ตอนที่ 117 สูงส่งมากรสนิยม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

หลงเฟิงทั้งหดหู่ทั้งละอาย “ต้องโทษที่พรสวรรค์ข้าไม่ดี ทรัพยากรสุดท้ายของบรรพตสละฟ้าจึงต้องหมดไปเช่นนี้”

“นี่ไม่ใช่เพราะเจ้า แต่เป็นพวกเราสี่ผู้เฒ่าต่างหากที่ใช้การไม่ได้” สี่ประมุขขุนเขาที่ยังเหลืออยู่ต่างมองหลงเฟิงเป็นเหมือนหลานในไส้ กระทั่งเป็นความหวังสุดท้ายของบรรพตสละฟ้า

ประมุขหยางหัวเราะกล่าวพลางตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าอย่าได้รู้สึกกดดันนักเลย ในเวลาหนึ่งร้อยปี เจ้ากลับบรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นสอง พรสวรรค์ระดับนี้หากเทียบกับสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์เห็นทีจะมีแต่ศิษย์เอกหัวกะทิพวกนั้นที่พอจะเทียบได้”

” แต่เจ้าเด็กนั่นพรุ่งนี้จะมาตรวจบัญชีทรัพย์สิน หากให้มันรู้ว่าสมบัติทั้งหลายในคลังถูกพวกเราใช้หมดสิ้น ไม่รู้ว่ามันและตาแก่นั่นเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้” ประมุขจูกล่าวกระตุ้น นัยน์ตาสัตย์ซื่อยามนี้ปรากฏแววกลอกกลิ้งชั่วร้าย

สามประมุขหัวเราะลั่น “เฒ่าจู มีเจ้าอยู่ ทำบัญชีปลอมขึ้นมาสักหลายเล่มไม่เห็นยาก บรรพตสละฟ้าใหญ่โตปานนี้ ผ่านไปหนึ่งพันปี ใช้เงินทองรบรากับกองกำลังภายนอก ซ่อมแซมประตูหน้าต่างก็หมดแล้ว”

หากให้ช่วยประมุขจูทำบัญชีปลอม ประมุขหยางไม่วางใจฉินจิ่วเกอ อันที่จริงพวกมันยังไม่รู้ว่าฉินจิ่วเกอยืนอยู่ตรงจุดไหนในเรื่องนี้

ดังนั้น ทั้งสี่ประมุขขุนเขาหารือกันอย่างดุเดือดในห้องโถง มอบหมายหลงเฟิงไปตรวจสอบฉินจิ่วเกออีกครั้ง

หลงเฟิงผลักเปิดประตูไม้กรอบแกรบแตกกะเทาะ กระดาษปิดบานหน้าต่างส่งเสียงซ่าซ่า ปล่อยให้สายลมภูเขาเจือกลิ่นชื้นแฉะพัดเข้ามาภายในห้อง

ทางด้านนอก ลมพายุฝนห่าใหญ่หยุดลงแล้ว ดวงจันทรากระจ่างฟ้า เผยโฉมออกมาหลังฝนครึ่งดวง

แสงจันทร์สีขาวซีดเรืองรอง เพิ่มพูนความเปลี่ยวร้างเงียบเหงาแก่บรรพตสละฟ้าอีกหลายส่วน

ทุกที่ทางเต็มไปด้วยผืนดินแห้งแล้งขาดแคลน หลังค่ายสำนักมีป่าไผ่หร็อมแหร็มผืนใหญ่ ภายในมีเงาคนกำลังขุดคุ้ยอะไรบางอย่าง ดูเผินๆ เหมือนกำลังขุดสุสาน

หลงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก เลื่อนมือปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเดินเข้าสู่ส่วนในของบรรพตสละฟ้า

เพราะอาศัยอยู่ที่นี่มานมนาน หลงเฟิงจึงมีความคุ้นเคยกับบรรพตสละฟ้าอย่างถึงที่สุด ต่อให้ปิดตาเดินก็ไม่มีวันไปชนเข้ากับสิ่งใด

