บทที่ 90 หอบกลับบ้าน
ทุกคนในชุมชนการผลิตหงซินมีความเกลียดชังแบบเดียวกัน และไม่มีความประทับใจที่ดีกับตระกูลหวังเลย

แม้แต่ซูเถาฮวาก็ยังเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ พี่ตัดลงไปตรง ๆ เลย ขาข้างนั้นหนาอยู่นะ ฉันว่าถ้าใช้ขวานจามลงไปก็ไม่เห็นกระดูกแล้ว ทำไมพวกเราไม่ลองดูล่ะ? ไม่แน่ว่าเลือดมันอาจเป็นสีดำล้วนนะ”

“ได้เลย!” หวังเซียงฮวารีบพุ่งเข้าไปพร้อมกับขวาน

พอเห็นว่าไม่มีใครในชุมชนการผลิตหงซินเต็มใจที่จะช่วย ยายหวังก็หวาดกลัวขึ้นจริง ๆ เพราะตอนนี้ตนเองเสียเปรียบมาก แกม้วนไปสิบแปดตลบ ไม่รู้ว่าร่างกายอ้วน ๆ นี้ออกไปจากประตูบ้านซูได้อย่างไร แต่พอออกมาได้ก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที

พอวิ่งออกมา ยายหวังยังไม่วายด่าอีกรอบ แต่แล้วก็เห็นหวังเซียงฮวาพุ่งออกมาที่ประตูพร้อมกับขวานในมือ

“ไสหัวไปซะ!”

“รีบไสหัวไปเลยยายแก่สมควรตาย กลับไปเพ้อฝันอยู่คนเดียวเถอะ!”

“ไปให้พ้น อย่าให้เห็นแกที่ชุมชนของเราอีกล่ะ ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่!”

สมาชิกทุกคนมีความเกลียดชังเดียวกัน บางคนถึงกับขว้างก้อนหินก้อนดินใส่ร่างหญิงชรา

โดนทุบตีไม่กี่คราร่างกายของยายหวังก็เจ็บปวดรวดร้าวและไม่กล้าสร้างปัญหาอีก ยายหวังรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกหมู่บ้าน

ระหว่างทางยังทำรองเท้าหายหนึ่งข้างด้วย หากแต่ไม่มีเวลาไปหยิบกลับเพราะกลัวว่าจะถูกสะใภ้คนโตบ้านนั้นสับจนเป็นชิ้น ๆ

หวังเซียงฮวายืนอยู่ที่ประตูบ้านพร้อมขวานในมือ ค่อนข้างมีท่าทางอย่างคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายไม่อาจย่างผ่าน

“ทำร้ายน้องสามีแล้วยังกล้าถ่อมาถึงบ้าน เพราะปล่อยวางเรื่องการงานของน้องใหญ่ไม่ได้อีก ไม่อยากจะรู้เลยว่าแกมีสันดานแบบไหน! ถ้ากล้ากลับมาอีก ฉันจะสับแกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้หมากินเลยคอยดู!”

หวังเซียงฮวาสาปแช่งเสียงดังลั่น หากแต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ แต่ต่อให้ไม่ได้ยิน ครั้งนี้ยายหวังก็หนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว

เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงขอบคุณสมาชิกของชุมชนที่ช่วยพูด และขอบคุณหัวหน้าชุมชนด้วย

ซูฉางจิ่ว “สาเหตุเพราะเรื่องตำแหน่งพนักงานชั่วคราวของซูหม่านซิ่ว บ้านหวังนี่ไม่ยอมจบสินะ!”

ยายหวังเป็นพวกต่อรองยากมาโดยตลอด หล่อนคงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้จึงคิดอยากจะสร้างปัญหาขึ้น

หวังเซียงฮวากระตุกยิ้มเย็น “มาอีกสิ ขวานเก่าเล่มนี้กำลังรอแกอยู่เลย!”

