ตอนที่ 69 ข้างามขึ้นใช่หรือไม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

เจียงโม่หานเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ ตอนนี้อารมณ์ของเขาขึ้น ๆ ลง ๆ ใจหนึ่งคิดอยากตีนาง แต่ก็รู้ดีว่าคงเอาชนะไม่ได้ ส่วนอีกใจหนึ่งก็อยากด่า…ทว่าเขาเป็นบุรุษ หากต้องให้มาด่าทอสตรีกลางถนนก็ทำไม่ได้จริง ๆ สุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้เพียงกระฟัดกระเฟียดราวกับนกยูงจอมหยิ่งที่ยืดอกเดินเชิดหน้าไปกับหลินเว่ยเว่ย

ทางนี้ บัณฑิตน้อย เจ้าเดินเลยไปแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยเกือบหลุดหัวเราะออกมา

เจียงโม่หานเงยหน้ามองก็พบว่าเด็กอ้วนไปอยู่ตรงหน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งจึงถามด้วยความสงสัยว่า เจ้า…เจ้าเพิ่งซื้อยาให้มารดาไปไม่ใช่หรือ ? ผู้ใดป่วยอีก ? เจ้าไม่สบายหรือไร ?

หลินเว่ยเว่ยยิ้มให้เขาแล้วหันไปบอกเถ้าแก่ว่า ข้าเอาโป๊ยกั๊ก 6 เหลียง1, พริกหม่าล่า 2 เหลียง, โร่วโต้วโค่ว2 2 เหลียง, ใบกระวาน 1 เหลียง, เปลือกส้มหนึ่งเหลียงครึ่งและเสี่ยวหุยเซียง3หนึ่งเหลียงครึ่ง บดมาให้ข้าเลย !

ท่านหมอซึ่งประจำการอยู่ที่ร้านขายยาสมุนไพรแห่งนี้ได้หันมามองแล้วถามว่า เด็กน้อย ผู้ใดเขียนใบสั่งยานี้ให้เจ้า ? มันใช้รักษาโรคอันใดหรือ ?

หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ใบสั่งยานี้ไม่ได้ใช้สำหรับรักษาอาการป่วย…แต่มันคือสูตรที่นำมาใช้สำหรับแช่เท้าเพื่อรักษาสุขภาพ ใช่ ! มันใช้สำหรับบำรุงร่างกาย !

ท่านหมอได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าคงเป็นสูตรยาเฉพาะของตระกูลจึงไม่อยากละลาบละล้วง ทว่าเขาก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่ภายในใจ เอาไปแช่เท้า ? แล้วต้องบดให้ละเอียดด้วยหรือ ? ที่จริงเอาส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปก็ได้แล้วมิใช่หรือ ?

หลินเว่ยเว่ยยังให้เถ้าแก่ห่อโป๊ยกั๊ก พริกหม่าล่า เปลือกส้มและใบกระวานด้วยผ้าขาวบางซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าจะนำไปแช่เท้าจริง

เนื่องจากใช้เวลานานพอสมควรในการบด ‘สมุนไพร’ เหล่านี้ เจียงโม่หานจึงตั้งใจจะไปเดินดูในร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม เดิมทีหลินเว่ยเว่ยอยากเดินไปพร้อมเขา แต่หางตาของนางชําเลืองเห็นคนเมาที่เดินออกมาจากหอสุราฝั่งตรงข้าม นางจึงตามคนเมาคนนั้นไปอย่างเงียบ ๆ

คุณชาย เดินระวังด้วยขอรับ… บ่าวของอู๋ปัวเห็นว่าเจ้านายเดินเซไปเซมาราวกับงูเลื้อยจึงยื่นมือไปประคองอย่างไม่ไว้ใจ

อู๋ปัวออกแรงสะบัดแขนเสื้อทำให้บ่าวเกือบล้มลงไป ไปให้พ้น ! ข้าจะไปหาเสี่ยวเจียวเจียว อย่ามาขวางหูขวางตาข้า !

จากนั้นเขาก็โยนเศษเงินให้บ่าวของตน เจ้าจะไปที่ใดก็ไป ! อย่ามาทำลายเรื่องดีงามของข้า ไป !