ยามนี้ฝนหยุดแล้ว ฉินจิ่วเกอเริ่มครุ่นคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้า ตัวมันในตอนนี้ไม่ต่างจากหมั่นโถวรอคนเชือด ดีไม่ดีอาจได้ตายอยู่ที่นี่จริงๆ

ดูจากการตอบสนองของสี่ประมุขขุนเขาในวันนี้ พวกมันใช่ว่าจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีงามกับเฒ่าเสียเยว่เสมอไป

เฒ่าเสียเยว่ปิดด่านฟื้นคืนกำลัง ฉินจิ่วเกอฝึกปรือหมื่นมารทมิฬ และก็เป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายเป็นอย่างดีที่สุดด้วย

วันนี้เป็นวันที่เฒ่าเสียเยว่ปิดด่าน และก็คงจะเป็นวันที่ถูกสี่ประมุขขุนเขาฆ่าตายด้วยเช่นกัน

รอจนตาแก่นี่ออกด่านก็ยังไม่แน่ว่าจะปลอดภัย ดีไม่ดีอาจยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก

อย่างไรเสียฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่แล้ว

ส่วนมัน จัดว่าอยู่ในประเภทยอมทานรับความเจ็บปวดอยู่เงียบๆ เปรียบดั่งวีรชนไม่ออกนามที่บุกตะลุยเข้าสู่วงล้อมศัตรู ไม่ได้เป็นคนประเภทเดียวกันกับอีกฝ่าย

ตอนนี้ฉินจิ่วเกอก็เลยถูกหนีบอยู่ตรงกลาง และที่มันกลัวที่สุดก็คือสี่ประมุขและเฒ่าเสียเยว่แตกคอ เข่นฆ่ากันและกัน

ไม่ว่าจุดจบจะเป็นแบบไหน ต่อให้ฟื้นพลังกลับมาก็เป็นเพียงขอบเขตปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์อยู่ดี คิดหนีก็หนีไม่รอด

รอจนฝนซา ฉินจิ่วเกอก็ใช้แสงจันทร์เป็นสื่อนำทาง ย่ำเดินไปตามพื้นโคลนอันเฉอะแฉะ พอมาถึงหลังเขา ป่าไผ่ผืนใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา

ภายในป่า ทุกที่ทางล้วนมีแต่เงาผีชุกชุม ลมหนาวพัดกระโชกมาหอบหนึ่ง ราวกับว่าอีกสักพักก็จะมีขุมนรกอเวจีติดขาวิ่งออกมา

ในยามปกติ ชาวบรรพตสละฟ้าล้วนไม่คิดย่างกรายเข้าใกล้ป่าแห่งนี้ ในละแวกแม้แต่บ้านสักหลังยังไม่มีให้เห็น

ฉินจิ่วเกอที่อยู่ในห้องเก็บฟืนเจอจอบวางอยู่ชิ้นหนึ่งเลยหยิบขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ภายในป่า

ฉวยโอกาสที่สี่ประมุขยังไม่มาตอแย ตนมิสู้ขุดอุโมงค์หลบหนีเอาไว้ก่อน ถึงตอนนั้นเกิดต้องซ่อนตัวขึ้นมา อย่างน้อยก็ช่วยให้พออุ่นใจได้บ้าง

ยิ่งไม่ต้องพูดว่าใต้แสงยังมีเงามืด ความคิดนี้ถือว่าบรรเจิดเพริศแพร้วเป็นอย่างยิ่ง

หลังค่ำคืนพิรุณกระหน่ำผ่านพ้นไป แสงจันทร์มัวสลัวก็สาดทอลงสู่เส้นทางอันเก่าแก่เปลี่ยวร้าง

ภายในป่าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ชุกชุม ดวงวิญญาณส่องแสงวูบวาบ จักจั่นไม่กล้าส่งเสียง

มีหนุ่มรูปงามกำลังอาบเหงื่อต่างน้ำ ดิ้นรนเงื้อจอบในมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระทุ้งลงบนดินเพื่อขุดหลุม

