ตอนที่ 124 เหมือนคนในครอบครัว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 124 เหมือนคนในครอบครัว

ตอนที่ 124 เหมือนคนในครอบครัว

หลังจากที่เฉินเจียเหอจากไป หลินเซี่ยก็นอนไม่หลับ เธอปิดประตู แล้วออกวิ่งไปเคาะประตูบ้านของหยางเป่าเฉวียน

จุดประสงค์ก็คือสอบถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถไฟที่เกิดขึ้น

หยางเป่าเฉวียนก็ไม่อยู่ในห้องเช่นกัน ในขณะที่พี่สาวหลิวกำลังจะนอนอยู่แล้ว แต่พอได้ยินใครมาเคาะประตูก็เดินออกไปเปิดประตูให้ ครั้นเห็นหลินเซี่ยมาที่หน้าประตู ก็รีบเชื้อเชิญให้เธอเข้าไป

เห็นได้ชัดว่าพี่สาวหลิวคุ้นเคยกับการถูกเรียกตัวกลางดึกทำนองนี้ของสามีเสียแล้ว หล่อนสวมชุดนอนทับด้วยแจ็กเก็ตบุฝ้าย ดึงหลินเซี่ยนั่งลงแล้วปลอบใจเธอ “เสี่ยวหลิน ไม่ต้องกังวลนะ ด้วยตำแหน่งของเขาแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องเดินทางไปทำงานนอกสถานที่บ่อย ๆ”

“ได้ยินมาว่าพี่หยางบอกว่ามีอุบัติเหตุนี่คะ? สถานการณ์ร้ายแรงมากหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามอย่างกังวล

พี่สาวหลิวมีสีหน้าเคร่งขรึม

“ฉันได้ยินมาว่าสถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วนมาก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกเขาแค่ไปตรวจสอบปัญหาเชิงเทคนิคของหัวรถจักร ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ ไม่มีอะไรมากมาย เขาจะกลับมาภายในไม่กี่วัน”

“อย่างน้อยรถไฟด่วนสายใหม่ที่เกิดขึ้น หัวรถจักรคันนั้นก็ไม่ได้ผลิตโดยโรงงานของเรา ต่อให้จะเกิดปัญหาทางเทคนิคขึ้นจริง ๆ ก็เถอะ พวกเราไม่มีส่วนรับผิดชอบใด ๆ แค่ไปช่วยแก้ปัญหาก็เท่านั้น”

หลังจากได้ยินคำพูดของพี่สาวหลิว หลินเซี่ยก็โล่งใจ แต่เมื่อคิดว่าสถานการณ์ร้ายแรงถึงขั้นพลิกตกราง เธอก็ยังคงรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง

หยางเป่าเฉวียนบอกว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนี่นา!

“กลับไปนอนซะเถอะ ถ้ามีอะไรก็มาถามได้ตลอดนะ”

“ค่ะ งั้นฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ”

หลินเซี่ยกลับเข้าบ้าน ล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยที่ไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเลย

เธอยังไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับลักษณะงานของเฉินเจียเหออย่างจริงจัง เพราะคิดเสมอว่างานของเขาคือการอยู่ประจำที่โรงงานยานยนต์ เพื่อศึกษา ทดสอบ และติดตั้งรถหัวรถจักร การที่จู่ ๆ เขาก็ถูกเรียกออกจากบ้านให้เดินทางไปทำงานกลางดึกแบบนี้ทำให้เธออดรู้สึกว่างเปล่าไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้กลับมานอนบ้านตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

หลินเซี่ยนอนไม่หลับจนผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว กระทั่งหู่จือที่ตื่นขึ้นในตอนเช้ามาเคาะประตูเพื่อปลุกเธอ

หลินเซี่ยออกมาจากห้องนอน แล้วอธิบายให้หู่จือฟังอย่างระมัดระวังว่า “หู่จือ พ่อของเธอถูกเรียกตัวให้ไปทำงานเร่งด่วน เขาอาจจะไม่อยู่สักสองสามวันนะ”

“อ๋อ เข้าใจแล้วครับ”

