ตอนที่ 123 คืนนี้ พวกเรานอนด้วยกันเถอะ(2)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 123 คืนนี้ พวกเรานอนด้วยกันเถอะ(2)

ตอนที่ 123 คืนนี้ พวกเรานอนด้วยกันเถอะ(2)

“ให้ฉันโม้หน่อยนะ ตอนที่เสี่ยวหลินเต้นบนเวที ผู้อำนวยการหลายคนถามถึงเยอะมาก แถมต้องการแนะนำหล่อนให้พวกเขารู้จักด้วย เจ้าของโรงงานผลิตอาหารแปรรูปก็อยากให้ฉันช่วยแนะนำเสี่ยวหลินกับลูกชายของเขาด้วย เพราะอยากได้หล่อนเป็นลูกสะใภ้”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินเจียเหอเข้มขรึมทันที “แล้วคุณจะไม่บอกพวกเขาหน่อยเหรอว่าเสี่ยวหลินคนสวยมีเจ้าของหัวใจแล้วรึยัง?”

“งั้นก็รีบไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเร็ว ๆ เข้าสิ จนถึงป่านนี้แล้วเรายังไม่เห็นลูกกวาดแต่งงานของพวกคุณเลย หลังจดทะเบียนเรียบร้อยก็ตั้งโต๊ะฉลองสักสองถึงสามโต๊ะ เชิญทุกคนมาฉลองร่วมกัน หรือจะขอเบิกกู้เงินจากทางโรงงานก่อนก็ได้”

เฉินเจียเหอตอบว่า “ไว้ถึงวันจันทร์ก่อนแล้วกัน”

พรุ่งนี้แม่ยายของเขาจะนำบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของหลินเซี่ยมาให้ และวันจันทร์ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมสุดในการทำขั้นตอนทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

“เสี่ยวหลิน สองตาเฒ่าอย่างเราอยากอวยพรเธอเต็มแก่แล้วนะ”

หลินเซี่ยสะดุ้งเมื่อเห็นลุงหนิวและลุงหลี่เดินมาพร้อมแก้วไวน์ ก่อนรีบลุกขึ้น “ลุงหนิว ลุงหลี่ พวกคุณสองคนพูดอะไรอย่างนั้นคะ? ฉันเป็นเด็ก จะยอมให้พวกคุณมาดื่มอวยพรฉันได้ยังไง? ฉันยังไม่อยากแก่ไวนะ”

ลุงหลี่หัวเราะอย่างมีความสุข “ขอบคุณที่เต็มใจพาเราไปแสดงด้วยนะ ช่วงนี้เราใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมาก พูดตามตรงตั้งแต่เกษียณและอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง ฉันรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีทิศทางเลย แถมไม่มีคุณค่าในตัวเองด้วย เอาแต่เซื่องซึมไปทุกวัน แต่หลังได้เต้นและร่วมการแสดงนี้ฉันรู้สึกสบายใจจนความยินดีมันล้นออกปากเลยล่ะ แล้ววันนี้ก็ได้รับรางวัลด้วย ฉันล่ะดีใจมากจริง ๆ”

“คุณลุงหลี่ แม้การแข่งขันจะจบลงไปแล้ว แต่จุดประสงค์ของการแสดงในครั้งนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ในอนาคตคุณสองคนจะต้องสามารถรวบรวมสหายที่เกษียณอายุแล้วให้ออกมาเต้นและออกกำลังกายด้วยกันได้ จัดตั้งกลุ่มเต้นออกกำลังกายในแต่ละวัน ได้ทั้งสุขภาพแข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดีในวัยชรา และยังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยนะคะ”

ลุงหนิวมองเธอด้วยความซาบซึ้งและพูดพร้อมเผยรอยยิ้มว่า “ใช่ๆๆ แต่เราก็ต้องการให้เธอช่วยออกแบบท่าเต้นใหม่ ๆ แล้วเลือกเพลงอื่นให้ด้วย”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ได้เสมอค่ะ หลังงานวันนี้เสร็จ เราก็มาเริ่มต้นด้วยกันนะคะ”

