ตอนที่ 66 รังแกบัณฑิตน้อยของข้าหรือ ทนไม่ไหวแล้วนะ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 66 รังแกบัณฑิตน้อยของข้าหรือ ? ทนไม่ไหวแล้วนะ

หลินเว่ยเว่ยพยายามชวนคุยอยู่หลายประโยค ทว่าบัณฑิตหนุ่มไม่ยอมหันมามองนางเลยแม้แต่น้อย เขาหันหลังให้นางไปตลอดทางกระทั่งเกวียนเข้าสู่เขตเริ่นอัน

หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากเกวียน ในมือข้างหนึ่งถือกระบุงไม้ไผ่ไว้ ส่วนอีกข้างก็ยื่นออกไปเพื่อจะรับบัณฑิตหนุ่ม

ในที่สุดเจียงโม่หานก็มีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง เขาจ้องไปยังหลินเว่ยเว่ยแล้วลงจากเกวียนเองโดยเมินเฉยต่อมือของนางที่ยื่นมา ‘สตรีจะยื่นมือให้ผู้อื่นจับสุ่มสี่สุ่มห้าได้เช่นไร ? ’

ข้าจำได้ว่าถนนสายนี้มีร้านขายเค้กและขนมตั้งอยู่ เราลองไปถามที่นั่นดีหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยแบกกระบุงแล้วมองไปยังเจียงโม่หาน

เจ้าเด็กอ้วนคนนี้มาในเมืองหลายครั้งแล้ว นางไม่น่าจะโดนพ่อค้าหน้าเลือดหลอกได้ แม้ว่าเจียงโม่หานอยากเดินแยกจากนางเต็มทน แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับและเดินตามนางไป

หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาดูในร้านรอบหนึ่ง บางทีอาจเพราะปีนี้เกิดภัยแล้งรุนแรงจึงทำให้ผลไม้ภายในร้านมีไม่มากนัก อีกทั้งคุณภาพของผลไม้อบแห้งในร้านยังเทียบไม่ได้กับของที่พวกนางทำแม้แต่น้อย หลินเว่ยเว่ยจึงเกิดความมั่นใจขึ้นมา ดังนั้นนางจึงไปถามชายหนุ่มในร้านว่า หลงจู๊ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ? ผลไม้อบแห้งในร้านของพวกเจ้ามีเท่านี้เองหรือ ?

ชายคนนั้นเหลือบมองเสื้อผ้าที่นางสวมใส่และคิดว่านางไม่มีกำลังพอที่จะซื้อมันเสียด้วยซ้ำ เขาจึงพูดอย่างหมดความอดทนว่า มีเพียงเท่านี้น่ะสิ หรือยังไม่พอให้เจ้าซื้อ ? เจ้าจะซื้อหรือไม่ ? หากไม่ซื้อก็รีบออกไปจากร้าน อย่ามารบกวนเวลาทำมาค้าขายของผู้อื่น !

ข้าต้องการเจรจาการค้ากับหลงจู๊ของเจ้า รบกวนช่วยไปบอกหลงจู๊ให้ข้าที แม้ปากจะพูดเช่นนี้ ทว่าในใจของหลินเว่ยเว่ยกำลังกล่อมตัวเองว่า ‘สันติภาพนำมาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ไม่โกรธ ไม่โกรธ ! ’

ชายคนนั้นเบ้ปากแล้วโบกมือไล่นาง เจ้าคิดว่าหลงจู๊ของพวกข้าเป็นคนที่ผู้ใดก็พบได้หรือ ? ไป ไปให้พ้น !

เสี่ยวมู่ เจ้าปฏิบัติกับลูกค้าเช่นนี้หรือ ? หลงจู๊เดินตามหลังชายหนุ่มในอาภรณ์ราคาแพงเข้ามาแล้วหันไปตำหนิลูกจ้างของตน

ชายหนุ่มในอาภรณ์ราคาแพงเห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่ยืนอยู่ข้างหลินเว่ยเว่ยอย่างชัดเจน จากนั้นก็กระตุกรอยยิ้มขึ้น ลูกค้าหรือ ? เป็นแค่คนยากจนที่อาศัยการคัดลอกตำราหาเงิน จะมีปัญญามาซื้อขนมในร้านของพวกเราได้อย่างไร ? นี่ เจ้าน่ะ ยังไม่รีบไล่ขอทานสองคนนี้ออกไปอีก ออกไป !

