ห้องห้องหนึ่ง จะเล่นมุกยังไม่รู้จักเล่น อย่าพูดจามากความจะดีกว่า” ประมุขจูใบหน้าสัตย์ซื่อ ร่างกายไร้ความอวบถูกบีบอัดไว้ตรงกลาง กลายเป็นคนเจรจาไป
“ใช่แล้ว เฒ่าหลิวเจ้าไม่รู้จักพูดจา พวกเราเชื่อฟังท่านผู้เฒ่าบรรพชนมอบหมาย ให้คุณชายฉินเป็นผู้นำ” ประมุขโหวรู้ว่ายามนี้ตีก็ตีไม่ชนะ รอจนอีกฝ่ายปิดด่านกักตน ค่อยเก็บเด็กน้อยนี้ทิ้งไป
“เช่นนั้นก็ดี ฉินจิ่วเกอยามนี้คือเจตนารมณ์ของบรรพตสละฟ้าเรา ผู้ใดกล้าคิดคดทรยศ ล้วนฆ่าไม่ละเว้น!”
กล่าวจบ เฒ่าเสียเยว่แหวกเปิดมิติ ก่อนหายเข้าไปในนั้น
ทอดทิ้งสี่ประมุขที่ไม่กล้าระบายโทสะไว้ ทั้งสี่แปรขบวนยืนล้อมวง นั่งลงตระเตรียมรอคอยฉินจิ่วเกอร้องเพลง
ยามที่เฒ่าเสียเยว่ยังแข็งแรงเปี่ยมพลังเมื่อครั้งกระโน้น อาศัยกำลังของผู้ฝึกวิชาปีศาจและเผ่าพิสดารผสานเสริม สามารถบุกเบิกพื้นที่รอยต่อพรมแดนสองเผ่าออกไปได้อย่างกว้างขวาง
สถานที่ตั้งของแนวเทือกเขาบรรพตสละฟ้า กดทับอยู่บนชีพจรแผ่นดินเส้นหนึ่ง ความลับนี้มีเพียงเฒ่าเสียเยว่ที่รู้
สถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ฝึกวิชา ทั้งยังอัดแน่นด้วยไอพลังที่มีสรรพคุณในการรักษาเยียวยา มันผ่าเปิดมิติเข้าสู่เทือกเขานั้น เหินเข้าสู่ชีพจรดินเริ่มฟื้นสภาพ
ภายในห้องโถง ฉินจิ่วเกอเดินเป็นหนูติดจั่น ไม่กล้าเอ่ยวาจา สี่ประมุขห้อมล้อมมันราวปีศาจบีบวงเข้ามา ฉินจิ่วเกอยามนี้ไม่ต่างจากนั่งอยู่บนเตาหลอมโอสถ
ยิ่งเมื่อรวมกับสีหน้าของสี่ประมุขขุนเขาที่กระเหี้ยนกระหือรือ ฉินจิ่วเกอรู้สึกตนเองไม่น่ารอด
ชายหนุ่มขยี้ตา ต้องการมองโลกอันอัปลักษณ์ที่มอบความสิ้นหวังให้แก่มันให้ชัดๆ
“อะ อาวุโสทั้งสี่”
“อาวุโสอันใดกันเล่า” ประมุขหลิวออกปากก็บีบคั้นคน “พูดจาติดๆ ขัดๆ ติดอ่างเหรอ? เจ้ามีอันใดคิดบัญชาพวกเรา พวกเราทั้งสี่จะทำถวายให้แก่เจ้า”
“ได้ยังไงกัน” ฉินจิ่วเกอหน้าเขียว เจ้าคิดว่าข้าอยากทำนักรึไง “ผู้เยาว์เพิ่งเริ่มงานเป็นครั้งแรก ยังหวังเหล่าอาวุโสช่วยชี้แนะ”
“ชี้แนะนั้นไม่กล้า” ประมุขหยางที่ตำแหน่งสูงสุดเอ่ย “ข้าให้ศิษย์พาประมุขน้อยไปพักผ่อนก่อน ดีหรือไม่?”