ด้านข้างเริ่มมีกองดินก่อตัวเป็นภูเขาขนาดย่อม แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังตั้งหน้าขุดหลุมต่อไป

เสียงขุดเจาะผิวดินอันทึบทุ้มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงสะท้อนไปทั่วทั้งผืนป่า

แสงสลัวอึมครึมบนฉากหลังยิ่งช่วยให้ดูเหมือนว่ากำลังมีผีตัวหนึ่งขุดสุสานอยู่อย่างไม่ลดละ

หลงเฟิงผู้ได้รับคำสั่งจากสี่ประมุขก้าวเดินออกจากห้องโถงในเวลากลางดึก ตระเตรียมปลุกกระตุ้นกำลังขวัญ แล้วค่อยไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย

ใครเล่าจะคาด พอมาถึงหน้าห้องกลับไม่เห็นเงาของฉินจิ่วเกอ หลงเฟิงรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ

มารดามันเถอะ เจ้าหมอนี่คงจะไม่ได้ตั้งใจจะไปแขวนคออยู่หน้าห้องตัวเองจริงๆ หรอกใช่ไหม?

คิดแล้วก็รีบสับเท้าวิ่งกลับเรือนน้อยของตน นัยน์ตาขยายกว้างอย่างประหม่ากังวล รูม่านตาขยายออก เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นบนปลายจมูกขาว มือกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจกลายเป็นถี่กระชั้นขึ้น

อ๋า?

หน้าประตูไม่มีอะไรแขวนอยู่นี่นา! หรือเจ้าทารกน้อยนั่นจะไปผิดบ้าน?

ด้วยความคิดเสี่ยงโชค หลงเฟิงกวาดตามองต้นไม้ที่โน้มกิ่งลงมาจนครบทุกต้น แต่ก็ไม่พบว่าบนนั้นจะมีเนื้อตากแห้งห้อยต่องแต่งไปตามลมอยู่สักชิ้น เห็นดังนี้ก็เบาใจ ยกมือปาดเหงื่อบนปลายจมูก แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้หลงเฟิงเดินมาถึงป่าไผ่น้อยบนหลังเขา

พอเข้าใกล้ก็มีเสียงเคร้งเคร้งทึบหนักดังแว่วมา สร้างความแตกตื่นขวัญหายให้กับหลงเฟิง

ภายในป่าไผ่เมืองผีที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสลัวๆ ภายในคล้ายมีเงาคนกำลังเดินลากแขนขาที่ยาวจนผิดมนุษย์ไปมา ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างดุดันคล้ายกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่าง

หลงเฟิงยืนลุ้นจนตัวโก่ง ไม่ทราบอันใดจริงอันใดเท็จ ไม่กล้าปริปากส่งเสียงออกมาสักแอะ

ฉินจิ่วเกอขุดหลุมขนาดใหญ่ ขณะกำลังผ่อนลมหายใจ สัมผัสอันเฉียบคมก็รับรู้ว่าภายนอกป่าไผ่ปรากฏคนนอกมาถึง

คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ฝึกวิชาปีศาจ คือต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ

ก่อนที่หลงเฟิงจะเข้ามา ฉินจิ่วเกอชิงลงมือก่อน มันทิ้งจอบในมือ เดินโซซัดโซเซออกไป

ในใจพร่ำเตือนตนเอง ตอนนี้มันถือเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจครึ่งหนึ่ง ย่อมต้องหัวเราะอย่างหนักหน่วง มิเช่นนั้นย่อมไม่อาจสื่อออกมาถึงลักษณะดุร้ายชั่วช้าของผู้ฝึกวิชาปีศาจได้

ไม่เพียงต้องสามารถหยุดเสียงทารกร้องไห้ อย่างน้อยคนที่มาขวางทางมันต้องแตกกระเจิงหนีพ้นทางไป

ขณะที่หลงเฟิงกำลังตระเตรียมเดินเข้าไปในป่าไผ่ ก็มองเห็นบางอย่างใต้แสงจันทร์ นั่นเป็นใบหน้าอันอัปลักษณ์ชั่วร้ายยิ่ง

