บทที่ 104 มีแขกมาเยี่ยม
“คุณหนูหก มีแขกมาขอรับ”
ชิงอวี่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ยามหน้าประตูก็เดินมารายงานนางเสียงเบาในพลัน
“แขกของข้าหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว นางไม่ได้มีเพื่อนสนิทอยู่ในเมืองหลวงเลยนี่…..
ในโถงรับแขกขณะนั้น เยี่ยนซู่กำลังพูดคุยอยู่กับหญิงสาวร่างบางทั้งยังสูงมากผู้หนึ่ง นางอยู่ในชุดสีเขียวอ่อน หน้าตางดงาม นัยน์ตาแจ่มใสดูฉลาดเฉลียวยิ่ง บรรยากาศรอบตัวนางสูงส่ง ทำให้คนมักมองข้ามหน้าตานางไป แต่กลับถูกกลิ่นอายสูงส่งอันเป็นเอกลักษณ์ดึงดูดแทน
“ไหลไหล!” ชิงอวี่ตาเป็นประกาย ร้องเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงยินดี
มู่ไหลได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปหลายก้าว ทันใดนั้นก็พบว่าตนถูกเด็กสาวที่กำลังเดินเข้ามาสวมกอดเข้า ใบหน้าเย็นชาพลันเผยสีแดงจาง ๆ จากนั้นนางจึงกอดตอบ
เยี่ยนซู่ไม่ค่อยเห็นเด็กสาวมีท่าทียินดีเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ชะงักไป
“ชิงอวี่รู้จักกับคุณหนูมู่หรือ?”
ยามบ่าวเข้ามาบอกว่าคุณหนูมู่มายวนจวน เดิมทีเขาก็ค่อนข้างสับสน ในเมืองหลวงมีแซ่มู่อยู่เพียงตระกูลเดียว อีกทั้งยังเป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าพวกนั้นคงไม่มาเยือนจวนอ๋องโดยไม่มีการบอกกล่าวกันล่วงหน้าอย่างกะทันหันเช่นนี้
แต่บ่าวผู้นั้นกลับรายงานว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลมู่ที่เป็นตระกูลนักปรุงยาอันโด่งดังในแดนนี้ต่างหาก
แม้ตระกูลมู่ผู้นี้จะเก็บตัวอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ชายแดนติดแคว้นข้างเคียง หากแต่ชื่อเสียงในฐานะตระกูลนักปรุงยาฝีมือดีกลับร่ำลือไปไกล โดยเฉพาะคุณหนูตระกูลมู่ที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง แต่กลับเชี่ยวชาญทั้งด้านการแพทย์และวิทยายุทธ์ เป็นเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในตระกูลมู่รุ่นปัจจุบัน
แต่อย่างไรนางก็ยังคงเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เพิ่งมีอายุได้สิบแปดปี หากแต่กลิ่นอายมั่นคงกล้าหาญที่แผ่ออกจากกายนางกลับทำให้ผู้อื่นลืมเลือนเรื่องอายุนางไปจนสิ้น
ชิงอวี่กุมมืออีกฝ่ายแล้วหันไปยิ้มมองเยี่ยนซู่ “ท่านพ่อ นางเป็นสหายสนิทข้า ข้าจะดูแลนางเอง หากท่านไม่ว่างท่านก็ไปทำงานของท่านเถอะ!”
เห็นดังนั้นเยี่ยนซู่จึงพยักหน้า “เอาล่ะ พวกเจ้าเป็นสตรีคงจะคุยกันง่ายกว่า เจ้าดูแลคุณหนูมู่ให้ดีๆ เล่า”
พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้มู่ไหล จากนั้นก็เดินออกไป
มู่ไหลมองตามเงาร่างเยี่ยนซู่ที่เดินออกไปแล้วเก็บสายตากลับมา “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้า….. ดูท่าจะไม่สนิทสนมกันเท่าไร?”
แม้ตัวมู่ไหลเองจะไม่ได้สนิทสนมกับท่านพ่อของตนมากเท่าใด แต่อย่างน้อยท่านพ่อก็เมตตานาง และนางก็เป็นลูกที่กตัญญูต่อบิดาเช่นกัน
แต่ท่าทีของชิงอวี่และเยี่ยนซู่เมื่อครู่ดูประหลาดไปสักเล็กน้อย หากมองเผิน ๆ จะไม่เห็นถึงความผิดปกติ แต่น้ำเสียงและท่าทางที่ห่างเหินของคนทั้งคู่ไม่อาจปิดมิด หรือก็คือ….. เป็นชิงอวี่ที่มีท่าทีไม่อบอุ่นสนิทสนมกับคนเป็นบิดาสักเท่าไรนัก
เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่อาจหลบสายตานางที่เป็นคนช่างสังเกตได้อยู่แล้ว
ชิงอวี่ขมวดคิ้ว หากแต่สีหน้าไม่ใส่ใจ “คงกล่าวไม่ได้ว่าดี แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงเพียงนั้น!”