“ดีมาก” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “ขอน้ำกะละมังนึงด้วย”
ยังไงก็ต้องล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย เหม็นเน่าจะแย่ หรือว่าเป็นเพราะตนเองขอบเขตต่ำต้อยเกินไป ฉินจิ่วเกอสัมผัสได้ว่าพลังยุทธ์ของทั้งสี่ที่เบื้องหน้า สมควรอยู่กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดหรือมากกว่า
ทว่าความสามารถที่พวกมันแสดงออกมา เพียงอยู่ในขอบเขตสามดวงธาตุหรือสี่ดวงธาตุ
ฉินจิ่วเกอพบเจอกลั่นดวงธาตุมาไม่น้อย หรือว่านี่จะเป็นปัญหาของสายเลือดประหลาดของพวกมัน
ประมุขหยางเรียกหาหัวหน้าศิษย์ในสำนักมาพาฉินจิ่วเกอเข้าไปพักผ่อน ที่จริงมันไม่ต้องพาคนมานำทางก็ได้ ตึกอาคารที่ใช้ได้ยามนี้มีเพียงตัวตึกซอมซ่อพังมิพังแหล่ไม่กี่หลังเท่านั้น คิดเข้าห้องยังต้องปีนหน้าต่าง
“พี่น้องท่านนี้มีนามว่าอะไร?” ตนเองเป็นศิษย์เอกพรรคหลิงเซียว ส่วนผู้อื่นเป็นศิษย์เอกบรรพตสละฟ้า หากถกถึงระดับขั้นถือเป็นรุ่นเดียวกัน ดังนั้นคิดสื่อสารกับมันไม่เกร็งเท่าใด
“เหอเหอ” อีกฝ่ายเพียงพ่นออกมาสองคำ หน้าดำคร่ำเครียด ไม่คิดสนทนาด้วย
ฉินจิ่วเกอในที่สุดก็บังเกิดความซาบซึ้งถึงกระดูก สองคำนี้พอแค่นเสียงผ่านลำคอผู้คนแล้วชั่วช้าน่ารังเกียจขนาดไหน มันเก็บความคิดไม่กล้าประเมินอีกฝ่ายเรื่องสภาวะจิตไป หันมาประเมินรูปลักษณ์ภายนอกแทน
อีกฝ่ายมีเขางอกออกมา ปล่อยหางม้ายาวลงมาด้านหลัง ด้านพลังฝีมือยิ่งไม่น่าพูดถึง คล้ายก้าวผ่านพิสุทธิ์ไพศาลไปแล้ว แค่คิดยังไม่กล้าคิด
“พี่ท่านแซ่หลง?” ที่จริงทั้งสี่ประมุขก็มีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกชื่อแซ่อยู่แล้ว ดังนั้น ฉินจิ่วเกออดไม่ได้ที่จะคาดเดาวุ่นวาย
เผ่าพิสดาร คือเผ่าที่ไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งมนุษย์และอสูร ดังนั้นชื่อแซ่เป็นพวกมันทั้งหมดพวกมันล้วนแต่เป็นการตั้งขึ้นให้แก่ตนเอง จะหาความไพเราะจากไหน
หลงเฟิงส่งเสียงอืมบางเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมาคำหนึ่ง ดูท่าเจ้าเด็กน้อยนี้ใช้เวลาความคิดกับบรรพตสละฟ้ามาไม่น้อย มิเช่นนั้นแม้แต่ชื่อแซ่ของมันไยจึงทราบกระจ่างได้ ไม่ได้มาดีแน่
“ที่จริงหากถกถึงลำดับชั้น ท่านและข้าอยู่ระดับเดียวกัน ข้าคนนี้เปี่ยมไปด้วยใจปรารถนาดีคิดคบหาสหาย พวกเราจะได้สนทนากันอย่างออกรส”
“เหอะเหอะ”
“ไม่ทราบพี่หลงท่านพบพานเนื้อคู่แล้วหรือยัง ต้องการให้ข้าช่วยแนะนำสักคนสองคนหรือไม่?”