รอยยิ้มของมันดูชั่วช้าผิดมนุษย์ เนื้อตัวมีแต่เศษดินเศษหญ้าติดกรัง

ดูปราดแรกหลงนึกไปว่าเป็นผีดิบลืมหลุมแยกเขี้ยวขาวชะโงกคอหมายสูบเลือดผู้คน

ฉินจิ่วเกอก็ยังตั้งหน้าตั้งตาหัวร่ออย่างคลุ้มคลั่งไม่เห็นหัวใครต่อไป อย่างไรเสียผู้ฝึกวิชาปีศาจก็ต้องทำตัวให้ดูอหังการ์เสียหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเวลากลางคืนเยี่ยงนี้ยิ่งช่วยให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าคิดปล้นชิงล้วนทำได้อย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติ

ส่วนหลงเฟิงนั้นเล่า ตอนนี้กำลังยืนโง่งมอยู่กับที่ นัยน์ตาทั้งสองสะท้อนใบหน้าของเจ้าคนปัญญาอ่อนที่กำลังหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ

สมควรตาย เจ้าหมอนี่ใช่กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือไม่ ถึงได้หัวเราะได้ชั่วช้าขนาดนี้

” เจ้ามาทำอะไรในป่า?” ยังนึกว่าตัวเองเจอดีเข้าให้แล้วไม่หาย โทนเสียงของหลงเฟิงจึงไม่มีเค้าความเป็นมิตร สะกดความคิดฆ่าฟันอีกฝ่ายลงไปอย่างเต็มกลืน

“อา ดวงดาวจันทราปักษาเหินทักษิณ อากาศดีอะไรอย่างนี้นะ” ฉินจิ่วเกออ้างเรื่องดินฟ้าอากาศขึ้นมาแทน มันย่อมไม่หลุดปากบอกหลงเฟิงแน่นอนว่าตนเองกำลังขุดทางหนีอยู่

“พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยได้ไหม” หลงเฟิงพยายามสะกดสายตาตัวเองให้มองไปทางอื่น ไม่คิดมองหน้าอีกฝ่าย

แววตาฉินจิ่วเกอมีแต่ความเศร้าหมอง มันเข้าใจหัวอกหลงเฟิงดี ก็ในเมื่อตัวมันดันเกิดมารูปโฉมหล่อเหลาปานนี้ ยามหัวเราะล้วนเฉิดฉายจนจันทราต้องซ่อนเร้น ผู้คนต้องริษยา จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรู้สึกกดดัน

เวลาที่เจ้าอ้วนน่าตายมองตนเอง ก็ยังต้องเต้นกระตุกคล้ายเป็นโรคลมชัก

“ข้าเห็นว่าที่นี่มีฮวงจุ้ยไม่เลว ด้านหน้ามีมังกรครามพาดผ่าน ด้านหลังมีพยัคฆ์ขาวเร้นหมอบ เหนือใต้ล้วนปลอดโล่งถึงกันแสดงถึงสินทรัพย์ไหลเพิ่มพูน พ้องกับคำที่ว่าเฒ่าชราหวนรำลึกคะนองวัย ข้าดูแล้วที่นี่เป็นทำเลทอง จึงอดไม่ได้ต้องปล่อยของสักรอบหนึ่ง”

“ปล่อยอะไรรอบหนึ่ง?” คนยังคงยืนเขย่งเกงกอย ยกมือปิดหางตาเอาไว้ไม่ให้เห็นหน้าอีกฝ่าย ทั้งยังเบี่ยงตัวไปทางป่าไผ่น้อยแทน

“อย่า อย่ามอง” ฉินจิ่วเกอรีบเข้ามาขวางอยู่หน้าหลงเฟิง กางแขนออกดั่งนกยูงแผงขน

หลงเฟิงยิ่งมีน้ำโห เจ้าผู้นี้แน่นอนว่าไม่คิดทำเรื่องดีงาม มันยิ่งปักใจว่าต้องเข้าไปดูพื้นดินข้างในให้ได้ ฉินจิ่วเกอร้อนรนยิ่ง หากเจ้าเข้าไปพบว่าข้ากำลังเตรียมทางหนี เกิดวิ่งไปฟ้องเจ้าเฒ่าเสียเยว่ขึ้นมา ข้าไม่เท่ากับรนหาที่?