หลังมื้ออาหารผ่านไป พวกเขาก็แยกกันขึ้นรถบัสกลับบ้านอย่างมีชัย

ทุกคนรู้อยู่ในใจว่าหลินเซี่ยมีบทบาทสำคัญในการได้รับอันดับที่ดีในการแข่งขันครั้งนี้ ทุกคนถึงได้กลับบ้านพร้อมรางวัลมากมายอย่างที่เห็น

แน่นอนว่าเพราะเยาวชนมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมประเภทนี้ ผลงานจึงออกมาดีมาก ๆ

ระหว่างทาง พี่สาวหลายคนมารวมตัวกันรอบ ๆ หลินเซี่ยและพูดคุยกัน บางคนชื่นชมเธอ และบางคนก็พากันอวยฝีมือเธอเนื่องมาจากทักษะในการแต่งหน้าทำผมของเธอวันนี้

เฉินเจียเหอถูกบีบออกไปจนไม่มีโอกาสได้นั่งข้างภรรยาอย่างน่าสงสาร

ใบหน้าของหลินเซี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากได้รับคำชมมากมาย เธอยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณพี่สาวทุกคนนะคะ เราเป็นทีมเดียวกัน ถือเป็นเครดิตของทุกคนที่ชนะการแข่งขันนี้และได้ผลลัพธ์ออกมาดดีเกินคาด ยังไงซะต้นไม้ต้นเดียวคงไม่สามารถสร้างป่าได้ ไม่ต้องชมฉันอย่างเดียวก็ได้ ทุกคนควรภูมิใจในตัวเองกันเยอะ ๆ นะ”

พี่สาวจางตอบกลับว่า “เสี่ยวหลิน ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือในการเปิดร้าน แค่บอกฉันมาคำเดียวเราจะไปช่วยทันที พอดีเราไม่ได้ไปทำงานและไม่มีอะไรทำที่บ้านน่ะ อย่างน้อยให้เราได้ช่วยเธอบ้างเถอะ”

“ได้เลยค่ะ ไว้ฉันจะโทรไปหาถ้าต้องการความช่วยเหลือด่วน”

หลังกลับมาถึงบ้าน หลินเซี่ยฉีกห่อของขวัญอย่างมีความสุข นำแผ่นลายสก็อตอันใหม่ที่อยู่ข้างในออกมา

หลินเซี่ยคลายมันออกและพบว่าเป็นผ้าปูที่นอนขนาด 1.5 เมตร เธอพูดกับหู่จือว่า “หู่จือ เราได้ผ้าปูที่นอนผืนใหญ่มาล่ะ เดี๋ยวช่วยปูให้เอาไหม?”

หู่จือมองไปยังผ้าปูที่นอนใหม่และพยักหน้าอย่างมีความสุข “อืม ขอบคุณครับน้าเซี่ยเซี่ย”

“นี่เป็นปลอกผ้านวมและปลอกหมอน” หลินเซี่ยมองปลอกหมอนสองชิ้นในมือ จากนั้นยัดใส่มือเฉินเจียเหอ “คืนนี้พวกเรามานอนด้วยกันดีกว่า”

เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินประโยคนั้น ในใจของเขาก็เริ่มเกิดความคิดว้าวุ่น

หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ไปสองแก้ว สติสัมปชัญญะของเขาก็พร่าเลือนเล็กน้อย เมื่อมองหญิงสาวที่มีใบหน้าบอบบางและปราดเปรียว เรือนร่างสวยงาม เขาก็เกิดแรงกระตุ้นและความปรารถนาที่ไม่สามารถควบคุมได้

หลินเซี่ยพูดกับหู่จือว่า “ไปนอนเร็ว ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการซักแล้วปูให้ในวันพรุ่งนี้”

“ครับ”

เฉินเจียเหอส่งหู่จือเข้านอนทันทีอย่างเร่งรีบ ส่วนหู่จือเองก็ง่วงมากจนลืมตาแทบไม่ขึ้น และหลับไปก่อนที่จะมีเวลาถามเฉินเจียเหอว่าทำไมถึงไล่ให้เขาออกมานอนห้องนอนเล็ก ๆ อีกแล้ว

