“ว่ายังไง อยากเข้าไปเสพซับสักหน่อยไหม เหลืองอร่ามดีจริงๆ” ฉินจิ่วเกอเลิกคิ้ว ทำท่าประดุจเจ้าบ้านต้อนแขกเหรื่ออย่างอบอุ่น อยากให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปรับชมจนตัวสั่น ซ่องเสพกับความสุนทรีย์
หลงเฟิงสั่นศีรษะระรัว ต่อให้ตีมันให้ตายมันก็ไม่เข้า บ้าไปแล้ว เจ้าหมอนี่ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่? ผู้ฝึกวิชาปีศาจไร้ความเป็นคน!
“จริงๆ นะ เหลืองอร่ามดีจริงๆ ทั้งยังกองใหญ่โตบะลั่กกั่ก ไม่ต่างจากเจดีย์ทองคำ ไม่เชื่อเจ้าลองเข้าไปดู เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เอาอ่าว”
“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแล้ว” หลงเฟิงหันหลังเดินหนี “ประมุขน้อยตามสบาย ศิษย์ขออำลา”
“ไม่เข้าไปดูจริงหรือ? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำความเสียหายอันใดไว้ก็ได้นะ”
“มิอาจมิอาจ บรรพตสละฟ้าครึ่งหนึ่งคือของท่าน อยากทำลายตรงไหนเชิญท่านตามแต่ใจ” หลงเฟิงกล่าวจบ ยกมือบีบจมูกกลั้นหายใจ หันหนีวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ยอดยุทธ์ชั้นกลั่นดวงธาตุบอกไปเป็นไป เพียงพริบตาก็หายไปไร้ร่องรอย
ฉินจิ่วเกอยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยต่อตนเองว่า “ประสาทรึเปล่า ดินที่ขุดออกมา ถ้าไม่ใช่สีเหลืองของดินเหลืองแล้วจะให้มีสีอะไร เวลาขุดดินไม่ให้กองเอาไว้ด้านข้างกองใหญ่แล้วจะให้เอาไปไว้ไหน? คนแบบนี้ยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่บรรพตสละฟ้าได้อีก”
หลงเฟิงเผ่นหนีแทบไม่ทัน ระหว่างทางยังยัดลูกอมเป็บเปอร์มิ๊นต์เข้าปากไปกำใหญ่ สัตย์สาบานว่าชาตินี้มันจะไม่มีทางเหยียบย่างเข้าสู่ป่าไผ่แถบนั้นไปตลอดกาล
มันเดินโซซัดโซเซกลับสู่ห้องโถงใหญ่ ในที่สุดก็ได้พบคนคุ้นเคย รวบรวมพละกำลังที่เหือดแห้งไปไม่น้อยกลับสู่ร่าง
สี่ประมุขกำลังวุ่นวายกับการจัดทำบัญชีปลอม ด้วยเกรงว่าฉินจิ่วเกอยามพบเห็นห้องสมบัติอันว่างเปล่าแล้วจะวิ่งแจ้นไปฟ้องเฒ่าเสียเยว่
เรื่องทำนองนี้ เป็นเรื่องผิดทำนองคลองธรรม แน่นอนว่ายามกระทำการต้องมีความรู้สึกหวาดระแวง
แม้พันปีที่ผ่านมาพวกมันทั้งสี่ต่างดูแลบรรพตสละฟ้ามาโดยตลอดอย่างยากลำบาก
แต่ยามที่เฒ่าเสียเยว่กลับมา มันจึงจะเป็นนายเหนือที่แท้จริง
ปัง!