หลงเฟิงยังคงรักษาสีหน้าแข็งทื่อเย็นเยียบ เอ่ยวาจาไร้อารมณ์ “ไม่สนใจ”
” เอางี้เถอะ” ฉินจิ่วเกอเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ข้ารู้จักอาวุโสสี่ผู้หนึ่ง เป็นนักปรุงยา ถึงจะเจ้าเล่ห์และเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่บ้าง แต่ว่ามีฝีมือทางศิลปะ ข้าจะแนะนำเจ้าไปรับการรักษาสักหน่อยดีหรือไม่? วางใจเถอะ ค่ารักษาจะลดให้พิเศษยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
หลงเฟิงสะกดความรู้สึกคิดชักเท้าเดินหนีออกมา ในใจลอบครุ่นคิด หรือว่าสี่ประมุขเห็นแล้วว่ามันเป็นพวกน่ารำคาญแบบนี้ เด็กน้อยนี่ไม่ใช่คนดีจริงๆ
“ข้าสบายดีสุดๆ” หลงเฟิงเร่งฝีเท้า คิดรีบนำทางรีบจบภารกิจ
ฉินจิ่วเกอไม่รีบไม่ร้อน คนคิดคบหาสหายเพิ่มเติม “การทุ่มเทฝึกฝีมือเป็นเรื่องดี พวกเรามาลองเล่นงัดข้อกันหน่อยดีหรือไม่? ตัวข้าฝึกฝนมากว่าสิบแปดปี มีวิชากิเลนเป็นวิชาเฉพาะ ทั่วหล้าไม่มีใครสู้ได้”
“ฮ่าฮ่า” เจ้าผู้นี้ไม่เพียงชั่วร้าย ยังหน้าด้านด้วย
เจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอก ไร้ยางอาย
“เจ้าต้องอยู่เป็นโสดชั่วชีวิต” ฉินจิ่วเกอลั่นคำสาปแช่งอันสาหัสที่สุดออกมาแล้ว เด็กน้อยนี้ไม่รู้จักการพูดจา เขาแหลมบนหัวมันก็คือสายล่อฟ้า ยามฝนตกฟ้าผ่ามันต้องหดหัวในผ้าคลุมโปงสั่นเป็นเจ้าเข้า
“เอาล่ะ ถึงแล้ว ไปล่ะ” หลงเฟิงนำทางมาถึงห้องห้องหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็ตระเตรียมจากไป
ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน นี่มันดูถูกความเป็นมนุษย์กันชัดๆ สภาพห้องแบบนี้ แม้แต่หลุมฝังศพยังดูดีซะกว่า นี่ล้อข้าเล่นงั้นหรือ มันที่คนนอนซะที่ไหน?
“เจ้าเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” ฉินจิ่วเกอหลั่งน้ำตา “ห้องนี้เทียบกับหลุมศพยังน่ากลัวกว่า แค่สะเทือนนิดหน่อยก็คงถล่มลงมาแล้ว เกิดข้านอนๆ ไปกรนเสียงดังขึ้นมาหน่อยสงสัยคงพังราบ พวกเจ้าก็คงไม่ต้องเสียเวลาขุดหลุมฝังข้าด้วยซ้ำ นึกว่าข้าไม่รู้หรือไง”
หลงเฟิงปราศจากความหวั่นไหวใจใดๆ ต่อหยาดน้ำตาของฉินจิ่วเกอโดยสิ้นเชิง บนใบหน้าราวน้ำแข็งปรากฏเส้นสายน่าดูขึ้นมาเล็กน้อย “นี่เป็นหลังเดียวที่เหลืออยู่จากเมื่อครู่ที่เจ้าโหม่งทลายไปหลายหลัง”
“นั่นมันเฒ่าเสียเยว่ที่เตะข้าต่างหาก ข้าไม่เกี่ยว เจ้าอยากมีเรื่องก็ไปหามันสิ”
เมื่อเอ่ยถึงเฒ่าเสียเยว่ หลงเฟิงไม่หือไม่อือ ไม่เคารพไม่ยกย่อง “เหอเหอ”
ฉินจิ่วเหอหน้าเปลี่ยนสี ถกแขนเสื้อขึ้น เด็กน้อย พยัคฆ์เฒ่าไม่แยกเขี้ยวก็คิดว่าเป็นแมวหรือไง อย่าเห็นว่าข้าระดับแค่หลอมวิญญาณ ถ้าข้าระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ เจ้ารับมือไม่ไหวแน่!”
“ข้าไม่สน ข้าไม่อยู่ที่นี่”
“เรื่องของเจ้า พื้นหญ้าลำต้นยอดไม้ เจ้าเลือกเอาเองเถอะ”
“เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอกนะ!”
“เหอะเหอะ”
ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ มันแก้สายรัดเอวออก “เจ้านี่ เชื่อหรือไม่ว่าดึกดื่นค่อนคืนข้าจะไปแขวนคอตายอยู่หน้าประตูเจ้า รอจนเจ้าตื่นขึ้นมา ฟ้าสางสว่างแจ้ง ข้าจะแลบลิ้นยาวสามชุ่นของข้า แหกลูกกะตาจ้องมองเจ้าให้สติแตก!”
