ตอนที่ 67 ผู้มีจิตใจดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 67 ผู้มีจิตใจดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี

ขณะที่เจียงโม่หานเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ก็ได้ยินเสียงเด็กอ้วนร้องเพลงด้วยท่วงทำนองประหลาด สีครามรอละอองฝน ส่วนข้าเฝ้ารอเจ้า, ควันจากปล่องเตาเผาม้วนลอยขึ้นสูง แม้อยู่ไกลพันหมื่นลี้จากอีกฝั่งลำน้ำ, อักษรลี่ซูที่ก้นแจกันประทับรอยเอกลักษณ์แห่งยุคสมัยอันผันผ่าน, จงถือว่านั่นเป็นบทเกริ่นนำ สำหรับการที่ข้าจะได้พบเจ้า~…

แม้คำที่นางร้องออกมาดูมีจังหวะที่เคล้าไปด้วยท่วงทำนองมีเสน่ห์…ทว่านางเด็กอ้วนผู้นี้กลับร้องออกมาอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่อายเลยสักนิด !

หลินเว่ยเว่ยเห็นสีหน้าของเขาก็คิดในใจว่า ‘นี่ข้ายังรู้จักซ่อนความรู้สึกของตนอยู่บ้าง ข้ายังมีสิ่งที่เปิดเผยได้โจ่งแจ้งยิ่งกว่านี้เสียอีก เจ้าอยากฟังหรือไม่ ? ’

หืม นี่บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินมิใช่หรือ ? เถียนฟู่กุยทักทายนางด้วยความดีใจ เจ้ามาถึงในเมืองทั้งที เหตุใดไม่แวะไปพักผ่อนที่บ้านของข้า ? ท่านแม่มาอยู่ในเมืองหลายวันแล้ว ในแต่ละวันนางก็มักเรียกหาเจ้าอยู่หลายครั้ง ทำเอาหูข้ามีแต่ชื่อต้านเอ๋อร์ดังระงมไปหมด

หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มเผยฟันขาว อาเถียน ช่างบังเอิญเหลือเกิน ! หลังจากที่ข้าขายผลชิงอบแห้งเสร็จแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมย่าเถียน

ผลชิงอบแห้ง ? เจ้าทำเองหรือ ? เอาออกมาให้ข้าดูได้หรือไม่ ? เถียนฟู่กุยเป็นหลงจู๊ร้านขายของกินในเมือง ร้านที่เขาดูแลอยู่ขายของกินจำพวกเมล็ดผลไม้อบแห้ง ลูกอมและขนม…เมื่อก่อนร้านของเขาก็เคยเอาผลไม้อบแห้งมาขายเช่นกัน แต่ตอนนี้ผลไม้อบแห้งที่มีคุณภาพดีก็ราคาสูงเกิน บรรดามหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยในเมืองก็ไม่อยากซื้อของไร้คุณภาพ ดังนั้นลูกค้าที่ร้านของเขาจึงลดจำนวนลงและทำให้เขารู้สึกกังวลมาก !

หลินเว่ยเว่ยเอาผลชิงอบแห้งออกมาจากกระบุงแล้วยื่นให้เขา น้าเฝิงเป็นคนทำ ผลชิงป่าบนภูเขาของพวกเรารสชาติไม่เลวเลย อาเถียน ท่านลองชิมสิ !

เถียนฟู่กุยเหลือบมองพลางชื่นชมอยู่ภายในใจ ‘สีของมันเป็นสีทองผ่องใสราวกับเนื้อหยก มันดูแวววาวสดใหม่ ทั้งยังส่งกลิ่นหอมหวานดึงดูดใจผู้คน แค่มองก็รู้แล้วว่ามันเป็นของดี ! ’

โอ้ ! ใช้น้ำตาลบริสุทธิ์ทำด้วยหรือนี่ ! เถียนฟู่กุยทำการค้าในเมืองมานานหลายปี เขาย่อมเป็นผู้มีสายตาเฉียบแหลมและมองออกเป็นธรรมดา เจ้าตั้งใจจะขายเท่าไหร่หรือ ?

เมื่อก่อน ผลไม้อบแห้งคุณภาพดีที่สุดที่เขาเคยเอาเข้ามาขายในร้านก็ยังไม่เท่าผลชิงอบแห้งในมือของหลินเว่ยเว่ย ตราบใดที่ราคาของมันไม่แพงจนเกินไปก็สามารถเจรจาต่อรองกันได้ ไม่มีปัญหาอันใด

หลินเว่ยเว่ยคำนวณต้นทุนมาตั้งแต่แรกแล้ว นางเก็บผลชิงมาจากบนภูเขาจึงไม่ต้องใช้เงิน ส่วนน้ำตาลนางก็ใช้น้ำตาลไม่ขัดสีมาทำเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์ ทำให้ต้นทุนของน้ำตาลถูกลงกว่าเดิมหลายเท่าตัว ดังนั้นผลชิงอบแห้งของนางจึงมีราคาประมาณชั่งละ 50 อีแปะ

ทว่าเพื่อให้เป็นไปตามราคาของตลาด นางจึงถามเถียนฟู่กุยก่อนที่จะบอกราคาออกไป อาเถียน โดยปกติแล้วผลไม้อบแห้งในร้านของท่านขายเท่าไหร่ ?