ประตูไม้เก่าแก่ซอมซ่อส่งเสียงแกร่ก ประตูที่เต็มไปด้วยรอยแตกเริ่มง่อนแง่น ฝุ่นผงหอบใหญ่ร่วงพร่างพรมดั่งวาริณ
ประตูไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่รับใช้บรรพตสละฟ้ามานับพันปีนี้ ในที่สุดก็ก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสมเกียรติ ถูกกระแทกจนกลายเป็นประตูง่อยเปลี้ยระดับแปด
สี่ประมุขที่กำลังรุมปั้นแต่งบัญชีหลอกๆ อยู่ต้องสะท้านช่วงล่างจนโต๊ะแทบพลิกคว่ำ
เมื่อตั้งสติได้ เห็นว่าผู้มาคือหลงเฟิง พวกมันทั้งสี่เองก็ไม่สะดวกในการระเบิดอารมณ์ หมอนี่ทำผู้คนตกอกตกใจหมด
“หลงเฟิง ทำอะไร?” ประมุขหลิวอารมณ์เสีย รอยแผลเป็นรูปตะขาบปูดนูนขึ้นมา
“ประมุข ดะ เด็กนั่น” หลงเฟิงค้อมเอวลง ยังเหลียวไปมองด้านหลังด้วยความหวาดผวา ด้วยเกรงว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะไล่ติดตามมา สองมือเท้าที่เข่า หอบหายใจกล่าว “เจ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีจริงๆ!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ประมุขหยางถาม มันเองก็เหมือนฉินจิ่วเกอ คิดว่าอีกฝ่ายมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฒ่าเสียเยว่มากกว่าตนเอง
หลงเฟิงบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แก่สี่ประมุขโดยคร่าว สี่ประมุขสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นพิกล ไม่ยินดีไม่โศกศัลย์ ใบหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์ ใจเต้นระทึก
สรุปแล้ว พฤติการณ์ของฉินจิ่วเกอ มิใช่น่าชื่นชมเท่าใด
น่าขัน เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสม ผิดจารีตอย่างยิ่ง!
หากมองอย่างเข้มงวด เห็นได้ชัดว่า เด็กน้อยนี้ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่ใช่คนดี
พรุ่งนี้มันต้องการตรวจสอบบัญชี หากมันพบเห็นอันใดขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจคลี่คลายได้โดยง่าย
สี่ประมุขขุนเขาชีวิตนี้พวกมันนับว่าอยู่มาพอแล้ว เพียงเกรงว่าเฒ่าเสียเยว่จะหมายตาหลงเฟิง
“ทำอย่างไรดี?” ประมุขจูตื่นประหม่า เดิมทีคาดคิดว่าพรุ่งนี้ฟ้าเปิดโล่งวันสดใส ตอนนี้ดูไป สงสัยจะกลายเป็นพายุมรสุมใหญ่ถล่มใส่แล้ว
ประมุขหยางนิ่งเงียบงัน ประมุขหลิวปวดแผลเป็นขึ้นแปลบปลาบ ประมุขโหวเกาศีรษะแกรกๆ
…………………………………..
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันที่สองมาถึงแล้ว
ฉินจิ่วเกอเดินออกมาจากป่าไผ่น้อย มันซุกซ่อนหลุมดินที่ขุดไว้ คืนนี้ค่อยกลับมาขุดใหม่
คนล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ แบกตำแหน่งประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าเดินออกมา ฉินจิ่วเกอมาถึงสถานที่พำนักของสี่ประมุข กวัดแกว่งสะบัดแขน อา ตรวจสอบบัญชี พิศดูห้องสมบัติ ทั้งหมดล้วนแซ่ฉิน
” ฮ่าฮ่า ประมุขน้อยรอนานแล้ว” สามประมุขสีหน้าไม่สู้ดี ไม่ต้อนรับอย่างยิ่ง มีเพียงประมุขหยางที่ต้อนรับขับสู้ฉินจิ่วเกออย่างดี
ฉินจิ่วเกอกระทำการงานตามแบบแผน สองมือประสานไว้หลังท้ายทอย “ตรวจบัญชี ดูห้องสมบัติ”
“เชิญ” คนทั้งสี่นำทางฉินจิ่วเกอไปยังกระต๊อบดินหลังหนึ่ง ชี้แล้วกล่าวว่า “นี่คือห้องสมบัติ”
“หะ?” ฉินจิ่วเกอแทบลมจับ สองมือสั่นสะท้านราวตีนไก่ลวก “นี่เปรียบกับกระท่อมที่ข้านอนเมื่อคืนยังยับเยินยิ่งกว่า จะเป็นห้องสมบัติได้ยังไง?”