ในเมื่อเป็นเรื่องในครอบครัวของผู้อื่น มู่ไหลจึงไม่ถามมาก
“ใช่แล้ว เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงมาหาข้าที่เมืองหลวงได้เล่า?” ชิงอวี่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้ามาที่นี่เพราะอยากเห็นสถานที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ก็เท่านั้น” มู่ไหลกล่าว นัยน์ตานางอ่อนโยนลง “เราช่วยผู้นำตำหนักนักฆ่าไว้ วันต่อมาพวกเขาส่งของมายังตระกูลมู่มากมาย คิดว่าพวกเขาคงหาเจ้าไม่พบจึงส่งของขวัญมาให้ข้าแทน ครั้งหน้าข้าจะให้คนนำมันมาให้เจ้า”
“หือ?” ชิงอวี่ชะงักไป ก่อนจะโบกมือ “อย่าเลย เจ้าเก็บไว้เถอะ ตระกูลเจ้าคนมาก ยาที่ใช้ในการบำเพ็ญต้องใช้สมุนไพรมีค่าหลากหลายชนิด อีกทั้งตอนนี้ราคาสมุนไพรในตลาดตอนนี้สูงมาก เก็บมันไว้กับเจ้าแล้วเอาไปปรุงยารักษาเถอะ ถือว่าเป็นโชคของผู้คนก็แล้วกัน”
ชื่อเสียงตระกูลมู่โด่งดังในด้านคุณธรรมมาโดยตลอด กระทั่งเปิดโรงหมอให้คนยากจนข้นแค้นแจกยาไม่คิดเงิน โรงหมอแห่งนี้เปิดมาได้ห้าหกปีแล้ว
ยามได้ยินคำชิงอวี่ ดวงตางามของมู่ไหลก็ทอประกาย “เจ้าต่างหากที่เป็นคนให้โชคเหล่านี้แก่ผู้คนแบบไม่เปิดเผยตน”
เด็กคนนี้รู้หรือไม่ว่าตำหนักนักฆ่าส่งของล้ำค่าอันใดมาบ้าง?
เป็นของที่มีค่ามากพอใช้ซื้อถนนที่มีการค้าคึกคักได้มากมายเลยเชียว! แต่นางกลับยกของเหล่านั้นให้ผู้อื่นหน้าตาเฉย
เมื่อครั้งที่นางสังหารอสูรวิญญาณระดับ 6 ในรังอสูร ชิงอวี่ก็มอบแก่นผลึกให้นาง แก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับ 6 นั้นหากนำไปประมูล อย่างน้อยก็ต้องได้ราคาหลายล้านตำลึงทอง
หากแต่นางกลับพูดเสียงสบายออกมาว่า “เจ้าต้องการมันมากกว่าข้า”
แน่นอนว่านางย่อมต้องการมัน นางพนันกับคนอื่น ๆ ในตระกูลไว้ว่าหากไม่สามารถนำแก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับ 6 กลับมาได้นางจะยอมทิ้งฐานะผู้นำน้อยประจำตระกูล
แล้วนางจะแพ้ได้อย่างไร? อย่างไรนางก็ห้ามแพ้เด็ดขาด
ดังนั้นแม้ต้องสู้จนหมดลมหายใจ นางก็ต้องสังหารอสูรวิญญาณตัวนั้นให้ได้ ตั้งแต่เกิดมานางหยิ่งในศักดิ์ศรี และไม่เคยโค้งให้ใครมาก่อนยกเว้นชิงอวี่
มู่ไหลพลันนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “เยี่ยนหนิงลั่วผู้นั้นดูเหมือนจะอยู่สำนักละอองหมอก อีกทั้งยังมีฐานะสูงส่งไม่น้อย หากเข้าสำนักแล้วเจ้าจะไม่สามารถออกมาได้อย่างน้อยก็สองหรือสามปี เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเจอหน้านางบ่อยครั้งเลยกระมัง?”