หลินเซี่ยนั่งอยู่บนโซฟา ปล่อยผมยาวสลวย เฉินเจียเหอเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูตั้งใจมาก

การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนและละเอียดอ่อนมาก ฝ่ามือใหญ่ราวกับมีทักษะพิเศษ ค่อย ๆ ดึงริบบิ้นทั้งหมดที่ถักเข้ากับเส้นผมเธอออกอย่างระมัดระวัง โดยไม่รั้งเส้นผมเธอออกแม้แต่เส้นเดียว

“เฉินเจียเหอ คุณนี่ใช้มือเก่งไม่เบาเลยนะเนี่ย ทำไมไม่เปลี่ยนอาชีพมาเรียนทำผมกับฉันซะล่ะ?”

“ไม่ได้หรอก มือของผมมีไว้เพื่อสายงานรถไฟเท่านั้น”

เขาสามารถติดตั้งเครื่องมือทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำ ละเอียด หรือยากที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะแยกริบบิ้นออกจากเส้นผมแค่นี้ได้หรือไม่

“ถามหน่อยสิ ฉันควรจะตั้งชื่อร้านเสริมสวยว่าอะไรดี?”

“อืม… เรียกว่าร้านเสริมสวยเซี่ยเซี่ยแล้วกัน” เฉินเจียเหอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ

“ไม่ได้ มันธรรมดาเกินไป” หลินเซี่ยพูดต่อ “ถ้าเป็นชื่อ ‘สงโถวไคฉื่อ(เริ่มต้นครั้งใหม่)’ ล่ะ?”

“สงโถวไคฉื่อ?” เฉินเจียเหอหยิบหวีขึ้นมาหวีผม “นี่เป็นชื่อที่ดีเลย จะต้องมีความหมายพิเศษที่ดีมากแน่”

“ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเลือกชื่อร้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาถกเถียงกัน งั้นฉันจะกลับไปออกแบบป้ายทีหลัง”

เฉินเจียเหอพูดขึ้น “ให้พี่ชายของฟางจิ้นเป่าจัดการเถอะ ผมบอกเหล่าฟางแล้ว เขาบอกว่าพี่ชายของเขาจะมาที่นี่วันมะรืนนี้ แม่ยายก็จะมาไห่เฉิงวันพรุ่งนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ? พรุ่งนี้มาจัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน”

“คุณจัดเวลาไว้หมดแล้วเหรอ? ดีจังที่คุณช่วยวางแผนให้”

หลินเซี่ยปล่อยผมเธอลง หันกลับมามองชายผู้มีไฟในดวงตาลุกโชน จากนั้นเธอก็เอื้อมแขนไปโอบเขา ก่อนจะมองหน้าเขาแล้วถามว่า “วันนี้ฉันทำได้ดีหรือเปล่าคะ?”

“ดีที่สุดเลยล่ะ”

เสียงของเฉินเจียเหอแหบห้าว ไม่นานเขาก็อุ้มเธอขึ้นจนบั้นท้ายเล็ก ๆ ลอยพ้นโซฟา แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปในห้อง

หลินเซี่ยรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเขาแตกต่างจากปกติเล็กน้อย

โดยปกติแล้วเขาจะยับยั้งชั่งใจมากกว่านี้เวลาอยู่ต่อหน้าเธอเสมอ

หลินเซี่ยผลักเขา “ฉันยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางเลยนะ”

“ไว้ผมจะช่วยล้างมันออกเอง” เขาพูดด้วยความรู้สึกแทบทนไม่ไหวที่จะพรมจูบลงบนหน้าเธอ

หลังจากนั้นเขาก็ลบเครื่องสำอางบนใบหน้าเธอออกด้วยริมฝีปากนุ่ม ๆ ของเขาเอง

ใจจริงเขาอยากจะจูบเธอตั้งแต่ตอนที่เธอแสดงอยู่บนเวทีแล้วด้วยซ้ำ

เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจูบลงบนแก้มเธอ และพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เซี่ยเซี่ย ผมรอไม่ไหวแล้ว”

แล้วเขาก็ถามเธอต่อ “คืนนี้เรามานอนด้วยกันจนฟ้าสางเลยได้ไหม?”

