ตอนที่ 53

The simple life of the emperor

เมื่อมาถึงบ้านเทียนหลางก็พบว่ามีรถหรูคนหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับคนที่สวมชุดสูทสีดำจำนวนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้าน เมื่อเทียนหลางและเฟิงหยวนกำลังจะเดินเข้าบ้านก็ถูกชายสองคนห้ามไว้

เทียนหลางมองด้วยควาไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น

”นายมีสิทธิอะไร ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”

เมื่อชายทั้งสองคนได้ยินก็มองหน้ากันก่อนจะถอยหลังและปล่อยให้เทียนหลางและเฟิงหยวนเข้าบ้าน เฟิงหยวนเห็นท่าทีทั้งสองคนนั้นก็ถามเทียนหลางออกมาด้วยความสงสัย

”คนรู้จักของนายมาหางั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหน้าก่อนพูดขึ้น

”ไม่รู้สิ อันที่จริงฉันก็จักแค่นักธุระกิจแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเองนะ”

เฟิงหยวนพยักหน้าพร้อมกับเดินตามเทียนหลางเข้าไปในบ้าน ในขณะที่เทียนหลางกำลังจะเปิดประตูนั้นประตูบ้านก็ถูกเปิดออกโดยคนอื่นเมื่อประตูถูกเปิดออกเทียนหลางก็พบชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเดินออกมา เขามองมาที่เทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นออกมาด้วยรอยยิ้ม

”โอ้ ~ นี่คงเป็นเทียนหลางสินะ โตมาหล่อเหลาไม่น้อยเลยนะเนี้ย”

เมื่อเทียนหลางได้ยินก็มองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะพูดขึ้น

”คุณเป็นใคร ?”

ชายคนนั้นก็ยิ้มก่อนจะตอบคำถาม

”ฉันชื่อ หานซื่อคง เป็นน้องชายแม่ของเธอหรือจะให้พูดก็คือฉันเป็นน้าของเธอ”

เทียนหลางแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะมีญาติคนอื่นด้วยเพราะตลอดมาพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องญาติพี่น้องเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนทำเอาเทียนหลางคิดว่าพ่อแม่ของเขานั้นไม่มีพี่น้องสะอีก

เทียนหลางสำรวจชายตรงหน้าอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น

”คุณมีธุระกับแม่ผมงั้นเหรอ ?”

”ใช่ แต่ตอนนี้ฉันคุยเสร็จแล้วถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้วละ”

เมื่อพูดจบเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถและออกไปพร้อมกับลูกน้อง ทำเอาเทียนหลางสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิดถึงมันและเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นว่าแม่และพ่อกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เทียนหลางกับเฟิงหยวนมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะเข้าไปถาม

”เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอแม่ ?”

แม่ของเทียนหลางเงยหน้าขึ้นก่อนจะบอกให้เขานั่งลง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

”แม่มีเรื่องที่จะต้องคุยกับลูก”

”ครับ”

เมื่อเฟิงหยวนเห็นบรรยากาศดูตึงเคลียดเธอเลยคิดว่าจะขอตัวออกไปก่อนเพราะนี่เป็นการพูดคุยกันของคนในครอบครัว แต่เมื่อเฟิงหยวนจะขอตัวออกไปด้านนอกก็ถูกพ่อห้ามเอาไว้

”ลูกไม่ต้องออกไปไหนหรอก ลูกเป็นคนในครอบครัวก็ควรจะรู้เรื่องเอาไว้จะได้ช่วยกันตัดสินใจ”

”เข้าใจแล้วค่ะ”

เฟิงหยวนนั่งลงอย่างเชื่อฟังก่อนจะฟังเรื่องราวอย่างเงียบ ๆ แม่ของเทียนหลางถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”ลูกคงเจอกับน้าของลูกแล้วใช่ไหม ?”