ตั้งแต่ที่นางรู้ตัวตนชิงอวี่ มู่ไหลก็เริ่มสืบเสาะเรื่องนางหลายเรื่อง นางรู้ว่าเยี่ยนหนิงลั่วไม่เคยชอบชิงอวี่ เมื่อเห็นว่าคนไม่ชอบหน้ากันต้องเจอกันบ่อยครั้งเข้า หากเยี่ยนหนิงลั่วนั่นทำให้ชิงอวี่ลำบากขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “เรื่องเช่นนั้นคงไม่เกิด นางเป็นศิษย์สายหลัก ข้าเป็นเพียงหนึ่งในศิษย์ธรรมดาสามัญ ฐานะแตกต่างกันมากเพียงนี้ย่อมได้เจอหน้ากันเพียงหลายเดือนครั้ง”
นางไม่ได้ไปที่นั่นเพราะอยากเรียนรู้สิ่งใดอยู่แล้ว เพียงแต่ร่างที่นางอาศัยอยู่ร่างนี้มีความลับอยู่มากเกินไป ดังนั้นนางจึงอยากออกไปหาคำตอบ เหตุผลที่นางเลือกสำนักละอองหมอกเป็นเพราะเหมือนจะมีเสียงเพรียกเรียกพำนักอยู่ที่เมืองหลวงสักพักหนึ่ง อย่างบอกให้นางไปที่นั่น
มู่ไหลฟังดูแล้วมีเหตุผล ดังนั้นจึงพยักหน้าก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าหากต้องการพวกเราสามารถออกมาเจอกันได้”
“อะไรกัน? เจ้ามีธุระในเมืองหลวงงั้นหรือ?”
แม้มู่ไหลจะบอกว่านางมาหาชิงอวี่ แต่ชิงอวี่เห็นท่าทางของนางก็รู้ได้ว่ามีเรื่อง แม้มู่ไหลจะปิดบังเป็นอย่างดี แต่นางก็ยังพอมองออก
“เกิดอะไรขึ้น?”
มู่ไหลได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวตนเบา ๆ “ไม่มีอะไร ข้าแค่ไม่เคยมาที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลานมาก่อน ดังนั้นจึงอยากมาชมวิวทิวทัศน์เสียหน่อย”
“เจ้าโกหก” ชิงอวี่เอ่ย มองหน้านางคิ้วขมวดเป็นปม “เจ้าเป็นผู้นำน้อยของตระกูลใหญ่ แต่ละวันมีเรื่องในตระกูลหลากหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีเวลามานั่งชมทิวทัศน์ได้อย่างไร? บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อชาติก่อน นางรู้ดีว่าเป็นหัวหน้าตระกูลต้องจัดการเรื่องน้อยใหญ่มากมายเพียงไหน เมื่อครั้งที่นางยังเป็นเพียงผู้สืบทอดนางก็รู้สึกกดดันจนเหลือจะพรรณนาแล้ว
อีกทั้งตระกูลมู่ยังมีตระกูลย่อยอีกมากมายที่คอยจับตาดูนางทุกฝีก้าว ก้าวพลาดเพียงนิด ฐานะผู้นำน้อยก็อาจถูกช่วงชิงไปได้ อีกทั้งนางยังต้องต่อสู้กับความเชื่อที่ผู้นำน้อยมักเป็นบุรุษ มีอุปสรรคมากมายให้นางต้องเผชิญ เบื้องหน้าทุกคนอาจดูให้ความเคารพนาง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังคนเหล่านั้นมีความคิดชั่วร้ายอันใดแฝงอยู่บ้าง
เรื่องสกปรกน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในตระกูลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับชิงอวี่เลย
เห็นมู่ไหลเป็นเช่นนั้น ชิงอวี่ก็คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีเจือจาง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ากังวล ใจมู่ไหลก็ดิ่งลงเล็กน้อย นางยกถ้วยชามาดื่มจนหมด คล้ายกับต้องการบนนเทาอารมณ์พลุ่งพล่านที่นั่งเก็บไว้ภายในมาหลายวัน “ท่านพ่อของข้า….. อาจจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกไม่นานแล้ว”
น้ำเสียงนางสงบนิ่ง นิ่งจนไม่อาจจับสัมผัสความรู้สึกใดได้
หากแต่คำพูดประโยคนั้นกลับทำให้ชิงอวี่ตกใจยิ่งนัก เป็นไปได้อย่างไร…..
ผู้นำตระกูลมู่ มู่ชิงเทียน อายุเพียง 40 กว่าปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นมิตรและมีเมตตามาก ทั้งยังเป็นนักปรุงยาขั้นทองคำที่ได้รับความเคารพสูง เหตุใดเขาพลันมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นได้?
ชิงอวี่ไม่อยากคาดเดาว่าสถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนั้น แต่เมื่อนางหันไปมองเด็กสาวที่มักมีท่าทีเย่อหยิ่งมั่นคงมีสีหน้าสิ้นหวัง นางก็อดเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นฝีมือคนของเจ้าเองงั้นหรือ?”