เสี่ยวเว่ย ไม่ว่าที่ใดล้วนมีคนบางกลุ่มที่ชอบใช้สายตาสุนัขประเมินผู้อื่น ! ไปกันเถิด ต่อให้พวกเขามาอ้อนวอนขอร้องให้เราทำการค้าขายด้วย เราก็จะไม่มีวันเข้าร่วมเด็ดขาด ! แม้สีหน้าของเจียงโม่หานดูสงบเยือกเย็นราวกับไม่แยแส แต่ภายในใจของเขาสุมไปด้วยไฟแค้นจนแทบอยากถลกหนังและเลาะกระดูกของอู๋ปัวเสียตอนนี้เลย

ชาติก่อน หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้เขาก็คงไม่ต้องหมดสติไปหลายวันและมารดาก็คงไม่…สาเหตุที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในขุมนรกแห่งความเจ็บปวดมานานแสนนานก็เพราะมันผู้นี้…

หลินเว่ยเว่ยไม่รู้ว่าบัณฑิตหนุ่มและชายหนุ่มในอาภรณ์ราคาแพงมีความแค้นใดต่อกัน แต่นางฟังจากเสียงที่เขาเคาะพัดในมือแล้วก็พอมองออกถึงความโกรธภายในใจ ดังนั้นนางจึงยกกระบุงขึ้นมาโดยไม่ได้กล่าวอันใดแล้วหันหลังเตรียมเดินออกไปอย่างไม่ลังเล

ทว่าอู๋ปัวคว้ากระบุงของนางเอาไว้แล้วผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา โอ้ ! อัจฉริยะเจียงผู้ครองรูปโฉมงดงามแห่งสำนักศึกษา ปกติแล้วดูแคลนลูกหลานพ่อค้าเยี่ยงพวกข้ามิใช่หรือ ? เหตุใดเจ้าจึงตกอับถึงขั้นต้องมาขอเจรจาทำการค้ากับพวกข้า ?

ปล่อย ! หลินเว่ยเว่ยบีบข้อมือของเขาด้วยนิ้วเพียงสองนิ้ว

สีหน้าของอู๋ปัวค่อย ๆ แดงก่ำราวตับหมู เขาปวดกระดูกตรงข้อมือเป็นอย่างยิ่งและรู้สึกราวกับว่ามันพร้อมหักได้ทุกเมื่อ ทว่าเขาจะไม่มีวันแสดงความขี้ขลาดให้เจียงโม่หานได้เห็นเป็นอันขาด แม้ว่าเขารู้สึกปวดจนเหงื่อเย็นไหลอาบกาย แต่เขาก็ยังกัดฟันทนแล้วพยายามเอ่ยคำนี้ออกมาอย่างยากเย็น ปล่อย !

เจ้าปล่อยกระบุงของข้าก่อน แล้วข้าจะปล่อยมือเจ้า ! หลินเว่ยเว่ยออกแรงเพิ่มอีกสองส่วน

อู๋ปัวยอมปล่อยมือออก แม้ว่าเขาไม่อยากทำเช่นนั้นก็ตาม ทว่าเขารู้สึกชาทั้งมือราวกับว่ามือข้างนี้ไม่ใช่ของตน

หลินเว่ยเว่ยดึงกระบุงขึ้นมาสะพายที่หลัง ขณะเดียวกันก็ปล่อยข้อมือของเขา จากนั้นนางเอานิ้วมาถูบนเสื้อผ้าอย่างแรงแล้วทำท่าทีรังเกียจเหมือนว่าบนตัวของเขามียาพิษร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น

‘ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ! ’ เจียงโม่หานยกยิ้มขึ้นมา

อู๋ปัวโมโหมากจึงหันไปออกคำสั่งกับลูกจ้างและบ่าวรับใช้ทันที เหตุใดพวกเจ้ามัวยืนบื้อกันอยู่ได้ ? จัดการพวกมันสิ ! หากฆ่ามันตายได้ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเจ้า !

ทันใดนั้นบ่าวรับใช้และลูกจ้างของเขาก็รีบพุ่งเข้าหาหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานราวกับสุนัขดุร้าย

หลินเว่ยเว่ยเอากระบุงให้บัณฑิตหนุ่มอุ้มไว้ หลังเกิดเสียงดัง ‘ผลัวะ ตุบตับ’ ขึ้นมา ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนนก็เห็นว่ามีคน ‘ลอย’ ออกมาจากในร้านขนมทีละคนจนสุดท้ายก็ลงไปนอนทับกันบนพื้น

หลินเว่ยเว่ยปัดมือและบนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาขณะสาวเท้าเดินไปยังอู๋ปัว

อู๋ปัวตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า เจ้า…เจ้าคิดจะทำอันใด ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนเลย…

ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวจบ เขาก็รู้สึกว่าเข็มขัดของตนรัดแน่นขึ้นและเท้าทั้งสองข้างก็ลอยเหนือพื้น จากนั้นเขาก็กระเด็นไปทับพวกบ่าวรับใช้ จึงทำให้พวกที่อยู่ด้านล่างร้องระงมออกมา !

เป็นอย่างไร ? ความโกรธลดลงบ้างหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยรับกระบุงไม้ไผ่มาแล้วเดินไปยังร้านขนมที่อยู่ถัดไป

เจียงโม่หานยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ทว่าปากของเขากลับเอ่ยออกมาว่า น่าเสียดายที่ไม่ได้ทำให้เจ้าคนชั่วอู๋ปัวเห็นเลือด !

