ตอนที่ 54

The simple life of the emperor

ในขณะที่เทียนหลางกำลังทำข้าวเย็นอยู่นั้นโทรศัพของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเทียนหลางหยิบโทรศัพขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นหลี่ไห่ที่โทรมา เทียนหลางจึงรับอย่างรวดเร็ว

”ว่าไงครับปู่หลี่ ?”

”โอ้เทียนหลางงั้นเหรอ ?”

”ใช่ครับ การบ่มเพาะเป็นยังไงบ้างครับ ?”

เมื่อได้ยินคำถามหลี่ไห่ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

”มันสุดยอดไปเลยละ ฉันรู้สึกว่าตัวเองหนุ่มขึ้นสักสิบยี่สิบปีเลยละ”

เทียนหลางหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”เช่นนั้นก็ดีแล้วครับ ว่าแต่ที่โทรมามีอะไรงั้นเหรอครับ ?”

”ที่ฉันโทรมาเพราะมีข่าวดีจะบอกเธอนะ”

เทียนหลางได้ยินก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะถามพร้อมกับขนซุปในหม้อ

”ข่าวดีอะไรงั้นเหรอครับ ?”

”ฉันดียินมาว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีงานประมูลใหญ่จัดขึ้นที่เมืองหลวงนะ”

”งานประมูลใหญ่งั้นเหรอครับ ?”

เทียนหลางถามกลับด้วยความสงสัยแม้เขาจะรู้ว่าโลกนี้จะมีการประมูลสินค้าอยู่มากมายก็ตาม แต่เขาไม่คิดว่าจะมีการจัดงานยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเพราะจากที่เขาเคยรู้มางานประมูลปกตินั้นก็มีสินค้าประเภทวัตถุโบราณกับรูปภาพเก่า ๆ ที่เอามาประมูลให้นักสะสมแย่งกันซื้อเท่านั้น มันไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย

แต่คำพูดต่อมาของหลี่ไห่ก็ทำให้เทียนหลางเปลี่ยนความคิดและเริ่มที่จะสนใจ

”ใช่ ฉันได้ยินมาว่าในงานประมูลรอบนี้จะมีของดี ๆ มาประมูลเป็นจำนวนมากเลยบางทีนายอาจจะเจอของที่ต้องการก็นะ แล้วก็เขายังให้คนนอกสามารถนำสิ่งของไปประมูลได้อีกด้วย แต่ต้องได้รับการยอมรับจากคนภายนอกด้วยนะ”

ทันทีที่เทียนหลางได้ยินหลี่ไห่พูดจบเขาก็นึกถึงเรื่องของศิลาจักรวาลที่เทาเจาเป็นคนบอกก่อนหน้านี้ บางทีหากโชคของเขาไม่เลวร้ายจนเกินไปนักอาจจะเจอของที่เขาต้องการในงานประมูลก็ได้

และเทียนหลางก็อยากจะเอายาทิพย์ไปลงประมูลด้วยเช่นกัน เพราะในตอนนี้เขารู้สึกว่าเงินในบัญชีของเขาเริ่มจะลดลงเล็กน้อยแล้วด้วย

หลังจากแนะนำการบ่มเพาะให้กับหลี่ไห่เสร็จเทียนหลางก็นำอาหารที่ทำเสร็จมาที่ห้องอาหารพร้อมกับเริ่มทานข้าวกับครอบครัว ในขณะนั้นเทียนหลางก็ได้พูดขึ้น

”ผมว่าเดือนหน้าจะไปเมืองหลวงนะครับ”

เมื่อทุกคนได้ยินก็หันมามองเทียนหลางเป็นตาเดียวกัน เทียนหลางจึงรีบอธิบาย

”คือปู่หลี่ไห่เขาโทรมาชวนผมไปร่วมงานประมูลใหญ่ที่เมืองหลวงหน่ะครับ”

ทุกคนพยักหน้าก่อนที่แม่ของเทียนหลางจะพูดขึ้น

”งั้นก็แวะเยี่ยมคุณยายด้วยเข้าใจไหม”

”เข้าใจแล้วครับ”

”แล้วก็พาหนูเฟิงหยวนไปด้วย จะได้พากันไปเปิดหูเปิดตา”

”ครับผม”

เทียนหลางตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะใจจริงเขาก็อยากจะพาเฟิงหยวนไปอยู่แล้ว เพราะเธอนั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมในการมองสมบัติการพาเธอไปอาจทำให้เทียนหลางได้พบเจอกับของหายากในราคาถูกก็เป็นได้

………………………….