หู่จือตอบกลับอย่างใจเย็น

หลินเซี่ยเห็นว่าเด็กน้อยดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการถูกเรียกตัวอย่างกะทันหันของเฉินเจียเหอแล้ว เธอก็ทั้งโล่งใจและรู้สึกเห็นใจเขา

“ไปล้างหน้าล้างตาซะเถอะ ฉันจะพาเธอออกไปดูร้านที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง จากนี้เราจะเปิดร้านกัน”

“จริงเหรอฮะ? เยี่ยมไปเลย”

หู่จือล้างหน้าอย่างร่าเริง ส่วนหลินเซี่ยมัดรวบผมขึ้นเป็นหางม้าง่าย ๆ พาหูจื่อออกไปข้างนอก แวะซื้อนมถั่วเหลืองกับปาท่องโก๋จากข้างทาง แล้วเดินไปที่ร้านพลางกัดกินมื้อเช้าไปด้วย

เฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานพาคนงานมาทุบกำแพงร้านข้าง ๆ เพื่อตกแต่งแล้ว

เมื่อเห็นหลินเซี่ยเดินมากับเด็กชายตัวน้อย หลินจินซานก็ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น

“เสี่ยวหลิน เด็กคนนี้ลูกใครกัน?” เขาถามขณะมองไปที่หู่จือ

หลินเซี่ยตอบกลับ “เด็กที่บ้านฉันเองแหละ”

“น้องชายเหรอ?” หลินจินซานมองไปที่เด็กแก้มอ้วนตรงหน้า รู้สึกมันเขี้ยวจนอยากหยิกแก้มเขาจริง ๆ

“เปล่า เขาเป็นลูกชายฉันเอง”

“อะไรนะ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ดวงตาของหลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงพร้อมกัน

หลินจินซานหันไปอุทานกับเฉียนต้าเฉิง “พี่เฉิง เสี่ยวหลินบอกว่าเขาคือลูกชายของหล่อนล่ะ พี่เชื่อหรือเปล่า?”

เฉียนต้าเฉิงหัวเราะแห้ง ๆ “จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

เธอยังเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อายุยี่สิบหมาด ๆ จะมีลูกชายตัวโตขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

เด็กน้อยคนนี้น่าจะอายุเกินห้าขวบแล้วด้วยซ้ำ

หลินเซี่ยเผชิญหน้ากับสีหน้าประหลาดใจระคนไม่เชื่อของทั้งสอง จึงพูดสี่คำอย่างใจเย็น “ฉันเป็นแม่เลี้ยง”

การแสดงออกบนใบหน้าของเฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานพลันไม่อาจคาดเดาได้

หลินจินซานมองไปที่หลินเซี่ยด้วยความเห็นอกเห็นใจ

ผู้หญิงยังสาวคนนี้กลายเป็นแม่เลี้ยงของลูกติดสามีไปซะแล้ว

การเป็นแม่เลี้ยงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดูจากลูกชายที่โตพอสมควร พี่ใหญ่แซ่เฉินคนนี้คงอายุไม่ใช่น้อย ๆ

นึกมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหลินจินซานก็ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม

เมื่อมองดูหู่จือ ดวงตาของเขาก็ปรากฏอารมณ์บางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ

ย้อนกลับไปตอนที่แม่ของเขาแต่งงานกับพ่อ แม่ก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอไม่ใช่เหรอ?

ตอนที่เขายังเด็ก สาวสวยคนนั้นก็จับจูงมือเขาไว้เหมือนกับที่หลินเซี่ยกำลังทำอยู่

ด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอ เขาจึงไม่ใช่เด็กกำพร้าอีกต่อไป มีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี

ความคิดของหลินจินซานกำลังฟุ้งซ่าน เขาจำช่วงเวลาที่พ่อของเขาพาแม่เลี้ยงจากที่อื่นกลับมาบ้านอย่างกะทันหัน เขาเชื่อคำพูดของย่า คิดว่าแม่เลี้ยงต้องทำร้ายเขาแน่ มาวันนี้เขาอดเสียใจกับการกระทำไม่ดีหลายต่อหลายครั้งของตัวเองที่ทำกับหล่อนไม่ได้

หลินเซี่ยเพิกเฉยต่อสายตาแปลก ๆ ของพวกเขา ก่อนจะแนะนำพวกเขาให้หู่จือรู้จัก “หู่จือ นั่นคืออาเฉิง ส่วนนี่คือลุงจินซาน”

เฉียนต้าเฉิงมองเธอด้วยความสับสนแล้วถามว่า “ทำไมถึงให้ผมเป็นอา แล้วให้ซานจื่อเป็นลุงล่ะ?”