“น่าขัน หรือจะให้พวกเราติดป้ายป่าวประกาศต่อผู้คนว่าที่นี่เก็บสมบัติ รอคนมาขโมยไป?” ประมุขหลิวจิกกัดฉินจิ่วเกอ หันศีรษะมากล่าวอีกว่า “ย่อมต้องวางค่ายกลอำพรางไว้ นี่เพียงเป็นภายนอก”
เมื่อเอ่ยถึงเงินทอง ความอดทนอดกลั้นของฉินจิ่วเกอมากมายมหาศาลยิ่ง มันไม่สนใจน้ำเสียงของอีกฝ่ายเป็นยังไง “รีบพาข้าเข้าไปสิ”
“เชิญประมุขน้อย” ประมุขหยางขับเคลื่อนค่ายกล ห้วงมิติแปรเปลี่ยน พาทุกคนเปลี่ยนสถานที่เข้าไปในมิติที่ซุกซ่อนไว้
ฉินจิ่วเกอเบิกตาโต แสงสีทองเรืองรองเจิดจ้าสะกิดตาทันที
สถานที่อันโล่งโถง ช่างเป็นห้องสมบัติที่มีเอกลักษณ์นัก ภายในดวงไฟสว่างไสว จุดไฟบนเปลวเทียนแปดสิบกว่าดวง ส่องให้เห็นหีบสมบัติระเกะระกะทั่วบริเวณ
เจ้าสัว เจ้าสัวที่แท้จริง ยิ่งใหญ่ครองฟ้า
น้ำลายแห่งความตื่นเต้นไหลย้อย ฉินจิ่วเกอเร่งฝีเท้าเข้าหาหีบสมบัติ เปิดออกหีบหนึ่ง
เห? ข้างในว่างเปล่า? คนหันศีรษะกลับมา เห็นทั้งสี่ประมุขยังคงเฉิดฉายราวดวงตะวัน หลงเฟิงที่ด้านหลังเองก็สวมใส่สีหน้าไม่ต่างกัน
ฉินจิ่วเกอเหงื่อแตกพลั่ก หยาดเหงื่อรินไหลแสบร้อน มันปลอบใจตนเอง ไม่เป็นไรน่า ยังมีเหลืออีกตั้งหลายหีบ ยังไงก็ยังมีอยู่
คนเดินเข้าไปเปิดด้วยความตื่นเต้น หีบใบใหญ่ที่ยัดคนลงไปได้คนหนึ่งยามนี้กลับว่างโหวง มันเดินไปเปิดหีบลับอีกหลายใบ น่าแปลก นี่ก็ไม่มีของ ฉินจิ่วเกอยามนี้แม้แต่เหงื่อก็ไหลไม่ออกแล้ว ในใจคล้ายกำลังจะหัวใจวาย
“นี่มัน นี่มันอะไร” ฉินจิ่วเกอเท้าเบาหวิว “พวกเจ้าใช้ค่ายกลอันใดซุกซ่อนสมบัติในห้องนี้ ทำไมข้ามองไม่เห็นสมบัติเลยแม้แต่ชิ้นเดียว? เฒ่าหยาง ระบบกันขโมยของพวกเจ้าไม่เลวเลยนี่”
ประมุขหยางปาดเหงื่อ ไม่อาจกล่าววาจา เจ้าช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน หากมีสมบัติ พวกเราไหนเลยจะยากไร้ปานนี้?
