ชูเฟิน ท่านแม่อยู่ที่ใด ? เถียนฟู่กุยหันไปถามภรรยา
ภรรยาของเขาถอนหายใจออกมาแล้วชี้ไปที่ห้องของบิดาและมารดาของเขา นางไปโวยวายใส่ท่านพ่ออีกแล้ว นางบอกว่าจะเก็บเสื้อผ้ากลับหมู่บ้านฉือหลี่โกว ตอนนี้ท่านพ่อเองก็จนปัญญาแล้ว !
ท่านแม่ ต้านเอ๋อร์มาเยี่ยมท่านแล้วขอรับ ! เถียนฟู่กุยรีบเปิดประตูเข้าไปหามารดาก็เห็นว่านางกำลังนั่งปาดน้ำตาอยู่ !
ย่าเถียนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกจากตั่งไม้ หยดน้ำตาบนใบหน้าของนางยังไม่ทันเหือดแห้งดี ทันใดนั้นมุมปากก็พลันผุดรอยยิ้มออกมา จริงหรือ ? ต้านเอ๋อร์มาจริงหรือ ? บุตรสาวของแม่ช่างกตัญญูเหลือเกิน ไม่เหมือนพี่ใหญ่ของนางที่เอาแต่ชอบทำให้ข้าโมโห !
เถียนฟู่กุยหมดคำจะกล่าวทันที
ย่าเถียน ! ท่านอยู่ในเมืองสบายดีหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยตั้งใจจะมาเยี่ยมย่าเถียนอยู่แล้วจึงนำผลชิงอบแห้งผลนิ่ม ๆ มาฝากโดยเฉพาะ
ย่าเถียนยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเช่นนั้น ลูกคนนี้ มาเยี่ยมแม่ก็ยังมีใจเอาของมาฝากอีกหรือ ? โอ้ นี่คือผลไม้อบแห้ง ! เป็นของราคาแพงเชียวนะ ต้านเอ๋อร์ของเราเป็นลูกกตัญญูเสียจริง !
ทันใดนั้นนางก็หันไปตำหนิบุตรชายว่า อาศัยอยู่ในเมืองไม่เห็นดีอย่างที่เขาว่ากันเลย พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ยอมให้แม่กลับไปเยี่ยมเจ้า แม่บอกเขาส่งของไปให้เจ้า เขาก็มักผลัดวันประกันพรุ่ง มันทำให้แม่โมโหจะตายอยู่แล้ว !
ข้าไม่ได้ขาดแคลนอันใด ท่านแม่ไม่ต้องกังวลหรอก ท่านแม่รีบทานเถิด หากท่านทานก็เท่ากับว่าข้าได้ทานแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าย่าเถียนเอาขนมออกมาจากหัวเตียงก็รีบเอ่ยโน้มน้าว
เถียนฟู่กุยก็ช่วยพูดโน้มน้าวด้วยว่า ท่านแม่ดูสิขอรับ ต้านเอ๋อร์เอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว ท่านแม่ของเราก็ไม่ควรเก็บขนมไว้ช่วงอากาศร้อนอีก หากซื้อมาแล้วก็ต้องรีบทานให้หมดเพราะหากขนมเสียคงน่าเสียดายแย่ ส่วนต้านเอ๋อร์น่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะซื้อให้น้องเอง !
เช่นนี้ค่อยสมเป็นพี่ชายของนาง ! ย่าเถียนแบ่งขนมให้หลินเว่ยเว่ยทาน ส่วนตนเองก็ทานไปชิ้นหนึ่งเช่นกัน แต่หลังจากคิดแล้วนางก็เอากระดาษน้ำมันมาห่อพลางยื่นให้เถียนฟู่กุย เอาไปแบ่งให้ลูก ๆ ของเจ้าทาน
แม้ว่าเถียนฟู่กุยเป็นหลงจู๊ในร้านขายขนมมีชื่อเสียง แต่เงินเดือนของเขาก็จำกัด ทว่าเขามีบุตรถึง 5 คนที่ต้องคอยดูแล ไหนจะต้องส่งเสียบุตรคนโตกับคนรองให้เล่าเรียน ดังนั้นเขาจึงมีภาระรับผิดชอบที่ค่อนข้างหนักอยู่พอสมควร ทำให้บุตรของเขาไม่ค่อยได้ทานขนมหรือของว่างสักเท่าไร
บุตรคนสุดท้องของเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสี่ของตระกูลหลินและได้วิ่งมารับขนมที่ย่าเถียนแบ่งให้ ย่าเถียนเห็นเช่นนั้นก็บอกเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ต้องขอบคุณอาต้านเอ๋อร์ของพวกเจ้าที่นำผลไม้ตากแห้งมาฝาก เอาไปแบ่งให้พี่ชายพี่สาวของเจ้าทานสิ