หลงเฟิงหยุดเท้า ช่างเป็นฝีมือที่ไร้ยางอายนัก ทว่าก็ได้ผลชะงัด
หลงเฟิงถอนหายใจยาว บนใบหน้าเยียบเย็น สุดท้ายเค้นรอยยิ้มต้อนรับพลทหารคืนสู่ถิ่นเกิดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าเราไม่เตรียมการให้เจ้า แต่บ้านทุกหลังมีคนอาศัยทั้งสิ้น ถ้าเจ้าไม่ถือสาเบียดเสียดเล็กน้อย ข้าสามารถ…”
“ช่างเถอะช่างเถอะ” อา ปวดหัว ข้าปวดหัวแทบระเบิดแล้ว “เอาผ้าคลุมเตียงมาให้ข้าผืนหนึ่ง แล้วก็ไม้สองท่อนด้วย”
“จะแขวนตัวนอน?”
“ไม่ใช่ ทำเปลต่างหาก ไอคิวอย่างเจ้าข้าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เหอะเหอะ”
“บัดซบ นั่นมันประโยคหากินของข้า มาแย่งชามข้าวข้ารับประทานทำอะไร? ข้ามาบรรพตสละฟ้าเพื่อเก็บหนี้ พรุ่งนี้ให้เอาบัญชีรายรับรายจ่ายของที่นี่มาให้ข้า ข้าต้องการตรวจสอบทรัพย์สิน”
คืนนั้น พายุฝนตกกระหน่ำ ทั้งลมมรสุมทั้งเม็ดฝนเม็ดโป้งๆ ถล่มลงจากฟ้า สายวิชชุผ่าเปรี้ยงเปรี้ยงจนหัวหมุน
ด้วยระดับพลังขั้นหลอมวิญญาณของฉินจิ่วเกอ มันจะไปทำอะไรได้ คนถูกบีบคั้นจนต้องเข้าไปนอนขดงอก่องอขิงอยู่ในห้องโทรมร้างนั้น ภาวนาให้มันไม่ร่วงถล่มลงมา
ฉินจิ่วเกอไม่ฝันดี สี่ประมุขขุนเขาเองก็ใช่จะหลับสบาย
ทั้งสี่รวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ แสงเทียนมลังเลืองทอวับแวมบนใบหน้าเฒ่าชราทั้งสี่
อัปลักษณ์ อัปลักษณ์ยิ่ง อัปลักษณ์จนไม่อาจละสายตาได้
ยังมีหลงเฟิง คนทั้งห้านับเป็นศูนย์กลางอำนาจของบรรพตสละฟ้านี้
“เจ้าเฒ่านั่นกลับมาจนได้” ประมุขหยางเค้นหัวข้อออกมาอย่างขมขื่นเคียดแค้น ลมหยินเย็นยะเยือกพัดวนในห้องโถง ดำมืดยิ่งกว่าผีร้าย
ประมุขหลิวไม่กล้าแม้แต่จะออกวาจาเสียงดัง แผ่สัมผัสเทวะออกไปทั่วทุกซอกมุมในบรรพตสละฟ้า เมื่อยืนยันว่าไม่มีผู้ใดจริง ค่อยกล้าออกเสียง
“มันหายไปพันปี ไม่รู้เป็นตายร้ายดีมาตลอด ตอนนี้กลับมา พวกเราสมควรทำอย่างไรดี?” บนใบหน้าของประมุขหลิวพาดผ่านรอยแผลเป็นราวตะขาบยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ เป็นรอยแผลที่ครั้งกระโน้นเฒ่าเสียเยว่หลงเหลือไว้จากการใช้พลังกฎเกณฑ์ทำร้าย
รอยแผลตะขาบสั่นสะท้านบนใบหน้าขนาดเท่าศีรษะวัว
“มันคือกฎสรรพสิ่ง บรรพตสละฟ้าเป็นมันก่อตั้ง และก็ร่วงหล่นลงในมือมันเช่นกัน บรรพตทั้งหมด ไม่อาจต้องมาสังเวยในเงื้อมมือคนเห็นแก่ตัวของมันเพียงผู้เดียว!” ประมุขโหวเดินไปเดินมา เอ่ยวาจาด้วยความตื่นประหม่า
ประมุขหยางยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทั้งสามนั่งลงให้ดี “พวกเรารักษาสภาวะกองทัพสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวชั่วคราว เมื่อยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของตาเฒ่านั่น หากเร่งลงมือเกรงว่าเป็นโชคร้ายมากกว่าวาสนา ที่น่าสนใจคือเจ้าเด็กมนุษย์ที่มันพากลับมาด้วยนั่น ที่แท้เป็นมาอย่างไรกันแน่?”