อย่าให้พูดเลย เป็นไปตามคาด คนบ้านหวังไม่กล้ามาบ้านของตระกูลซูอีกครั้ง จึงทำให้คนบ้านนี้ยังได้มีช่วงเวลาที่เงียบสงบจริง ๆ บ้าง

บ้านตระกูลซูสงบสุข หากแต่บ้านอื่นไม่เป็นเช่นนั้น

ที่เป็นแบบนี้เพราะการมาถึงของคังอี้เยี่ย อาจกล่าวได้ว่าครึ่งชุมชนวุ่นวายกันไปหมดแล้ว

แต่เรื่องนี้ค่อยว่ากัน

เพราะหลังจากที่ยายหวังถูกทุบตี คุณย่าซูก็ทำแป้งทอดขาวล้วนในตอนเย็นเป็นพิเศษเพื่อตอบแทนลูกสะใภ้ทั้งสามที่ร่วมใจกันต่อกรกับศัตรูจากข้างนอก

ส่วนกระต่ายที่พวกซูเสี่ยวเถียนจับมาจากภูเขา ทำอย่างที่เหมือนกับก่อนหน้านี้คือ รอจนเที่ยงคืนแล้วค่อยทำอย่างลับ ๆ เพื่อเช้าวันที่สองจะได้กินกันได้

หลังมื้ออาหารเย็น ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังยุ่งเรื่องของตนเอง ซูเสี่ยวเถียนแอบดึงคุณย่าซูไปอีกห้องแล้วพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเจอบนเขา

พอคุณย่าซูได้ฟังพลันรู้สึกว่าหัวใจเต้นระส่ำ เสี่ยวเถียนหลานรักสามารถเห็นอะไรแปลก ๆ ได้สินะ?

“คุณย่าคะ กล่องนั้นที่หนูเห็นมันไม่ใช่กล่องธรรมดา” ซูเสี่ยวเถียนยังคงเน้นย้ำ

ถึงจะเห็นแค่มุมซึ่งไม่ใช่ตัวกล่องทั้งหมด แต่ซูเสี่ยวเถียนสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งธรรมดาอย่างแน่นอน

อย่าถามว่าทำไม แต่เธอรู้สึกแบบนี้

คุณย่าซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่นี่เคยมีเศรษฐีคนหนึ่ง ก่อนที่โจรจะขึ้นบ้าน เขาซ่อนเครื่องประดับเงินทองไว้บนภูเขา แต่ไม่มีใครเห็นมาหลายปีแล้ว”

เป็นไปได้ไหมว่ากล่องที่เสี่ยวเถียนเห็นเป็นของเศรษฐีคนนั้น?

ถ้าคนอื่นบอกเรื่องนี้กับเธอ คงคาดเดาแบบนี้ไม่ได้แน่ แต่ใครทำให้หลานสาวดันไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไปล่ะ

ไม่แน่ว่าอาจเป็นรางวัลจากราชามังกรก็ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ รางวัลของราชามังกรก็ยากจะรับมือเช่นกัน

เมื่อลองคิด ๆ ดูแล้ว คุณย่าซูดันรู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติเลย อาจจะโดนท่านกริ้วได้ จึงรีบประนมมือกล่าว “อมิตาพุทธ ฉันแค่พูดไปเฉย ๆ จ้ะ ราชามังกรอย่าลงโทษเลยนะ”

ซูเสี่ยวเถียนดูคุณย่าซูที่ทำมายากลก็งุนงง คุณย่าบูชาเทพเซียนสายไหนอยู่น่ะ?

แต่มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาว่ามีอะไรอยู่ในกล่องนั้นต่างหาก

“คุณย่า เรื่องจริงหรือคะ?”

“จริงสิ!”

“ทำไมหนูไม่เคยได้ยินเลยว่าที่นี่มีเศรษฐีอยู่ด้วย”

จะชาตินี้หรือชาติก่อนก็ไม่เคยได้ยินเลย

“เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้ว หลานจะได้ยินเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?”