อู๋ปัวชำเลืองมองไปยังสาวน้อยอายุ 13 ปี ณ ตรอกผิงอี เขาตั้งใจใช้โอกาสตอนเมาคว้าสาวน้อยคนนั้นมาเป็นของตนให้ได้ พอนึกถึงใบหน้าขาวใสละเอียดละออของนาง นึกถึงความขี้อายและน้ำเสียงอ่อนโยนของนาง เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีไฟร้อนสุมอยู่บริเวณท้องน้อยทันที

อู๋ปัวที่กำลังอารมณ์ร้อนเดินโซเซไปที่ตรอกลึกทางเหนือของเมือง เขาเดินผ่านตรอกเปลี่ยวและทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดลง จากนั้นก็เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นในร่างกาย เขาพยายามดิ้นรนแต่ถูกกดตัวไว้ที่พื้น เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะตอบโต้

ในตอนแรกเขายังสบถด่าออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง กระทั่งในตอนท้ายเขาพยายามอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างสุดชีวิต ทว่าคนที่ทำร้ายกลับไร้ท่าทีว่าจะยอมปล่อยเขาไป จวบจนฝ่ายนั้นกระทืบเขาจนหนำใจแล้วจึงใช้เท้าเตะขาของเขาและเดินจากไป

อู๋ปัวที่โดนกระทืบนอนอยู่ในตรอกมืดราวกับสุนัขใกล้ตาย กว่าเขาจะอดกลั้นต่อความเจ็บปวดแล้วเอากระสอบออกจากศีรษะได้ คนร้ายก็หายไปจากตรอกนานแล้ว

อู๋ปัวไม่เพียงขาหักเท่านั้น ทว่ากระดูกซี่โครงตรงช่วงอกยังหักไปอีกสองซี่ ส่วนฟันก็หลุดไปสองซี่แถมใบหน้าก็บวมช้ำเป็นสีม่วงอมเขียวราวกับหัวหมู เนื่องจากตรอกที่เขาโดนทำร้ายอยู่ห่างไกลจากที่ชาวบ้านสัญจรจึงทำให้เขาได้แต่นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้นเป็นเวลานานสองนาน ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดผ่านมา สุดท้ายเขาจึงต้องคลานกระเสือกกระสนออกจากตรอก จนกระทั่งมีชาวบ้านมาพบถึงได้นำตัวเขาส่งโรงหมอ

เจียงโม่หานทราบข่าวที่อู๋ปัวถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นในตอนที่ทั้งคู่เดินออกจากในเมืองแล้วเขาก็มองไปยังหลินเว่ยเว่ย ช่วงที่เขาออกมาจากร้านหนังสือ หญิงสาวคนนี้ไม่ได้อยู่ที่ร้านขายยาสมุนไพร นางหายไปพักหนึ่งจึงกลับมา หรือว่า…

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองหน้าเขาเช่นกัน นางลูบใบหน้าของตนแล้วกล่าวอย่างหลงตัวเองว่า บัณฑิตน้อย ข้างามขึ้นใช่หรือไม่ ? งามเสียจนเจ้าไม่อาจละสายตาได้เชียวหรือ ?

เจียงโม่หานจึงทำหน้าถมึงทึงทันที ‘เด็กอ้วนคนนี้ช่างหน้าหนาไม่มีผู้ใดเกิน’

กระนั้นเขาก็ยังพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของนาง แม้รูปหน้ายังกลมมนเหมือนเดิม ทว่าดูซูบลงเล็กน้อย ดวงตาของนางเวลายิ้มช่างละม้ายคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ดูร่าเริงยิ่งนัก

ผิวของนางก็ขาวละเอียดไม่หยาบกร้านทั้งที่วิ่งขึ้นลงภูเขาทุกวัน จมูกเล็ก ๆ ของนางเชิดขึ้นเหมือนคนหัวรั้น จะว่าไปแล้วนางก็มีเค้าความงามอยู่เหมือนกัน แต่ยังห่างไกลจากความงามระดับล่มเมือง !

เจ้าเป็นคนลงมือหรือไม่ ? เจียงโม่หานถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ว่าอย่างไรนะ ? หลินเว่ยเว่ยหันไปหาเขาทันที เจ้าหมายถึงเรื่องที่อู๋ปัวโดนทำร้ายใช่หรือไม่ ? เจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ ? เหยื่อก็บอกแล้วว่าคนที่ทำร้ายร่างกายมีรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรงและทรงพลัง สามารถใช้มือเดียวกดเขาลงกับพื้นได้ ต้องเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูง 7 ฉื่อแน่นอน เจ้าดูข้าสิ ข้าผอมบางเช่นนี้ จะไปสู้เขาได้เช่นไร ?

รูปร่างผอมบางหรือ ? เจียงโม่หานถึงกับกลอกตามอง เจ้าเพ้อฝันไปแล้ว ! แม้ว่าเจ้าจะผอมลงกว่าแต่ก่อน ทว่ายังห่างไกลจากคำว่า ‘ผอมบาง’ แล้วอีกอย่างพละกำลังของเจ้าสามารถแบกหมูป่าได้ทั้งตัว ลำพังแค่บุรุษอายุน้อยมีหรือเจ้าจะจัดการไม่ได้ ?