เจียงโม่หานได้ยินนางถามเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ‘เด็กอ้วนผู้นี้ ไม่รู้จักความไม่จริงใจในการซื้อขายหรืออย่างไร ? เจ้าไปถามราคาคนซื้อเช่นนี้ เขาจะไม่เอาแต่กดราคาลงหรือ ? เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ! ’

หากเป็นผู้อื่น เถียนฟู่กุยย่อมไม่มีทางกล่าวความจริงอย่างแน่นอน ทว่าหลินเว่ยเว่ยเคยช่วยชีวิตมารดาของเขาเอาไว้ อีกทั้งเขาก็เป็นบุตรที่กตัญญู แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีวันหลอกหรือทำร้ายผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตมารดาของตนเป็นอันขาด ! อีกอย่างต่อให้เขาทำยอดขายผลไม้อบแห้งได้มากกว่าเดิม เขาก็ไม่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นมากเท่าไร เหตุใดเขาจึงจะต้องเอาเปรียบผู้ที่เคยช่วยชีวิตมารดาด้วยเล่า ?

เถียนฟู่กุยคิดว่าหากมาพูดเรื่องนี้กันกลางถนนคงไม่สะดวกนัก เขาจึงชวนนางไปที่ร้านของตน ไปเถิด พวกเราไปคุยในร้านกันดีกว่า

ขนาดของร้านขายขนมและเมล็ดผลไม้อบแห้งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าธุรกิจในระยะนี้ซบเซาอยู่ไม่น้อย บรรดาลูกจ้างที่นั่งอยู่ภายในร้านว่างงานจนหาวไปไม่รู้กี่วอดแล้ว !

ข้าไม่ขอปิดบังเจ้าแล้วกัน เมื่อปีที่แล้วราคารับซื้อผลไม้อบแห้งคุณภาพดีเช่นนี้อยู่ที่ราคาชั่งละ 200 อีแปะ ในเมื่อเจ้าต้องการทำสัญญาซื้อขาย…กอปรกับปีนี้เกิดภัยแล้งรุนแรงจึงทำให้สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษอยู่ไม่น้อย ราคาที่ข้าให้เจ้าได้ก็คือชั่งละ 280 อีแปะ เจ้าคิดว่าอย่างไร ? เถียนฟู่กุยเป็นที่ยอมรับของเถ้าแก่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเรื่องนี้แทนได้

ว้าว ! แม้แต่ราคาเนื้อหมูชั้นดี 1 ชั่งก็ไม่เกิน 50 อีแปะ แต่ผลไม้อบแห้ง 1 ชั่งมีราคามากกว่าเนื้อหมู 5 ชั่ง ความคิดของคนรวยไม่ใช่ความคิดที่คนจนเยี่ยงพวกนางจะเข้าใจได้เลย

ไอหยา ! หลงจู๊เถียน ร้านของท่านมีสินค้าใหม่หรือ ? ผลชิงอบแห้งนี้ดูไม่เลวเลย เอามาให้ข้า 2 ชั่ง ! ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยเดินเข้ามาในร้าน

หวังหยวนว่าย วันนี้ลมอันใดหอบท่านมาหรือ ? เถียนฟู่กุยเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร

ข้าเพิ่งรับอนุภรรยาคนใหม่เข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้นางได้ตั้งครรภ์แล้ว นางบอกว่าพักนี้ทานสิ่งใดก็ไม่อร่อย นางจึงอยากทานผลไม้อบแห้งหวาน ๆ เมื่อครู่ข้าเพิ่งออกมาจากร้านอู๋จี้ ที่นั่นมีแต่ของคุณภาพไม่ดีแถมยังราคาสูงมาก ชั่งละตั้งครึ่งตำลึง ผลไม้อบแห้งของร้านเจ้าช่างน่าทานยิ่งนัก ดังนั้นเอามาให้ข้า 2 ชั่ง ! กล่าวจบเขาก็วางเงินตำลึงบนโต๊ะ

เถียนฟู่กุยหันไปมองหลินเว่ยเว่ยด้วยความเก้อเขิน หลินเว่ยเว่ยจึงหยิบเครื่องชั่งขึ้นมาวางบนโต๊ะให้เขา ส่วนตัวนางก็หันไปช่วยยิ้มรับแขกให้ ผลไม้อบแห้งในร้านของเรามีสีสันสดใหม่ แถมรสชาติก็หอมหวาน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคุณภาพของมันเลย ราคาของมันก็ยังสมเหตุสมผลอีกด้วย ท่านคือลูกค้าเก่าแก่ของร้าน เช่นนั้นทางเราจะคิดท่านแค่ชั่งละครึ่งตำลึงก็พอ…

หวังหยวนว่ายยิ้มกว้าง เขาเอ่ยชมนางไม่หยุดปาก หลงจู๊เถียน นี่คือลูกจ้างคนใหม่ของร้านเจ้าหรือ ? ไม่เลวเลย ค้าขายเก่งมาก !