“แล้วคนในบ้านเศรษฐีล่ะ? ถ้าสมบัติหายไปคนก็ยังอยู่ใช่ไหมคะ”

“หลังจากที่บ้านเศรษฐีถูกโจรโจมตี คนในครอบครัวก็ไม่อยู่แล้ว เฮ้อ ไอ้โจรสมควรตายพวกนั้น” คุณย่าซูพูดด้วยแรงอารมณ์ “ที่จริงครอบครัวเศรษฐีก็ไม่แย่หรอก เมื่อตอนที่ย่ายังเป็นเด็ก ทวดของหลานเคยไปช่วยพวกเขาทำงานด้วย ขากลับมายังเอาข้าวเอากับที่ยังมีอยู่มาเลย ไม่งั้นก็เลี้ยงพวกพี่น้องเป็นสิบคนไม่ได้หรอก”

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้กังวลมากนัก สิ่งที่เธอคิดได้ในตอนนี้คือ ถ้าหีบสมบัติบนภูเขาไม่มีเจ้าของจริง ๆ เธอจะต้องเอามันกลับบ้านมา

“คุณย่าคะ ตอนเย็นหนูกับพ่อจะขึ้นเขาไปเอากล่องนั้นกลับมานะคะ?” ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยความสนใจ

“ไม่ได้!” คุณย่าซูคัดค้านทันที

ล้อเล่นอะไรอยู่เนี่ย?

แค่ก้อนทองที่ฝั่งอยู่ในบ้านก็จัดการยากแล้ว แถมยังฝังลึกลงไปสามฉื่อ ถ้าเอากล่องสมบัติมาอีกคงนอนไม่หลับแน่

“คุณย่าคะ พวกเราก็แอบไปเอามาซ่อนไงคะ ไว้ผ่านไปอีกหลายปีค่อยเอาออกมาค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนยังเกลี้ยกล่อมคุณย่าซูต่อไป “คุณย่าลองคิดดูนะ อีกไม่กี่ปีพี่ใหญ่ก็ต้องแต่งสะใภ้เข้าบ้าน พี่รองก็ด้วย ยังมีพี่สาม พี่สี่ พี่ห้า…”

ซูเสี่ยวเถียนนับด้วยนิ้วจนเสร็จแล้วกล่าวต่อ “รอพวกเขาแต่งงาน บ้านเราก็จะอยู่ไม่ได้ ยังต้องสร้างบ้านเดี่ยวด้วย ไม่ต้องพูดถึงสร้างบ้านอิฐสีฟ้าหลังใหญ่เลยค่ะ แค่บ้านฟางก็ยังต้องใช้เงินไม่น้อยเลย”

คุณย่าซูได้ยินการคำนวณของหลานสาวพลันรู้สึกว่าทุนที่บ้านไม่พอจริง ๆ

แต่แกรู้สึกว่าสมบัติเหล่านั้นเป็นของเศรษฐีผู้นั้น ถ้าเอามาไว้ที่บ้านตัวเองคงรู้สึกผิด!

“คุณย่า ของพวกนั้นไม่มีเจ้าของแล้ว ผู้มีโชคชะตาก็จะได้ไป ไม่งั้นทำไมถึงให้หนูไปเจอล่ะคะ?” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวต่อ

ในที่สุดคุณย่าซูก็หวั่นไหวกับคำพูดของหลานสาว

อย่างไรก็ตาม หญิงชราบอกว่าไปตอนเย็นดีกว่าตอนกลางวัน

ขึ้นเขาไปตรง ๆ เลย ผู้อื่นพบเห็นก็จะน่าสงสัย แต่ถ้าไปตอนเย็นแล้วถูกพบเห็นคงจะแย่แน่

วันรุ่งขึ้น ภายใต้การจัดแจงของคุณย่า ซูเหล่าซานขึ้นเขาไปพร้อมกับเด็ก ๆ ที่บ้าน

ซูเหล่าซานไปตัดฟืน

คุณย่าซูบอกว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวมาก และที่บ้านมีฟืนไม่พอจึงต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า

พอถึงช่วงนี้ คนในชุมชนที่ขยันจะขึ้นเขาไปตัดฟืน

ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะพบเจอกันเป็นครั้งคราว

ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่ซูเหล่าซานลงจากภูเขา เขาทำตัวได้แนบเนียนมาก ไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นเต้นหรือกลัวกันแน่

ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือมีกล่องหนักอึ้งอยู่บนหลัง ซึ่งอาจเป็นทั้งชีวิตของครอบครัว ไม่สิ ไม่มีทางที่ทรัพย์สมบัติจะเก็บออมไปได้หลายชั่วอายุคนหรอก