หลินเซี่ยยิ้มและอธิบายว่า “เพราะฉันรู้สึกเหมือนพี่ซานเป็นพี่ชายคนหนึ่งของครอบครัวฉันน่ะสิคะ”

คำพูดของหลินเซี่ยทำให้หัวใจของหลินจินซานเต้นรัว

เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก พวกเขารู้สึกว่าหลินเซี่ยเป็นคนดีมาก ถึงแม้พี่เฉิงจะส่งเขามาที่นี่เพื่อให้เขาข่มขู่หลินเซี่ย แต่เขากลับทนไม่ได้ที่จะทำร้ายเธอ

ยิ่งเมื่อเห็นเธอจูงมือเด็กชายตัวน้อยอย่างสนิทสนมแบบนี้ ความรู้สึกเอ็นดูก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ท่าทางของเธอไม่ต่างอะไรไปจากแม่เลี้ยงที่คอยดูแลเขาตอนที่เขายังเด็กมาก โดยเฉพาะเสียงอ่อนโยน และรอยยิ้มบนใบหน้า

ดังนั้น เมื่อเขามองหู่จือเมื่อกี้นี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในวัยเด็ก

หู่จือร้องเรียกพวกเขาอย่างสุภาพและว่าง่าย “สวัสดีครับอาเฉิง สวัสดีครับลุงจินซาน”

หลินจินซานแทบอยากจะร้องไห้เมื่อได้ยินเด็กชายเรียกเขาว่าลุง

หลินเซี่ยคนนี้มีชื่อเดียวกันกับน้องสาวของเขา บางที นี่อาจเป็นโชคชะตาที่พระเจ้ากำหนดไว้

“เฮ้ เฮ้” หลินจินซานยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวซี่ใหญ่ของเขา

เฉียนต้าเฉิงมองไปยังรูปลักษณ์อันโง่เขลาของหลินจินซาน รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

หู่จือมองไปที่หลินจินซานด้วยดวงตาที่สดใส ถามว่า “ทำไมลุงถึงชื่อจินซานเหรอครับ? ที่บ้านลุงมีภูเขาทองเหรอ?”

หลินจินซานลูบจมูกตัวเองอย่างเชื่องช้า นั่งยอง ๆ มองไปที่หู่จือ และอธิบายด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก

“ใช่ ฉันมีภูเขาทองอยู่ที่บ้าน”

หลินเซี่ย “…”

หลินจินซาน “ลุงนี่แหละภูเขาทองของครอบครัว”

แม้ว่าหู่จือจะเป็นเด็ก แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นไม่รู้ความ เขามองออกว่าหลินจินซานกำลังรับสมอ้างโดยยกย่องตัวเองอย่างตรงไปตรงมา จึงมองหลินจินซานพลางยิ้มแห้ง

หลินจินซานจับมือหู่จืออย่างสนิทสนมแล้วพูดว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวลุงจินซานจะพาเธอไปซื้อขนม”

“น้าเซี่ยเซี่ย ผมขอไปกับลุงจินซานได้ไหมครับ? เขาคงไม่ใช่คนไม่ดีใช่ไหม?” หู่จือเงยหน้าขึ้น และมองไปที่หลินเซี่ยเพื่อขอการอนุญาตจากเธอ

“ไปเถอะ อย่าซื้อลูกอมแล้วกัน กินขนมอย่างอื่นแทน ไม่งั้นเธอจะฟันผุ”