”ใช่ครับ ผมคิดว่าบ้านเราไม่มีญาติคนอื่นเสียอีก”

เทียนหลางตอบไปตามความคิดก่อนที่แม่ของเทียนหลางจะถอนหายใจอีกครั้งและเริ่มอธิบาย

”ที่แม่ไม่เคยเล่าถึงเรื่องญาติ ๆ ก็เพราะว่าแม่ถูกขับออกจากตระกูลนะดังนั้นแม่จึงคิดว่าเรื่องญาติพี่น้องจึงไม่ควรสนใจมันอีกต่อไป”

เมื่อเทียนหลางได้ยินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเพราะหากเป็นโลกของเขาการถูกขับออกจากตระกูลนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับโลกสมัยนี้ที่ดูก้าวหน้าไปไกลกลับยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกทำให้เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

”สมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอแม่ ?”

แม่ของเทียนหลางถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”อันที่จริงก็ไม่ควรจะมีหรอก แต่บังเอิญว่าตระกูลของแม่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงนั่นคือตระกูลหาน เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนแม่นั้นถูกคุณตาของลูกบังคับให้แต่งงานกับคนของตระกูลซื่อซึ่งนั่นเป็นการแต่งงานทางการเมือง”

แม่เงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ

”แต่คุณยายนั้นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานแบบนี้เพราะท่านนั้นถือเรื่องความสุขของแม่เป็นหลักจึงได้คัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่เพราะอำนาจของคุณยายและคุณตาของลูกนั้นเท่าเทียมใกล้เคียงกันจึงเกิดการแบ่งฝ่ายกันภายในตระกูลก็คือฝ่ายที่สนับสนุนคุณยาย กับฝ่ายที่สนับสนุนคุณตา”

”และยิ่งนานวันเข้าการขัดแย้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นมีคนถูกฆ่า และเมื่อมาถึงจุดนั้นแม่จึงได้ตระหนักว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีคนในตระกูลมากมายที่จะต้องเสียชีวิต แม่จึงออกจากตระกูลโดยมีคุณยายของลูกคอยช่วยเหลือ แม่ได้หนีมาที่เมืองจิงไห่และบังเอิญได้พบกับพ่อและได้แต่งงานกัน”

เมื่อเทียนหลางได้ยินเรื่องราวสั้น ๆ จากอดีตของแม่ก็รู้สึกตกใจไม่น้อยกับเรื่องนี้เพราะเขาไม่คิดว่าอดีตของแม่จะเป็นถึงคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง และเขาก็ไม่คิดว่าตระกูลของแม่จะยิ่งใหญ่อะไรเบอร์นั้น แต่มีส่วนหนึ่งที่เทียนหลางสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้จนต้องถามออกมา

”แล้วทำไมแม่ถึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลละครับ ?”

”หลังจากที่คุณตาของลูกนั้นรู้ว่าแม่แต่งงานกับพ่อเขาก็รับไม่ได้ที่แม่นั้นหนีออกมาตบแต่งกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เขาต้องการที่จะให้แม่กลับมาแต่งงานกับคนของตระกูลซื่อด้วยการบีบบังคับต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นเข้ามาก่อกวนธุระกิจของบ้านเรา หรือแม้แต่ส่งคนมาทำร้ายคนภายในบริษัท แต่เพราะอำนาจของคุณยายทำให้คุณตานั้นไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ และในเมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรได้เขาจึงได้ขับไล่แม่และคุณยายออกจากตระกูลหาน”

เทียนหลางได้ฟังก็พยักหน้าเบา ๆ ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดพ่อของเขาถึงถูกไล่ออกจากงานทั้งที่มีหน้ามีตาในบริษัทขนาดนั้น หรือว่าทำไมธุระกิจอื่น ๆ ก่อนหน้าของที่บ้านจึงรายได้ไม่ค่อยดีนักจนต้องล้มเลิกไปเขาไม่คิดว่าคนเป็นพ่อแท้ ๆ จะทำกับลูกของตัวเองได้ขนาดนี้จนทำให้ลูกตัวเองตกระกำลำบากขนาดนี้

เทียนหลางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากกว่าหลังจากที่ยายของตัวเองนั้นมีชีวิตการเป็นอยู่เช่นไรหลังจากที่โดนไล่ออกจากตระกูลหาน

”แล้วคุณยายละครับ ?”