หากเจ้ายังระบายความโกรธออกมาไม่หมด พวกเราค่อยหาโอกาสหลบซ่อนตัวในที่มืดแล้วเอาถุงคลุมศีรษะและลากเขาไปจัดการ ! เจ้ามายืนทำหน้าถมึงทึงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ประเดี๋ยวบ่าวของเขาก็แห่มาแล้ว เหตุใดเราต้องเพิ่มความยุ่งยากให้ตนเองด้วย หลินเว่ยเว่ยมองเขาอย่างแปลกใจ จะว่าไปแล้ว…เหตุใดเจ้าช่างเหมือนนกยูงตัวผู้เช่นนี้ ?

นกยูงตัวผู้ ? อู๋ปัวแต่งชุดหรูหราทั้งตัว ต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือที่เหมือนนกยูง เจียงโม่หานคิดได้เช่นนั้นก็อยากหัวเราะออกมาแต่สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้ ครั้งที่แล้วเขาเป็นคนพาลูกน้องมาทำร้ายข้า…

ว่าอย่างไรนะ ? ไม่ได้การ เจ้าถือกระบุงไว้ ประเดี๋ยวข้าจะไปจัดการเขาเอง ให้พ่อแม่ของเขาจำหน้าเดิมลูกชายไม่ได้เลย ! เป็นเจ้าหมอนั่นเองที่ทำร้ายบัณฑิตหนุ่มจนเกือบตาย ทั้งยังทำให้ศีรษะของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก หลินเว่ยเว่ยที่ได้รู้เช่นนี้ก็หมดความอดทนทันที !

เจียงโม่หานเกือบรั้งนางไว้ไม่อยู่ ตอนนี้ความโกรธในใจของเขาหายไปเพราะท่าทีโมโหฮึดฮัดสุดเหวี่ยงของหลินเว่ยเว่ยแล้ว เจ้าบอกว่าไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มมิใช่หรือ ?

แต่เขาทำร้ายเจ้ามากเพียงนั้น ต่อให้เป็นปัญหาที่ยากเกินกว่าจะแก้ ข้าก็จะเอาคืนให้เจ้า รีบปล่อยมือข้า อย่าห้ามข้าเลย ! ข้าอยากถามเขาเหลือเกินว่าเจ้ามีใบหน้าที่งดงามถึงเพียงนี้ เขากล้าลงมือต่อเจ้าได้เช่นไร ! หลินเว่ยเว่ยพับแขนเสื้อขึ้นมาอย่างเอาเรื่องและสีหน้าแลดูโกรธเป็นอย่างมาก

เจียงโม่หานตะลึงไปเล็กน้อย เขาต้องเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้งและยื้อยุดอยู่หลายหนกว่าที่หลินเว่ยเว่ยจะยอมรามือไม่เอาเรื่องอู๋ปัว ‘เฮ้อ เหนื่อยเสียยิ่งกว่าเดินจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวเข้ามาในเมืองเสียอีก’

หลินเว่ยเว่ยเห็นใบหน้าขาวละเอียดของเขาแดงก่ำด้วยความร้อน อีกทั้งเหงื่อยังไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง นางจึงรีบคว้าพัดในมือของเขาแล้วพัดให้อย่างแรง ข้าจะพาเจ้าไปนั่งที่ร่ม…ดื่มน้ำก่อน ดื่มน้ำเยอะ ๆ

เวลาบัณฑิตหนุ่มเหงื่อออกนี่ช่าง…เย้ายวนใจเหลือเกิน !

เจียงโม่หานดื่มน้ำไปรวดเดียว จากนั้นเขาก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้าแล้วบอกนางว่า ข้าแค่ดูผอม แต่ไม่ใช่คนป่วย หยุดทำราวกับข้าเป็นเครื่องกระเบื้องเคลือบที่เปราะบางได้หรือไม่ ? เจ้าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตนไม่มีประโยชน์เลย

แต่ในสายตาของข้าเห็นเจ้าเป็นเครื่องลายครามที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้ ! หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าคำนิยามในเพลง ‘เครื่องลายคราม’ ของ Jay Chou ยังเทียบไม่ได้กับรูปโฉมของบัณฑิตหนุ่มแม้แต่เสี้ยวเดียว

เครื่องลายครามหรือ ? มันคือสิ่งใด ? มันคือเครื่องกระเบื้องที่มีชื่อเสียงและราคาสูงมากหรือ ? แล้วเหตุใดเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ? เมื่อชาติที่แล้วเขามีสมบัติมากมายยิ่งกว่าท้องพระคลังของแคว้น แต่ไม่เคยได้ยินว่าเครื่องกระเบื้องเคลือบใดจะประเมินค่าไม่ได้

ตอนต่อไป