ยิ่งไม่ต้องกล่าว สี่ประมุขขุนเขาอะไรนั่นรังสีเป็นศัตรูกับมันเข้มข้นยิ่ง พวกมันเองก็ไม่ใช่ตัวดีอันใด

บุรุษหนุ่มผู้ถึงพร้อมทั้งรูปโฉมและความโดดเด่น พวกเจ้าหักใจได้หรือ?

“ไม่ต้องดูแล้ว ก็แค่ห้าธัญญะกลับสังสาร แค่คืนปุ๋ยน่ะ คืนปุ๋ย” ฉินจิ่วเกอปั้นสีหน้าแดงเห่อ ในที่สุดก็หาข้ออ้างที่ต่ำชั้นขึ้นมาได้ประการหนึ่ง

อย่างไรฉินจิ่วเกอก็เป็นประมุขน้อยบรรพตสละฟ้า หลงเฟิงเองเกรงว่ามันจะไปรายงานต่อเฒ่าเสียเยว่ สร้างเรื่องราวปัญหาต่อสี่ประมุขขุนเขาขึ้นมา

ดังนั้นหลงเฟิงเองก็ไม่กล้าฝืนบังคับ ยิ่งไม่กล้าทำอันใดต่อพฤติการณ์ต่ำช้าเช่นนี้

ทั้งสองฝ่ายต่างเกรงว่าอีกฝ่ายมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฒ่าเสียเยว่ หากเรื่องถึงหูมันขึ้นมา ล้วนมิใช่เรื่องดีอันใด

“คืนปุ๋ย?” มันคร่ำเคร่งฝึกปรือวิชาหลายปี หลงเฟิงเองก็ไม่ได้ไถ่ถามเรื่องราวทางโลก มันไม่เข้าใจว่าฉินจิ่วเกอกล่าวอะไร

“แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ? ห้าธัญญะกลับสังสาร คืนปุ๋ยไง!” ฉินจิ่วเกอยกมือตบหน้าผาก ส่ายศีรษะไปมา เจ้าผู้นี้คงไม่เคยออกไปดูโลก ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุแล้วอย่างไร

สองเท้าหลงเฟิงตรึงแน่นกับพื้น คนมึนงงสงสัย

ห้าธัญญะกลับสังสาร?

ช่างเป็นคำที่หรูหราอลังการอะไรเช่นนี้

ยินดีโกรธขึ้งโศกเศร้าเบิกบานของไพร่ฟ้าประชาชน เกิดตายแตกดับ รับประทานแล้วย่อมต้องระบายออก ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้มหาวิถี คือสังสารวัฏไร้สิ้นสุด

“จิ๊จิ๊” ในใจฉินจิ่วเกอรู้สึกไม่ยินยอม ตนเองอุตส่าห์พยายามหลีกหนีจากรสชาติของอันธพาลชั้นต่ำ กลับต้องมาบีบคั้นให้มันใช้คำพูดอันธพาลร้านตลาดอีก “ก็คือไปส้วมไง ไปขี้น่ะ!”

แถ่ดแถ่ด หลงเฟิงแตกตื่นจนขวัญบิน ต้องถอยกายไปเจ็ดแปดก้าวติดต่อกัน จากนั้นยังถอยต่ออีก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อันว่าเต๋าแฝงอยู่ในอุจจาระเป็นความจริง หากยังคงมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถทานทนได้ กลั่นดวงธาตุเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

หลงเฟิงเลือดขึ้นหน้า มันแทบอยากเอาเขาบนหัวขวิดตัวบัดซบนี่ให้ตายคาที่ “เจ้าอุจจาระที่นี่? เจ้าทำไมไม่ไปเข้าส้วม?!”