ช่างเถิด ในเมื่อนางไม่อยากยอมรับก็ช่วยไม่ได้ เด็กอ้วนคนนี้ไม่มีความแค้นส่วนตัวต่ออู๋ปัวและการที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อออกโรงแทนเขา เจียงโม่หานจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเขารู้สึกหงุดหงิดต่อตนเองเป็นอย่างมาก ‘ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสูงสุดผู้เกรียงไกร…ทว่าต้องให้สาวน้อยคนหนึ่งมาออกหน้าปกป้อง’

เขาในตอนนี้ไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งข้ารับใช้ ‘เฮ้อ ! ช่างเป็นบัณฑิตที่ไร้ประโยชน์เสียจริง ! ’

กว่าที่ทั้งสองจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว หลังจากได้ยินเสียงของทั้งสอง นางเฝิงและนางหวงที่กำลังล้างผลชิงป่าอยู่ในครัวก็เดินออกมาพร้อมมองไปที่หลินเว่ยเว่ยด้วยสายตารอคอย เป็นเช่นไรบ้าง ? ราบรื่นดีหรือไม่ ?

ราบรื่นดี! ผลชิงอบแห้งที่น้าเฝิงทำเป็นของคุณภาพดีมากเพียงนั้น คนรับซื้อจึงให้ราคาตั้งชั่งละ 300 อีแปะ ! ลำพังแค่ที่เอาไปขายวันนี้ก็ได้ราคามากถึง 7 ตำลึงแล้ว ! เมื่อหักต้นทุนแล้วก็ยังเหลือเงินตั้ง 6 ตำลึง ! หลินเว่ยเว่ยร่ายให้ฟังอย่างมีความสุข

นางเฝิงรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกเพราะหลายวันมานี้พวกนางทำผลชิงอบแห้งไว้เยอะมาก เกือบร้อยชั่งได้และวันนี้ทั้งวันนางก็เอาแต่เป็นกังวลว่าจะขายไม่ออก ทำให้ถึงขั้นทานข้าวไม่ลงและนอนไม่หลับ แต่เมื่อได้ยินว่าขายหมดแล้วอีกทั้งยังขายได้ราคาดีอีกด้วย นางจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เวลานี้เจ้าหนูน้อยเดินออกมาจากหลังบ้าน เขากระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจพลางกล่าวว่า พี่รอง ต้าไป๋คลอดลูกกระต่ายแล้ว ! บนตัวของลูกกระต่ายไม่มีขนสักเส้น ตัวพวกมันแดงมาก เหมือนลูกหนูเลย…

หลินเว่ยเว่ยวางกระบุงไม้ไผ่ลงแล้วเดินตามเจ้าหนูน้อยไปที่คอกกระต่าย เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงด้วย แม่กระต่ายที่เจ้าหนูน้อยตั้งชื่อว่าต้าไป๋กำลังนอนให้นมลูกกระต่ายตัวแดง ๆ หลายตัวอยู่ เมื่อหลินเว่ยเว่ยนับอย่างละเอียดก็พบว่ามีมากถึง 8 ตัว !

ในคอกกระต่ายนี้เดิมทีมีลูกกระต่ายอยู่หลายตัว และด้วยความเอาใจใส่จากเจ้าหนูน้อยจึงทำให้ตอนนี้พวกมันมีน้ำหนักเกือบ 1 ชั่งแล้ว เดิมทีพวกมันวิ่งเล่นกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทว่าเมื่อพวกมันเห็นเจ้าหนูน้อยเดินเข้ามาก็พากันกระโดดกรูมาทางเขา ในตอนนั้นได้มีลูกกระต่ายแสนซนตัวหนึ่งกระโดดมาบนเท้าของเจ้าหนูน้อยแล้วแทะขากางเกงของเขา

เจ้าหนูน้อยอุ้มกระต่ายแสนซนตัวนั้นขึ้นมาแล้วค่อย ๆ เปิดคอกกระต่ายและยัดหญ้าสดหนึ่งกำมือให้แม่กระต่าย แม่กระต่ายเห็นเช่นนั้นก็แทะกินหญ้าอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้มันคุ้นเคยกับมนุษย์ทั้งสองที่คอยเฝ้าดูมันและลูกแล้ว

1 เหลียง คือหน่วยวัดน้ำหนักในยุคโบราณ โดย 1 เหลี่ยงมีค่าประมาณ 50 กรัม

2 โร่วโต้วโค่ว คือ ลูกจันทร์เทศ

3 เสี่ยวหุยเซียง คือ ผลยี่หร่า

ตอนต่อไป