หลินจินซานพาหู่จือไปที่ร้านของชำฝั่งตรงข้าม หลินเซี่ยจึงเดินตามเฉียนต้าเฉิงเข้าไปสำรวจการตกแต่งภายในร้านของพวกเขา

“พวกคุณเริ่มงานกันเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”

เฉียนต้าเฉิงเชิญเธอเข้ามาด้านในแล้วแนะนำว่า “ใช่ เราหาคนมาตกแต่งโครงสร้างคร่าว ๆ ก่อน แล้วเถ้าแก่ใหญ่ของพวกเราจะเดินทางมาจากเชินเฉิงในสัปดาห์หน้า จากนั้นเราค่อยเก็บรายละเอียดตามคำแนะนำของเขา”

“เสี่ยวหลิน คุณล่ะวางแผนว่าจะตกแต่งร้านเมื่อไหร่?” เฉียนต้าเฉิงถาม

“ฉันไม่รีบร้อนมาก แต่พรุ่งนี้จะหาคนมาเริ่มทำงานเหมือนกัน”

ภายในตัวร้านค่อนข้างสะอาดตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากที่นี่เคยเป็นร้านค้า ผนังจึงถูกทาด้วยสีขาว สิ่งที่เธอต้องทำก็คือขนย้ายอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้หลัก ๆ ในร้านเสริมสวยเข้ามาติดตั้ง

หลินเซี่ยยืนอยู่ที่หน้าประตู ดูคนงานขยับตัวทำงานไปเพลิน ๆ หลินจินซานซื้อขนมปังชิ้นใหญ่แล้วยกให้หู่จือถือไว้ พลางจูงมือเขาออกมาจากร้าน

บุคลิกหลินจินซานเหมือนชนชั้นกลางทั่วไป มีชีวิตชีวาและร่าเริงมาก ภายในเวลาไม่นานเขาก็คุ้นเคยกับหู่จือแล้ว

“จริงสิ พี่เฉิง ฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณหน่อย”

“เชิญพูด เชิญพูด” ทัศนคติของเฉียนต้าเฉิงค่อนข้างกระตือรือร้น

หลินเซี่ยบอกว่า “ฉันเห็นพี่ซานอยู่เฉย ๆ เลยอยากจะขอยืมตัวเขาให้ตามพวกเราไปที่ร้านขายของชำในตลาดเพื่อช่วยขนของหน่อย ลำพังฉันกับหู่จือคงขนกันเองไม่ไหว”

“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” หลังจากที่หลินจินซานขันอาสาอย่างกล้าหาญ เขาก็มองไปที่เฉียนต้าเฉิงและถามความคิดเห็นของเขาเสียงแผ่ว “พี่เฉิง ผมขอไปได้ไหม?”

เฉียนต้าเฉิงกลอกตาไปที่หลินจินซาน จากนั้นมองไปที่หลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม พูดอย่างจงใจว่า “เสี่ยวหลิน ที่จริงผมไปช่วยคุณขนของก็ได้ ให้ซานจื่ออยู่คุมงานที่นี่ ผมเองก็ค่อนข้างว่างเหมือนกัน”

หลินเซี่ยยิ้มบางพลางพูดว่า “พี่เฉิง ฉันไม่รบกวนเวลาทำงานของคุณดีกว่า เพราถ้าถึงคราวฉันตกแต่งร้าน ฉันคงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณให้ดูแลและแนะนำไม่น้อยเลย”

“ได้ งั้นให้ซานจื่อไปกับคุณแล้วกัน”

“ขอบคุณค่ะพี่เฉิง ไปกันเถอะ”

หลินจินซานจูงมือหู่จือ จากนั้นทั้งสามคนก็พูดคุยและหัวเราะกันพลางเดินไปข้างหน้า

เฉียนต้าเฉิงมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ใบหน้าที่ครึ้มเข้มด้วยหนวดเครากระตุกเล็กน้อย

สังเกตจากสายตาของหลินจินซานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

สหายน้องชายนั่นช่างโชคดีอะไรอย่างนี้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จะมีวันหนึ่งที่จินซานรู้ไหมนะว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกับหลินเซี่ยจริงๆ

ไหหม่า(海馬)