ฉินจิ่วเกอไม่พอใจยิ่ง “ฝนถล่มลงมาห่าใหญ่กลางเขา แมกไม้ไกลวารี ส้วมของพวกเจ้าไม่ต่างจากหมั่นโถวลูกหนึ่ง ปกติเข้าไปก็เหมือนป้อมสยองขวัญ ในเมื่อสวรรค์ถ่มน้ำลายใส่ข้าจนท่วมตัวแล้ว จะให้ข้าออกมาว่ายน้ำบ้างไม่ได้หรือ?”

“ยังไงก็ไม่ควรถ่ายที่นี่!” มันกระทืบเท้าที่หนึ่ง พื้นดินถูกกระแทกจนเป็นรอยประทับลึก ดินเหลืองถูกเหยียบย่ำจนเป็นรอยกรวด

“ทำไมจะถ่ายที่นี่ไม่ได้?” ฉินจิ่วเกอไม่ยินดี รู้มั้ยมันเป็นใคร มันเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจนะ!

ข้ายืนถกเหตุผลกับเจ้าอยู่ตรงนี้ก็บุญแค่ไหนแล้ว ยังมาเลือกมากมากเรื่อง ดูท่าพฤติการณ์ของตนเองคงต้องดิบเถื่อนกว่านี้อีกหน่อย ไม่เช่นนั้นไม่อาจสร้างความตกตะลึงแก่ผู้คน

“ที่นี่คือป่า เจ้าว่าเหมาะมั้ยล่ะ?” หลงเฟิงสองเขาชี้ฟ้า อีกประเดี๋ยวข้าจะขวิดมันให้ไส้ไหลเลยคอยดู

“แปลกประหลาดจริง ค่ำคืนงดงามทิวทัศน์ตระการ เที่ยงคืนผลัดเปลี่ยนหมุนวัน ยามที่หยินหยางสลับกลับตำแหน่ง ย่อมต้องระบายถ่ายของเสียออกจากสังขาร ปลดปล่อยออกมาท่ามกลางแผ่นดินกว้างขวางและธรรมชาติ สามารถชำระล้างจิตวิญญาณ ขัดเกลาร่างกาย”

หากประชันฝีปาก หลงเฟิงที่วันๆ เอาแต่ฝึกวิชาไม่อาจเทียบเคียงฉินจิ่วเกอได้

ทั่วทั้งบรรพตสละฟ้า ล้วนไม่อาจหาใครปากดีเท่ามันได้

“เมื่อระบายออกมา ก็ซึมซาบความเจิดจรัสของจันทราและฟ้าดิน ครอบคลุมด้วยประกายแสงดาราบนท้องฟ้า จุดหลิงไถย่อมยิ่วเพิ่มความกระจ่าง เป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในการฝึกวิชา ไหนเลยจะเหมือนเจ้า พวกบ้านๆ พื้นๆ ไร้รสนิยม ไม่มีทางเข้าใจความรื่นรมย์ที่แฝงไว้”

ฉินจิ่วเกอดื่มด่ำกับโลกแห่งจิตวิญญาณที่มันสร้างขึ้นมอมเมาตนเอง

ภายในนั้นปราศจากการแก่งแย่งชิงอำนาจ ปราศจากการเข่นฆ่าช่วงชิง

มีเพียงเงินทองและสุภาพชน เงินทองมากมาย สุภาพชนมหาศาล

รสนิยมสูงส่ง สันโดษเหนือโลกีย์

หลงเฟิงไม่อาจทนมองดูสีหน้าของอีกฝ่ายได้ มันหมุนกายไปขนลุกทั่วตัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มันเห็นคนเอาเรื่องถ่ายท้องมาบรรยายจนกลายเป็นงดงามสูงส่งถึงเพียงนี้ เรื่องอื่นมันไม่อาจประเมินได้แม่นยำเท่าใด แต่มันรับประกันได้ว่าหมอนี่หนังหน้าไม่บางแน่นอน