เด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็วิ่งออกไป จากนั้นไม่นานบรรดาบุตรของเถียนฟู่กุยก็เข้ามาในห้องเล็ก ๆ นี้จนเต็มพื้นที่ บุตรชายคนโตอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเว่ยเว่ย เขามองหญิงสาวที่ท่านย่าเอาแต่เรียกใส่พวกเขาว่า ‘ท่านอา’ ไม่ขาดปาก ‘เหตุใดท่านอาถึงได้อายุห่างกับท่านพ่อมากเพียงนี้ ? หรือว่าท่านย่ามีบุตรอีกคนตอนแก่ ? ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านอาหายตัวไปนานเพียงนั้น แต่ท่านย่ายังจำได้ไม่เคยลืม ! ’
ช่วงเที่ยงวัน เดิมทีหลินเว่ยเว่ยไม่อยากอยู่ทานข้าวที่บ้านตระกูลเถียน ทว่าย่าเถียนและปู่เถียนใจดีต่อนางเหลือเกิน พวกเขายืนกรานจะให้นางและบัณฑิตหนุ่มอยู่ทานข้าวด้วยกันให้ได้
ในระหว่างทานข้าวกันอยู่นั้น ย่าเถียนก็เอาแต่คีบเนื้อให้บัณฑิตหนุ่มไม่หยุด ทานให้มากหน่อย เจ้าเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ เจ้าควรมีเนื้อมีหนังและร่างกายกำยำให้มากกว่านี้จึงจะหาเงินเลี้ยงดูภรรยาได้ บ้านเจ้ามีที่ดินกี่หมู่ ? มีพี่น้องหรือไม่ ? แยกบ้านกันหรือยัง ?
เจียงโม่หานมองเนื้อที่อยู่ในจานของตนอย่างละเหี่ยใจเพราะสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเถียนทำอาหารรสชาติไม่ต่างจากมารดาของตนเลยสักนิด ต่อให้เป็นวัตถุดิบชั้นดีมากเพียงใด ทว่าเมื่อมาอยู่ในมือของมารดาก็ไร้ราคา ให้เขามาทานเนื้อที่ทั้งมันเยิ้ม หนาเตอะและไร้รสชาติแบบนี้ เขากลืนไม่ลงจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคำที่ย่าเถียนใช้เรียกเขาว่า ‘ลูกเขย’ ก็ทำเอาเขาเกือบสวนกลับว่า ใคร…เป็นลูกเขยของท่าน ? ข้าไปเป็นลูกเขยของท่านตั้งแต่เมื่อไร ?
หลินเว่ยเว่ยพยายามกลั้นหัวเราะแล้วหันไปบอกย่าเถียนว่า เขาเป็นผู้มีการศึกษา บัดนี้ก็เรียนอยู่ในสำนักศึกษาของเขตเรานี่เอง ตอนนี้เขาเป็นบัณฑิตถงเซิงแล้ว หากสอบเลื่อนขั้นครั้งหน้าได้ เขาก็จะกลายเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ !
ไอหยา ต้านเอ๋อร์ของแม่ช่างโชคดีเหลือเกิน เจ้าแต่งงานกับบุรุษที่มีความรู้ความสามารถนี่เอง ! ดี ดี ดีมาก ! ย่าเถียนเพ่งมองบัณฑิตหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้ง
เจียงโม่หานตีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ‘ข้ากลายเป็นสามีของเด็กอ้วนในตอนที่ไม่รู้ตัวเช่นนั้นหรือ ? พวกเจ้าพูดเองเออเองกันเช่นนี้ได้หรือ ? เคยถามความเห็นข้าหรือไม่ ? ’
หลังเดินออกมาจากบ้านตระกูลเถียนแล้ว เจียงโม่หานก็เอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า เหตุใดข้าจึงกลายเป็นลูกเขยของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ?
หลินเว่ยเว่ยรีบชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ย่าเถียนเลอะเลือนมิใช่หรือ ? ข้าเองก็ไม่ใช่บุตรสาวของนางเสียหน่อย คิดเสียว่าเป็นการทำดีต่อเพื่อนร่วมโลกแล้วกัน จะได้ช่วยปลอบใจทำให้คนแก่มีความสุข ! ไปกันเถิด เราไปดูแผงขายเนื้อดีกว่า เย็นนี้ข้าจะทำของอร่อยให้ทาน จะได้ปลอบโยนจิตวิญญาณที่เจ็บปวดของเจ้าด้วย ดีหรือไม่ ?