สองวันต่อมาในขณะที่เทียนหลางกับเฟิงหยวนกำลังนั่งสร้างเครื่องดับเพื่อส่งให้กับร้านอยู่นั้นกริ่งของประตูบ้านก็ถูกกด ทำเอาทั้งสองคนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนเฟิงหยวนจะลุกไปเปิดประตู

เมื่อเฟิงหยวนเปิดประตูก็พบกับสองแม่ลูกที่เธอเจอที่ตลาดเมื่อเย็นเมื่อวาน เฟิงหยวนสงสัยเล็กน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น

”คุณมีธุระอะไรงั้นเหรอคะ ?”

แม่ของเด็กหญิงก็พูดขึ้นทันที

”คุณรักษาลูกสาวของฉันได้จริง ๆ ใช่ไหม ?”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น

”ได้แน่นอนหากคุณน้าไว้ใจสามีของดิฉัน”

”ถ้าเช่นนั้นโปรดช่วยลูกสาวของฉันด้วยเถอะค่ะ !”

แม่ของเด็กหญิงพูดพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้เฟิงหยวนตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและช่วยประคองเธอขึ้นและพาเธอกับลูกสาวไปหาเทียนหลางที่กำลังอยู่ในบ้านด้านหลัง

”สวนสวยจังเลยนะคะ”

คุณแม่ของเด็กหญิงพูดทำให้เฟิงหยวนหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเข้ามาหาเทียนหลาง เทียนหลางมองทั้งคู่ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้น

”คุณตัดสินใจแล้วสินะ”

”ค่ะ !”

เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะอธิบายถึงวิธีการรักษาอย่างสั้น ๆ

”วิธีการรักษาของผมนั้นอาจจะแปลกประหลาดจากหมอทั่วไปนิดหน่อยนะครับ การรักษาของผมนั้นไม่ใช่ทำให้มันหายแต่เป็นการฝึกให้เด็กคนนั้นควบคุมพลังของตนเองได้นะครับ”

เมื่อแม่ของเธอได้ยินก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถามอะไรเทียนหลางก็ได้อธิบายเพิ่มเติม

”อันที่จริงแล้วอาการที่ลูกสาวของคุณแสดงออกมานั้นไม่ได้มาจากโรคครับ”

”ลูกสาวของฉันไม่ได้เป็นโรคงั้นเหรอคะ ?”

เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายอีกครั้ง

”อันที่จริงสิ่งที่ลูกสาวของคุณมีอาจจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งก็เป็นได้ครับ แต่ไม่ใช่พวกพรสวรรค์ด้านกีฬา หรือว่าความฉลาดหลักแหลมแบบทั่วไป”

”แล้วลูกสาวของดิฉันมีพรสวรรค์ด้านไหนงั้นเหรอคะ ?”

”มันอาจจะฟังดูบ้าไปสักเล็กน้อยนะครับ แต่ลูกสาวของคุณมีพรสวรรค์ในด้านการฝึกยุทธนะครับ”

”ฝึกยุทธงั้นเหรอคะ ?”

เธอถามออกมาด้วยความสงสัย ทำให้เทียนหลางต้องพยักหน้า

”แล้วไอการฝึกยุทธนี่มันคืออะไรกันคะ ?”

เธอยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย เทียนหลางจึงอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ โดยการปกปิดส่วนหนึ่งเอาไว้

”การฝึกยุทธนั้นคือศิลปะการต่อสู้รูปแบบหนึ่งครับ แต่มันจะแตกต่างจากการพวกยูโด มวย หรืออื่น ๆ นะครับ”

”แตกต่าง ?”