สี่ประมุขมองไปทางหลงเฟิงโดยพร้อมเพรียง เมื่อครู่เป็นมันที่เดินไปส่งฉินจิ่วเกอ เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่างไรต้องมีหัวข้อสนทนาแลกเปลี่ยน จึงไต่ถามความประทับใจของมันต่อฉินจิ่วเกอ ประเมินพื้นเพของเด็กน้อยนั้น
เห็นสี่ประมุขมองมาทางตนเอง หลงเฟิงเท้าไม่ติดพื้นรีบทะลึ่งลุกขึ้นรายงาน “เด็กน้อยนั่น ชั่วช้าไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทน ใช่แล้ว มันบอกให้พวกเราเตรียมบัญชีให้พร้อม พรุ่งนี้มันจะมาตรวจสอบทรัพย์สิน”
” แม้แต่เจ้ายังมองไม่ออก?” ประมุขหยางฟังหลงเฟิงบรรยายสรรพคุณของฉินจิ่วเกอ ต้องลอบหนักใจ
เฒ่าเสียเยว่คือกฎสรรพสิ่งที่ชิงชังและไม่คบค้าสมาคมกับพวกระดับต่ำ คนที่มันพากลับมาด้วยย่อมไม่มีทางเป็นเพียงเศษสวะ
เช่นนั้น ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวคือหลงเฟิงยังไม่อาจมองทะลุถึงเด็กน้อยนี้ได้
“เด็กนั่นย่อมเป็นคนที่ตาแก่ทิ้งไว้จับตาพวกเรา ข้าดูออกว่าตาแก่รับบาดเจ็บสาหัสมา เกรงว่าเป็นตาแก่นั่นหลบหนีออกมาจากกับดักที่คุมขังกฎสรรพสิ่งไว้ได้พันปี ดูท่าคงผ่านมาได้อย่างยากลำบาก” ประมุขหลิวแผลเป็นสั่นกระตุก อ้าปากเลียริมฝีปากช้าๆ
กับตาเฒ่าเสียเยว่แล้ว พวกมันทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำในบรรพตสละฟ้า โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิดเช่นพวกมัน ไม่มีใครไม่โกรธเกลียดเคียดแค้น
“เด็กนั่นสมควรรู้เรื่องบ้าง ตาแก่นั่นเองก็คงไม่ติดต่อกับมันมากเท่าใด พวกเราสามารถใช้ประโยชน์ได้” ประมุขหยางใช้ไหวพริบ หยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้มันจะมาตรวจทรัพย์สิน?”
หลงเฟิงผงกศีรษะ ในใจของมันเทิดทูนบูชาสี่ประมุขมากกว่าเฒ่าเสียเยว่เป็นไหนๆ ยังเจือด้วยความสำนึกบุญคุณ
ประมุขโหวเกาแก้มแกร่กๆ เอ่ยเสียงร้อนรน “บรรพตสละฟ้าถูกทิ้งร้างมานานพันปี สมบัติพัสถานใดๆ ล้วนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ที่เหลือก็มีแต่เปลือก มันที่แท้ต้องการอะไร?”
“หรือที่จริงเป็นตาแก่คิดให้มันเบิกทรัพยากรฝึกปรืออันใดออกมา หากเอาออกมามิได้ พวกเราก็แย่แล้ว” ประมุขหลิวหลุบตา เหงื่อออกเต็มหน้า
ผู้ฝึกวิชาปีศาจ ไม่ใช่ชนชั้นที่จะยอมฟังเหตุผลใดๆ ฝึกปรือโดยใช้สี่ยอดคนกลั่นดวงธาตุ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไวกว่าการรับประทานโอสถวิเศษหญ้าพิสดารใดๆ
แต่ไหนแต่ไร ด้วยอุปนิสัยของเฒ่าเสียเยว่ก็ไม่เคยนับว่าแปดประมุขขุนเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าไว้วางใจอยู่แล้ว มันย่อมทำได้อย่างแน่นอน!