เจียงโม่หานยังคงแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่เท้ากลับเดินตามนางไปที่แผงขายเนื้อหมูอย่างว่าง่ายโดยไม่กล่าวอันใดสักคำและไม่แสดงความโมโหออกมาเลย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ใช่เพราะเนื้อ แต่เพราะการทำดีต่อเพื่อนร่วมโลกต่างหาก
น่าขันสิ้นดี ขุนนางอาวุโสผู้แสนเลือดเย็นที่เป็นรองเพียงองค์ฮ่องเต้ จะมาทำดีต่อเพื่อนร่วมโลกได้อย่างไร ?
บัดนี้เนื้อหมูไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงหัวหมูและกระดูกซี่โครงเท่านั้น หลินเว่ยเว่ยคิดว่าหัวหมูทำความสะอาดยากทั้งยังจัดการยากอีกด้วย ส่วนกระดูกซี่โครงก็มีกระดูกเยอะเนื้อน้อย คนทั่วไปไม่ชอบซื้อ ดังนั้นราคาจึงถูกกว่าเนื้อหมูมาก
เจียงโม่หานเห็นว่านางยัดหัวหมูลงตะกร้าก็ทำสีหน้ารังเกียจแล้วกล่าวว่า ไม่ได้มีพิธีบวงสรวงอันใดเสียหน่อย เหตุใดเจ้าต้องซื้อหัวหมู ?
เอามาทานไงเล่า ! เจ้าไม่รู้เสียแล้วว่าเมนูหัวหมูตุ๋นทั้งหอมทั้งอร่อย ด้วยความที่เป็นเนื้อแทรกมันจึงทำให้มีรสชาตินุ่มละมุนลิ้น ไม่เลี่ยนไม่มันจนเกินไป ทานได้ไม่มีเบื่อเลย ! หลินเว่ยเว่ยบรรยายเสียจนเริ่มหิวเองแล้ว ! ดังนั้นในมื้อเย็นนี้นางจะทำหัวหมูตุ๋น !
หัวหมูดูน่ารังเกียจเสียจนเจียงโม่หานไม่อยากมองมันอีกครั้ง เขาสาบานในใจว่าไม่มีทางลิ้มรสมันเด็ดขาด แม้ว่าเด็กอ้วนจะกล่าวอย่างไรก็ตาม
เจ้าจะไปที่ใด ? เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยไม่ได้ตรงไปยังถนนที่จะออกนอกเมือง เจียงโม่หานจึงถามด้วยความสงสัย
หลินเว่ยเว่ยไปซื้อกระดาษน้ำมันมาปิดบนกระบุงไม้ไผ่ซึ่งในความเป็นจริงนางอาศัยการปกปิดจากกระดาษน้ำมันเพื่อแอบเอาหัวหมูและกระดูกซี่โครงเข้าไปเก็บในมิติน้ำพุวิญญาณ ช่วงนี้อากาศร้อนมากหากเก็บช้ากว่านี้สักสองชั่วยามก็มีหวังว่าหัวหมูได้ส่งกลิ่นเหม็นหืนออกมาแน่
เจ้าเทาที่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในมิติน้ำพุวิญญาณได้จ้องหัวหมูและกระดูกซี่โครงซึ่งปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน จากนั้นมันก็เดินไปดมตามปกติ ทว่าเมื่อได้กลิ่นหัวหมูแล้ว มันก็เดินออกห่างอย่างรังเกียจ
หลินเว่ยเว่ยมองบัณฑิตหนุ่มด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มจนดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ไปซื้อวัตถุดิบมาทำหัวหมูตุ๋นไงเล่า ! เจ้าปากคอเราะรายถึงเพียงนี้ หากข้าไม่งัดฝีมือออกมา ข้าจะขุนเจ้าให้อ้วนพีได้อย่างไร…
เจียงโม่หานหน้าดำเป็นก้นหม้อทันที อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังหลอกด่าข้าอยู่ !
พูดออกมาได้อย่างไรว่าจะขุนข้าให้อ้วนพี คิดว่าข้าเป็นหมูหรือไร ?
ไอหยา เจ้าฉลาดเหลือเกิน ! แม้ข้าจะพูดเช่นนี้ เจ้าก็ยังแปลออก ! หลินเว่ยเว่ยทำทีเป็นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
นางเด็กอ้วนคนนี้ ! คิดว่าขุนนางผู้มีอำนาจสูงสุดเยี่ยงข้าไม่กล้าทำอันใดเจ้าหรือ ?
บัณฑิตน้อย เร่งฝีเท้าหน่อยสิ ! ประเดี๋ยวก็ตามเกวียนไม่ทันเอาหรอก หากพวกเราต้องเดินกลับหมู่บ้าน ตัวข้าไม่เป็นไรหรอก ห่วงก็แต่เจ้า… หลินเว่ยเว่ยทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าที่มืดมนของอีกฝ่าย จากนั้นก็กวักมือเรียกเขาราวกับเรียกแมวน้อย
ตอนต่อไป