“ไหนคุณบอกว่าจะรอให้ฉันโตก่อนไงคะ?” หลินเซี่ยอ้าปากค้างเพราะเสียงอันเย้ายวนของเขา แล้วเธอก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่อดทน จงใจพูดแซวเขาเล็กน้อย

เขามองลงตรงทรวงอกเธออย่างคลุมเครือแล้วหัวเราะเบา ๆ “แค่นี้ยังไม่เรียกว่าโตอีกเหรอ”

“คนลามก”

“แล้วคุณเต็มใจไหมล่ะ?” เขาจูบติ่งหูเธอแล้วกระซิบตรงข้างหูอย่างซาบซ่าน

หลินเซี่ยไม่ตอบ แต่ฝังใบหน้าที่เขินอายจนแดงก่ำลงบนซอกคอของเขา

ปฏิกิริยาของเธอทำให้เขาได้รับคำตอบ

เฉินเจียเหอกอดเธอแล้วเตะเปิดประตูห้องนอน วางร่างเธอลงบนเตียง จากนั้นปิดประตูแล้วรีบวิ่งมาหาราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย

ขณะไล่พรมจูบไปตามเรือนร่างหญิงสาว เขาก็ถอดเสื้อผ้าที่ขวางกั้นระหว่างทั้งคู่ออก

หลินเซี่ยสมองพร่ามัว ปล่อยให้เขาเปลื้องผ้าเธอออกกระทั่งเปลือยเปล่า

เขาประสานนิ้วมือเข้ากับเธอแนบแน่น จูบลงบนผิวอันบอบบางแทบทุกตารางนิ้วอย่างหลงใหล พร่ำเรียกชื่อเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เซี่ยเซี่ย ผมรักคุณ”

คำสารภาพอย่างกะทันหันของเขาทำให้หลินเซี่ยหัวใจเต้นแรง เธอผละมือออกจากตัวเขา แล้วยกแขนที่ซีดขาวเพราะความตื่นเต้นโอบรอบคอเขาไว้ ตอบรับเขาอย่างเร่าร้อนเช่นกัน “เฉินเจียเหอ ฉันก็รักคุณค่ะ”

“เซี่ยเซี่ย…”

เฉินเจียเหอไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป จูบของเขาเร่าร้อนยิ่งขึ้นจนเต็มไปด้วยความวาบหวาม ซึ่งความรู้สึกนี้แผ่ไปทั่วร่างเธอราวกับพายุหมุนที่รุนแรง

พ่อม่ายลูกติดที่ได้รับการปลดปล่อยจนกลายเป็นบ้าคลั่ง ชวนให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

หลินเซี่ยแทบจะหายใจไม่ออกจากการจูบเล้าโลมของเขา

“อย่ากลัวเลย ใจเย็น ๆ ผมจะค่อย ๆ ทำ”

แต่เมื่อเขากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกับเธอ เสียงเคาะประตูโครมครามก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“เสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉิน”

นั่นคือเสียงของหยางเป่าเฉวียน

มังกรที่กำลังผงาดของเฉินเจียเหอพลันสงบลง อารมณ์ร่วมหายวับไปครึ่งหนึ่งเพราะเสียงของหยางเป่าเฉวียนที่ฟังดูคล้ายเครื่องเตือนใจบางอย่าง เขาอดทนต่อความปรารถนาที่จะฆ่าคนด้วยมือเดียวเอาไว้ จำต้องผละจากคนรักที่อยู่ในอ้อมแขน พลางกัดฟันและสาปแช่งคนที่อยู่นอกประตู “เป็นบ้าอะไรของคุณ?”