เถียนฟู่กุยชั่งผลชิงอบแห้งให้หวังหยวนว่าย 2 ชั่งแล้วยื่นให้เขา จากนั้นหวังหยวนว่ายก็เอาเงินวางไว้บนโต๊ะ 1 ตำลึงกับ 200 อีแปะ ในขณะที่หลงจู๊กำลังจะหยิบเงินที่เกินคืนให้นั้น หวังหยวนว่ายก็โบกมืออย่างใจกว้าง เงินที่เหลือข้าให้ลูกจ้างคนใหม่ของเจ้าแล้วกัน !

หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยชมไม่ขาดปากเช่นกัน ท่านเป็นคนมีเงินที่จิตใจดียิ่งนัก เงินตั้ง 200 อีแปะเชียวนะ !

หลังจากนั้นไม่นานก็มีลูกค้าเข้ามาใหม่อีก 2 คน ทั้งสองเดินเข้ามาได้ไม่นานก็เอ่ยปากบอกว่าจะขอซื้อผลชิงอบแห้ง เพราะในตอนที่หวังหยวนว่ายออกจากร้านไปได้ไม่นานก็ไปพบสองคนนี้เข้า เขาจึงแนะนำผลชิงอบแห้งคุณภาพดีให้

ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ! ทางนี้ยังไม่ทันเจรจาเรื่องการซื้อขายเสร็จสิ้นก็ขายได้ไปกว่าห้าหกชั่งแล้ว เถียนฟู่กุยยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า เสี่ยวเว่ย ข้าจะให้ราคาผลชิงอบแห้งของเจ้าชั่งละ 300 อีแปะ เจ้ามีเท่าไร ข้ารับซื้อทั้งหมด !

เจียงโม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจของเขาลอบบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า ‘ปากก็บอกว่าอยากตอบแทนบุญคุณผู้ช่วยชีวิตมารดา ท่านขายผลชิงอบแห้งได้ราคาตั้งชั่งละครึ่งตำลึงแต่ให้ราคารับซื้อแค่ชั่งละ 300 อีแปะ หากไม่ใช่เพราะพวกข้าไม่ต้องใช้ต้นทุนซื้อผลชิงเข้ามา อีกทั้งน้ำตาลสีขาวก็เป็นน้ำตาลที่ดัดแปลงมาจากน้ำตาลสีแดง เช่นนั้นราคานี้คงขายได้กำไรจากต้นทุนแค่สี่สิบห้าสิบอีแปะเท่านั้น ในขณะที่ร้านของท่านขายได้ราคาสี่ห้าเท่าของต้นทุนที่รับซื้อไป ! ’

ทว่าหลินเว่ยเว่ยรู้สึกพึงพอใจในราคานี้มากเพราะนางรู้เรื่องกลไกราคาของการค้าขายเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเมื่อชาติที่แล้ว ราคาเสื้อแบบขายปลีกก็เพิ่มกำไรไปจากราคาขายส่งเป็นสองถึงสามเท่าตัว เพราะต่อให้หมดเทศกาลแล้วลดราคาลงก็ยังขายได้กำไร ซึ่งราคาที่อาเถียนให้นางถือเป็นราคายุติธรรมมากแล้ว หากเป็นหลงจู๊จากร้านอู๋จี้ก็อาจไม่ยอมให้ราคานี้ก็ได้ !

วันนี้หลินเว่ยเว่ยเอาผลไม้อบแห้งมาทั้งหมดยี่สิบกว่าชั่งซึ่งเถียนฟู่กุยรับซื้อไว้ทั้งหมด

ดูจากสีของท้องฟ้าแล้วตอนนี้คงเป็นเวลาเที่ยงวัน เถียนฟู่กุยจึงเชื้อเชิญนางมาทานข้าวที่บ้านของตน เฮ้อ ! จะให้ทำเช่นไรได้ ในเมื่อมารดาของเขามองนางเป็นบุตรสาวไปแล้ว วันทั้งวันก็เอาแต่โวยวายคร่ำครวญว่าจะพบ ‘ต้านเอ๋อร์’ ให้ได้ โชคดีเหลือเกินที่บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินเข้ามาในเมือง หากไม่พานางไปพบมารดาบ้าง ท่านแม่คงได้โวยวายไม่รู้จบแน่นอน !

ท่านแม่ขอรับ ! ดูสิว่าผู้ใดมา ? เถียนฟู่กุยชั่งลูกอมและเมล็ดแตงโมในร้านแล้วใส่ลงในกระบุงของหลินเว่ยเว่ยเพื่อให้นางเอาไปฝากน้องชาย จากนั้นก็ชวนนางเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นเถียนฟู่กุยก็ตะโกนเรียกมารดาของตนทันที

ภรรยาของเถียนฟู่กุยเดินออกมาจากในครัว เมื่อเห็นว่าด้านหลังของสามีมีหญิงสาวอ่อนวัยเดินตามมาด้วย นางก็เกิดความสงสัยขึ้นมาทันที

ตอนต่อไป