”ใช่ครับ ถ้าจะให้อธิบายนั้นก็คงจะยืดยาวเกินเข้าใจเอาเป็นว่าแสดงให้เห็นเลยแล้วกันนะครับ”

จากนั้นเทียนหลางก็พาแม่และเด็กสาวออกมาที่สวนก่อนที่เทียนหลางและเฟิงหยวนจะปะทะกันเล็กน้อยเพื่อแสดงให้สองแม่ลูกดู การต่อสู้เบา ๆ ของทั้งสองนั้นเหมือนกับฉากต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธที่ออกมาจากหนังหรือละครไม่มีผิด ทำให้ทั้งสองแม่ลูกนั้นตกตะลึงไม่น้อย

หลังจากแสดงให้ทั้งสองแม่ลูกเห็นเทียนหลางก็พูดขึ้น

”มันก็จะประมาณนี้แหละครับ”

แม่ของเด็กหญิงพยักหน้าด้วยความงงงวยเล็กน้อยก่อนจะถามส่วนที่สำคัญที่สุดที่เธอคาใจ

”แล้วการฝึกยุทธอะไรนี่จะช่วยรักษาลูกสาวของดิฉันได้ยังไงคะ ?”

”การฝึกยุทธจะใช้การบ่มเพาะพลังภายในเป็นตัวช่วยในการฝึกครับ และหากลูกของคุณได้รับการฝึกที่ถูกต้องก็จะสามารถควบคุมความเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอได้ครับ แต่ว่า…”

เทียนหลางหยุดพูดไว้กลางคันและมองเด็กหญิงตรงหน้า ทำให้แม่ของเธอสงสัยเล็กน้อยจนต้องเอ่ยถามขึ้น

”แต่ว่าอะไรงั้นเหรอคะ ?”

”การฝึกยุทธนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และบางครั้งอาจจะมากเกินไปสำหรับเด็กอายุแปดขวบ ผมกังวลว่าเธออาจทนไม่ไหวและยอมแพ้ไปเสียก่อน ดังนั้นผมจึงอยากถามความสมัครใจของเธอนะครับ”

เมื่อเทียนหลางพูดจบก็เดินมาหยุดตรงหน้าของเด็กหญิงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นและถามขึ้น

”เธอชื่ออะไรงั้นเหรอ ?”

เด็กหญิงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ

”หนูชื่อหลินหลิน”

”หลินหลินน้อยงั้นเหรอ… เธออยากจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธรึเปล่า ?”

เทียนหลางไม่รีรอถามเข้าประเด็นทันที ทำให้หลินหลินน้อยลังเลอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเอ่ยถามสิ่งหนึ่งออกมา

”ถ้าหนูกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วหนูจะหายรึเปล่า ?”

เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”แน่นอนสิ”

”ถ้างั้นหนูก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ !”

หลินหลินน้อยพูดออกมาด้วยความมั่นใจทำให้เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และถามเธออีกครั้ง

”แต่การเป็นผู้ฝึกยุทธนั้นลำบากมากเลยนะ หลินหลินน้อยจะทนไหวงั้นเหรอ ?”

เมื่อได้ยินคำถามหลินหลินน้อยก็ใช้มือน้อย ๆ ของเธอทุบไปที่อกก่อนจะพูดขึ้นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง

”หนูจะอดทนหากมันทำให้หนูสามารถมีเพื่อนได้อีกครั้ง”

เทียนหลางที่ได้ยินคำตอบของหลินหลินน้อยก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยก่อนที่ในใจของเขาจะเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่ตนเองนั้นได้ลากเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกที่มีแต่การฆ่าฟันอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างนี้ ทำให้เขานั้นเริ่มที่จะลังเลที่จะสั่งสอนเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า แม้ความจริงเทียนหลางอยากจะได้เธอมาเป็นศิษย์และหวังดีที่ต้องการจะให้เธอนั้นสามารถควบคุมพลังที่ของตนได้

แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่เขาทำแบบนี้อาจเป็นการทำลายอนาคตของเด็กคนหนึ่งที่กำลังอาศัยอยู่ในโลกที่สงบสุขแบบนี้ ทำให้เขานั้นรู้สึกกังวลไม่น้อยและเริ่มลังเลที่จะสั่งสอนเธอ ในขณะนั้นมือของเฟิงหยวนก็ได้มาจับมือของเทียนหลางเอาไว้พร้อมส่งยิ้มให้กับเขาก่อนจะพูดขึ้น

”คุณตัดสินใจดีแล้ว”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะสลัดความกังวลนั้นทิ้งไปและตัดสินใจที่จะสั่งสอนเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ อย่างที่เขาทำกับศิษย์ทุกคนมาตลอด