”คุณยายของลูกนั้นหลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหานก็กลับไปที่ตระกูลฉวีของท่านและได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฉวีและใช้อำนาจของตระกูลคอยดูแลแม่มาตลอด”

เทียนหลางสรุปอย่างสั้น ๆ ว่าตระกูลหานของคุณยายนั้นคงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยถึงได้มีอำนาจถึงขนาดขัดแข้งขัดขาหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงอย่างตระกูลหานได้แบบนี้

เทียนหลางรู้สึกอยากขอบคุณยายของเขาอย่างมากที่คอยดูแลแม่มาตลอด เขาจึงคิดว่าจะไปเยี่ยมเยียนท่านและให้ของขวัญแก่ท่านสักเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ แต่ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดถึงเรื่องของคุณยายอยู่นั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่น้าของเขามาหาถึงที่นี้ได้จึงเอ่ยถามออกไป

”แล้วพวกนั้นมาทำอะไรที่นี้ละครับแม่ในเมื่อแม่ถูกขับออกจากตระกูลมาแล้ว ?”

เมื่อแม่ของเทียนหลางได้ยินก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”ดูเหมือนว่าวงจรนี้จะยังคงหมุนต่อไป และดูเหมือนว่าแม่จะลากลูกเข้ามาเกี่ยวด้วยนะสิ”

เทียนหลางรู้ได้ทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของแม่

”แม่จะบอกว่าคนจากตระกูลหานจะให้ผมแต่งงานเพื่อผลประโยชน์อย่างที่พวกเขาทำกับแม่งั้นเหรอ ?”

แม่ของเทียนหลางพยักหน้าเป็นการบอกว่าการคาดเดาของเทียนหลางนั้นถูกต้อง เทียนหลางเมื่อได้รับการยืนยันก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้นเพื่อให้แม่ของเขาหายกังวล

”แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาไม่ทางเอาผมไปแต่งงานกับคนอื่นได้หรอกเพราะผมมีเฟิงหยวนอยู่แล้ว”

เมื่อแม่ของเขาได้ยินก็ยิ้มก่อนจะคลายความกังวลลง

”นั่นสินะ แม่คงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นแต่ถึงอย่างงั้นลูกก็ต้องระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ โดยเฉพาะหนูเฟิงหยวนแม่รู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่มีใครทำอะไรหนูได้หรอก”

”ได้ยินแบบนั้นแม่ก็โล่งใจ”

เทียนหลางนั้นไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการโดนบังคับแต่งงานเลยแม้แต่น้อยเพราะในโลกนี้คงไม่มีใครที่จะสามารถมาบังคับเขาได้ และยิ่งในตอนนี้เขามีเฟิงหยวนอยู่ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ ที่ต้องห่วงคือฝ่ายตรงข้ามเสียมากกว่าหากพวกนั้นทำให้เฟิงหยวนโกรธเข้าแล้วละก็คงกลายเป็นการล่มสลายของตระกูลนั้นอย่างแน่นอน

ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเฟิงหยวนก็หยิกเขาจนทำให้ร้องออกมา

”โอ๊ย !! คุณหยิกผมทำไมกันเนี่ย ?”

”ที่ฉันหยิกคุณก็เพราะจะเตือนให้คุณไปทำอาหารนะสิ เร็วเข้านี่มันเย็นมากแล้วนะ”

”เข้าใจแล้ว”

เทียนหลางเดินคอตกเข้าไปในห้องครัวตอนนี้เขานั้นไม่สามารถขัดขืนเฟิงหยวนได้เลยแม้แต่น้อย ในใจลึก ๆ เขารู้สึกสงสารตัวเองจริง ๆ