” หยาหยาหยา” ปิดตาข้างหนึ่ง “รีบคลายผนึกเร็วเข้า ข้าอยากดูสมบัติแล้ว กับคนกันเองไม่ต้องแอบซ่อนหรอก”
สุดท้าย ประมุขจูถูกผลักไสออกหน้า “ประมุขน้อย บรรพตสละฟ้าเรา เกลี้ยงเกลาหมดจดจริงๆ ในห้องสมบัตินี้แม้แต่ศิลาวิญญาณครึ่งก้อนก็ไม่เหลือ ไหนเลยจะมีค่ายกลซ่อนทรัพย์อันใด ท่านดูสิ พวกเราทุกวันนี้ไหนเลยจะมีสภาพเช่นนี้”
สามประมุขที่เหลือและหลงเฟิงร่วมผงกหัว ใช่แล้ว ไม่มีสักแดง อีกอย่าง ใครเป็นคนกันเองกับเจ้ากัน
สีหน้ายิ้มแย้มของฉินจิ่วเกอ ค่อยๆ ลบเลือนจืดจางไปทีละน้อยด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผ่านไปชั่วครู่ บรรยากาศก็กลายเป็นนิ่งสงัด ฉินจิ่วเกอใบหน้าเย็นยะเยียบ “เกินไปแล้ว ล้อเล่นมามากเกินไปแล้ว เอาสมบัติบรรพตสละฟ้าที่ซ่อนไว้ออกมาเร็วเข้า”
สี่ประมุขขุนเขาสั่นศีรษะ เอ่ยเสียงขื่น “ไม่มีจริงๆ แต่อันที่จริงหากงัดก้นหีบออกมา ยังมีศิลาวิญญาณระดับต่ำเหลืออยู่สองสามก้อน ประมุขน้อยคิดชมดูหรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอเช็ดถูจมูก หน้าไร้สีเลือด เอ่ยเสียงหอบกระชั้น “ศิลาวิญญาณระดับต่ำสองสามก้อน?”
ประมุขจูผงกศีรษะอย่างอ่อนโยน “ประมุขน้อยหากรีบร้อนใช้เงิน พวกเราทั้งหลายสามารถควักออกมาก่อนได้ แต่ละคนมีเงินส่วนตัวติดตัวอยู่คนละหลายร้อยศิลาวิญญาณ ฮ่าฮ่า”
“ศิลาวิญญาณระดับต่ำหลายร้อยก้อน?” ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะอย่างไม่อาจเชื่อ โศกเศร้าโศกาอาดูรล้น
ฉินจิ่วเกอกล้ำกลืนความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาลงลำคอไป มันแทบระเบิดออกมา ศิลาวิญญาณระดับต่ำไม่กี่ร้อยก้อน พวกเจ้าเป็นกลั่นดวงธาตุยังกล้ากล่าวออกจากปากมาได้ ข้านายน้อยพรรคหลิงเซียวจามออกมาคราหนึ่งยังได้มากกว่านี้อีก
“ที่พวกเจ้าพูดหมายถึงระดับกลาง ไม่ใช่สิ ระดับสูงหรือเปล่า?” ฉินจิ่วเกอยังคงมีความหวัง แต่ที่รอคอยมันอยู่ กลับเป็นการโจมตีทำลายล้างอันรุนแรง
ประมุขหลิงเสียงแข็ง รอยแผลเป็นเด่นชัดดุดัน “ประมุขน้อยอายุเยาว์ คงไม่ได้หูหนวกตาฟางกระมัง มีแต่ศิลาวิญญาณระดับต่ำเท่านั้นจริงๆ!”
พรู่ดดด!
ฉินจิ่วเกอตาเหลือกขาว สองแขนสองเท้าแข็งทื่อล้มหมดสติลงกับพื้น ขวัญวิญญาณกระเจิดกระเจิง เงินของข้า!