หลินเซี่ยเองก็ตกใจกับเสียงเอะอะข้างนอก

หยางเป่าเฉวียนตะโกนอย่างเร่งรีบ “ออกมาเร็ว เกิดเรื่องแล้ว เรื่องใหญ่ซะด้วย”

เฉินเจียเหอได้ยินความเร่งด่วนในน้ำเสียงของอีกฝ่ายราวกับว่ามีบางสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ลุกขึ้น ลูบหัวหญิงสาวบนเตียงและขอให้เธอรอ จากนั้นเขาก็สวมกางเกงอย่างลวก ๆ แล้วเปิดประตูออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”

“รถไฟโดยสารคันใหม่ตกรางและพลิกคว่ำในเทศมณฑลซีเหอ หนานเฉิง ตู้โดยสารหลายคันได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หัวหน้าบอกว่าในฐานะช่างเทคนิคแล้ว เราควรรีบเร่งไปตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุทันทีเมื่อไปถึง”

“ตกรางงั้นเหรอ?” เฉินเจียเหอดูตกใจเมื่อได้ยินข่าวที่น่ากลัวแบบนี้ เขาพูดกับหยางเป่าเฉวียนว่า “ผมขอกลับไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน”

เขาวิ่งเข้าไปในห้องนอน เฉินเจียเหอคุ้ยหาเสื้อผ้าทำงานและเสื้อแจ็กเกตบุผ้าฝ้าย ในขณะที่อธิบายให้หลินเซี่ยฟังอย่างรวดเร็ว

“เซี่ยเซี่ย มีอุบัติเหตุไม่คาดฝันร้ายแรงเกิดขึ้น ผมต้องออกไปจัดการเรื่องให้เรียบร้อยก่อน อาจต้องใช้เวลาสักสองสามวัน คุณกับหู่จืออยู่ด้วยกันสองคน ตอนกลางคืนอย่าลืมล็อกประตูหน้าต่างให้แน่นหนา ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่สะดวกดูแลเขา พาเขาไปฝากที่บ้านเก่าของปู่ทวดและย่าทวดของเขาก็ได้ โรงเรียนอนุบาลของหู่จือจะเริ่มเปิดภาคเรียนวันมะรืนนี้ คุณช่วยพาเขาไปลงทะเบียนแทนผมที ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้าน คุณไปขอความช่วยเหลือจากถังจวิ้นเฟิงได้ เงินอยู่ในสมุดบัญชีรับเงินเดือนของผม ถ้าต้องการก็ถอนไปใช้ได้เลยไม่ต้องเขียม”

เฉินเจียเหอสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็หันไปหยิบกระเป๋าเอกสารข้อมูลทางรถไฟซึ่งเขามักจะพกติดตัวไว้เสมอ “ผมไปก่อนนะ”

เมื่อกี้นี้หลินเซี่ยก็ได้ยินคำบอกเล่าของหยางเป่าเฉวียนเช่นกัน หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอเองก็สวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปส่งเขา “คุณระวังตัวด้วยนะคะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมหรอก” เฉินเจียเหอพูดต่อ “ถ้าหู่จือตื่นเมื่อไหร่ ก็บอกว่าผมไปที่สถานีรถไฟเพื่อรอรับแม่ยายนะ สักบ่ายสี่โมงพรุ่งนี้ผมจะรีบกลับ“

“อืม วางใจได้เลย รีบไปเถอะค่ะ”

เฉินเจียเหอถือกระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไป เมื่อเขามาถึงประตูอาคารพักอาศัย เขาก็หันหลังกลับมามองอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเห็นหญิงสาวเผ้าผมยุ่งเหยิงยืนอยู่หน้าประตูและมองดูเขา เขาก็หันหลังกลับเพื่อวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ประคองใบหน้าเธอไว้ในมือและจูบเบา ๆ บนหน้าผาก ก่อนจะผลักเธอกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู จากนั้นก็วิ่งจากไปอีกครั้ง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สงสารพี่เหอเขานะคะ กำลังจะได้กินเนื้อหงส์แล้วเชียว แต่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องไปจัดการก่อนแหละ ขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียในอุบัติเหตุนี้ด้วย

ไหหม่า(海馬)