถเข็นคันนี้มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน นี่ไม่ใช่เก้าอี้รถเข็นคันที่ทางราชวงศ์ส่งไปให้จวินชิงในปีนั้นที่จวินชิงพิการหรอกเหรอ!
“ประคององค์ชายรองขึ้นไปนั่ง” จวินอู๋เสียสั่งต่อ
ทหารกองทัพรุ่ยหลินสองนายก็เข้าไปประชิดตัวแล้วดึงตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ยขึ้นมา มั่วเซวี่ยนเฝ่ยปัดป้องเล็กน้อย แต่เพราะยามนี้เรี่ยวแรงของเขาแทบไม่เหลือแล้ว จึงได้กัดฟันทนต่อความเจ็บที่บริเวณแขนที่ถูกดึงแล้วขึ้นไปนั่งบนรถเข็นคันนั้นอย่างไม่เต็มใจ
รอยเลือดจากการถูกลากให้ขึ้นไปนั่งบนรถเข็นทิ้งคราบไว้เป็นทางยาวน่ากลัว หลายคนเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองโดยเฉพาะกับไป๋อวิ๋นเซียนและผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น
“จวินอู๋เสีย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่! เจ้าคิดจะทำบ้าอะไรหา! ข้าไม่นั่งรถเข็นนะ! ข้าไม่เอา!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพยายามถลาตัวกลับลงมาที่พื้น แต่เพราะถูกทหารกองทัพรุ่ยหลินกดไว้ จึงได้แต่สบถด่าจวินอู๋เสียออกไป
“ก็เจ้าเป็นคนพิการแล้วนี่ ยอมรับชะตากรรมเสียเถิด” จวินอู๋เสียยิ้มอย่างสดใส ทว่าประโยคเมื่อสักครู่นี้ของนางกลับทำให้ฮ่องเต้ที่ทำตัวล่องหน ทนฟังทนดูสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดถึงกับสะท้าน พระวรกายหนาวสั่นขึ้นมา
ก็เจ้าเป็นคนพิการแล้วนี่ ยอมรับชะตากรรมเสียเถิด…
ประโยคนี้ พระองค์เคยตรัสไว้…
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปที่แผ่นหลังของจวินอู๋เสีย พระวรกายของพระองค์คล้ายกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ทรงไม่อาจระงับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในพระทัยได้เลย
ทอดพระเนตรดูพระโอรสของพระองค์เองและไป๋อวิ๋นเซียนถูกจวินอู๋เสียหยอกเล่นอยู่ในกำมือ ฟังเสียงกรีดร้องทุกข์ทรมานของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย พระองค์ก็เกิดความรู้สึกอยากหนีขึ้นมา แต่พระองค์หนีไปไหนไม่ได้
ด้านนอกท้องพระโรง บัดนี้ถูกทหารจากกองทัพรุ่ยหลินปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้พระองค์ทรงหนีขึ้นมาจริงๆ พระองค์ก็หนีไม่พ้น!
ทางด้านมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ถูกบังคับให้นั่งเก้าอี้รถเข็นแทบเสียสติ เขาไม่ได้อยากจะนั่งเก้าอี้รถเข็นคันนี้สักนิด แต่เพราะทหารจากกองทัพรุ่ยหลินทั้งสองคนประกบด้านซ้ายขวาของเขาอยู่ เขาจึงขยับไปไหนไม่ได้
มาดขององค์ชายรองผู้สูงศักดิ์ บัดนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
มั่วเฉี่ยนยวนเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้าอย่างเงียบๆ มาตอนถึงนี้ เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าความโหดเหี้ยมของจวินอู๋เสียที่เขาได้เห็นในคืนนั้นที่หน้าประตูวัง ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของความอำมหิตที่เขาได้ประจักษ์ในวันนี้ด้วยซ้ำ
แทนที่จะพูดว่าได้ประจักษ์ในความโหดเหี้ยมอำมหิตของจวินอู๋เสีย ไม่สู้พูดว่าได้รู้แจ้งถึงความสามารถในการทรมานคน บดขยี้เหยียบย่ำศัตรูให้จมดินของนางออกจะตรงตัวยิ่งกว่า
เพียงแค่หนึ่งดาบ จวินอู๋เสียก็ทำให้ทั้งมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและไป๋อวิ๋นเซียนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ทั้งๆ ที่นางสามารถฆ่าคนทั้งสองได้ง่ายๆ แต่นางกลับเลือกหนทางที่จะทรมานพวกเขาอย่างช้าๆ ค่อยๆ ทำลายความภาคภูมิใจ ความมั่นใจ ความฝัน อนาคต และศักดิ์ศรีทุกๆ อย่างของคนทั้งคู่ไปทีละนิด ปล่อยให้พวกเขาจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง และในที่สุดพวกเขาก็จะถูกความหวาดกลัวเข้ากัดกินจนกลายเป็นคนวิปลาสไป
เมื่อจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งถูกเหยียบย่ำทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เป็นเทพที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ ก็ไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรพวกเขาได้ การเยียวยารักษาจิตใจที่แตกร้าวให้กลับมาเป็นเหมือนเก่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ถูกทรมานโดยจวินอู๋เสีย กลับชาติมาเกิดใหม่บางทีอาจจะง่ายยิ่งกว่า
รักษากายเนื้อนั้นง่าย แต่การเยียวยารักษาจิตใจ…
“จวินอู๋เสีย! ข้าจะฆ่าเจ้า! นังบ้า! นังสวะ! ข้าจะฆ่าเจ้า!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่นั่งอยู่บนรถเข็นคำรามลั่น รูม่านตาของเขาขยายเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง จู่ๆ เขาก็เรียกวงแหวนภูติวิญญาณออกมา แสงสีทองสว่างวาบไปทั่ว และเพียงไม่นานเสียงร้องคำรามอันน่าเกรงขามของสัตว์ร้ายประเภทสิงโตก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง
การแสดงออกของมั่วเฉี่ยนยวนเปลี่ยนเป็นระมัดระวังขึ้นมาทันที เขากระชับหมัดแน่น ยังคงจำเสียงร้องนี้ได้ขึ้นใจ ในปีนั้นที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยปลุกภูติวิญญาณของเขาขึ้นมา มันก็ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั้งราชวงศ์!
แสงสีทองซึ่งเหมือนกับแสงของพระอาทิตย์เจิดจ้า ขยับเข้ามารวมกลุ่มกันแล้วจำแลงร่างเป็นสิงโตทองคำขนาดยักษ์
ราชสีห์ทองคำยักษ์!
ในสายเลือดทุกรุ่นของเชื้อพระวงศ์รัฐชี นี่คือภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดที่ถูกปลุกขึ้นโดยสมาชิกราชวงศ์รัฐชี
การที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเรียกภูติวิญญาณอย่างราชสีห์ทองคำยักษ์ออกมาในเวลานี้ เห็นได้ชัดแล้วว่าเขามีความต้องการจะตายไปพร้อมกันกับจวินอู๋เสีย!