ดวงตามู่ไหลเฉียบคม นิ้วเรียวกำแน่นจนเกิดเสียง จากนั้นนางก็เผยอริมฝีปากเอ่ยเสียงเบา “หากตอนนั้นท่านพ่อไม่ใจอ่อนก็คงไม่ต้องพบกับหายนะเช่นตอนนี้ เขาถูกซุ่มโจมตีตอนกำลังจะทะลวงผ่านขั้นพลังจึงถูกพลังตีกลับ ไม่เพียงแก่นพลังเสียหายหนัก แต่พลังบำเพ็ญตกจากขั้นทองคำชั้น 3 ไปเป็น ขั้นเงินชั้น 8 ภายในเวลาไม่กี่วันลดลงไปถึง 5 ชั้น ผมครึ่งศีรษะท่านพ่อกลายเป็นสีขาว”
หากนักปรุงยาบำเพ็ญผิดพลาดจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาสามารถใช้วิชาเพื่อคงร่างให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ทำให้ตนดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง แต่หากแก่พลังชีวิตได้รับบาดเจ็บ ขั้นพลังก็จะลดลงเรื่อย ๆ ทำให้แก่เร็วขึ้น อีกทั้งร่างกายยังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อขั้นพลังลดจนถึงขั้นสุดก็จะจบชีวิตลง
ชิงอวี่ได้ยินคำนางแล้วในใจก็สั่นไหว ไม่คิดว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่นางเดินทางไปฝึกตนที่หุบเขาพญายมได้
“ไหลไหล หากมีเรื่องใดให้ข้าช่วยจะบอกจ้า” ชิงอวี่กุมมือมู่ไหลไว้แล้วเอ่ยสีหน้าจริงจัง
ที่นางเดินทางไกลมาถึงเมืองหลวง อาจเพราะต้องการให้ชิงอวี่ช่วยปลอบประโลมจิตใจก็เป็นได้ อย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับบิดาตนเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องนำตระกูลใหญ่ที่มีแต่หมาป่าหิวกระหายอำนาจคอยจ้องมองทุกย่างก้าว ความกดดันที่นางรู้สึกคงมากเกินบรรยาย
นางเผชิญกับสถานการณ์เคร่งเครียดเช่นนี้ ถูกความกดดันมากมายถาโถม แต่นางยังคงยืนหยัดอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่านางแข็งแกร่งเพียงไหน
ในอดีต นางทำได้เพียงซุกซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในใจ หากแต่ตอนนี้นางมีเพื่อนที่สามารถปรับทุกข์ได้ ไม่จำเป็นต้องฝืนกล้ำกลืนเรื่องพวกนั้นไว้ภายในจนแทบหายใจไม่ออกอีกต่อไป
“ชิงอวี่ ข้าอยากช่วยท่านพ่อ” มู่ไหลหลุบตาลงต่ำแล้วเอ่ยเสียงเบา “แต่พอเขารู้ถึงวิธีที่ช่วยเขาได้ เขาก็บอกว่าเขาขอตายดีกว่าช่วยเขาด้วยวิธีนั้น ข้าทะเลาะกับเขาเสียยกใหญ่”
ชิงอวี่มีสีหน้าลังเลแวบหนึ่ง เช่นนี้วิธีที่มู่ไหลคิดใช้ช่วยชีวิตท่านพ่อของนางคงไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไรกระมัง ไม่เช่นนั้นผู้นำตระกูลมู่คงไม่คัดค้านหนักเช่นนี้
“ข้าค้นเจอจากหนังสือในห้องตำรา อาการของท่านพ่อคืออาการของพลังบำเพ็ญแตกซ่าน จำต้องใช้แก่นวิญญาณของญาติสนิทที่สุดมาป้อนให้วิญญาณน้อยที่สามารถกักเก็บพลังบำเพ็ญได้ จากนั้นรอเวลาสี่สิบเก้าวันให้นำแก่นพลังนั้นออกจากวิญญาณน้อย แล้วให้ท่านพ่อดูดซับพลังเหล่านั้นเข้าไปเพื่อรักษาอาการ…..”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!?” ชิงอวี่ไม่ปล่อยให้นางพูดจนจบประโยคก็เอ่ยขึ้นเสียงแข็ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิธีนั้นชั่วร้ายมากขนาดไหน แล้วรู้หรือไม่ว่ามันเสียหายต่อพลังบำเพ็ญมากเท่าไร? หากเจ้าทำเช่นนั้น จะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อโดยมีวิญญาณเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เพียงส่งผลต่อการเป็นนักปรุงยาของเจ้า แต่เจ้าอาจจะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดให้พวกหมอผีได้!”
“แต่ข้าเห็นท่านพ่อตายไปเช่นนี้ไม่ได้” มู่ไหลกำหมัดแน่น “ตระกูลมู่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
“เช่นนั้นไม่มีเจ้าแล้วมันอยู่ได้หรือ?” ชิงอวี่ตวัดสายตามองนาง “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่”
มู่ไหลขมวดคิ้วแน่น “แต่…..”
“ไม่มีแต่ ในเมื่อเจ้ามาหาข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยเจ้าแก้ปัญหา” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ใครใช้ให้เจ้าอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนไร้สหายสนิทสักคนเล่า? หากข้าไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยเจ้า?”