สี่ประมุขหน้าตาตื่น เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่แท้ๆ มันเป็นไรไปแล้ว ถึงขั้นน้ำลายไหลฟูมปาก หรือว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง
“ประมุขน้อย ประมุขน้อย” ประมุขจูเร่งสืบเท้าเข้าหา เขย่าร่างมันอย่างแรง
ฉินจิ่วเกอยิ่งวิงเวียนศีรษะ ในห้วงสมองเขย่าปนกับเป็นแผ่น
มันคิดกล่าววาจา รสชาติหวานเอียนในลำคอยิ่งขยอกออกมาติดอยู่ตรงปลายลิ้น ไม่อาจพ่นออกไปได้
“เร็ว รีบทำอะไรเข้าสิ รีบลงเขาไปเชิญนักปรุงยามา!” ประมุขโหวกระโดดเขย่งเกงกอย เกาหน้าเกาคอออกคำสั่งลั่น
หลงเฟิงออกปาก “ท่านประมุข พวกเราบรรพตสละฟ้าไม่มีเงินสักแดง ไปเชิญนักปรุงยาก็ไม่มีใครมาหรอก”
ก่อนหน้านี้ หลงเฟิงยามสัมผัสถึงขอบเขต ก้าวข้ามจากกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งขึ้นไปขั้นสอง ก็ผลาญทรัพยากรและเงินทุนก้อนสุดท้ายของบรรพตสละฟ้าไปหมดสิ้นแล้ว
“งั้นทำไงดี?” ประมุขหลิวเค้นสมองหาคำแนะนำไม่ออก น้ำลายฟองฟูมขาวที่ไหลออกจากปากประมุขน้อยยิ่งมายิ่งมาก หายใจเข้ามากหายใจออกน้อย ชัดเจนว่าโคม่าแล้ว
ประมุขหยางขบคิด โพล่งขึ้นว่า “เอาหญ้าโอสถระดับสองอะไรก็ได้ออกมาสองอย่าง ใส่หุงไปพร้อมข้าว เอามาให้ประมุขน้อยลองรับประทานดู ดูซิว่าจะช่วยได้หรือไม่”
“ข้าพอดีมีอยู่ครึ่งต้น” ประมุขหลิวหยิบหญ้าเขียวออกมาครึ่งท่อน รีรอลังเลด้วยอาลัย มุมปากยังเคี้ยวเอื้องอยู่หยับหยับ
ประมุขหยางหน้าเขียวคล้ำ ระเบิดโทสะตวาดว่า “ใช้สมองมั่งมั้ย คิดฆ่าคนตายหรือไง เอาไปล้างก่อนสิถึงจะถูกสุขลักษณะ!”
“ยกมันออกไปข้างนอกก่อน อย่าเพิ่งทำให้สถานที่นี้เละเทะ” ประมุขจูเอ่ยต่อ
สี่ประมุขรุมแข้งขา ยกหามฉินจิ่วเกอออกจากห้องสมบัติเพื่อช่วยชีวิต
ฉินจิ่วเกอนึกว่าตนเองหัวใจหยุดเต้นแล้ว ข้างใบหูมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ทว่าเลอะเลือนไม่เป็นประโยค
“พวกเจ้า ต้องเป็นพวกเจ้าฮุบเอาของในห้องสมบัติไปหมดด้วยความโลภ รอจนข้าฟื้นขึ้นมาก่อนเถอะ ข้าจะขุดพลิกทั้งบรรพตสละฟ้าลึกสามฉื่อ ขุดแล้วขุดอีก ยังไงก็ต้องหาสมบัติที่พวกเจ้าซ่อนไว้ให้เจอให้ได้”
นี่คือวาจาสุดท้ายของฉินจิ่วเกอก่อนถูกนำกลับไปยังห้องพัก หลังกล่าวจบ คนก็สิ้นสติสมประดีโดยสิ้นเชิง
เมื่อหามฉินจิ่วเกอขึ้นเตียงแล้ว ห่มผ้าห่มสีขาว สี่ประมุขขุนเขาก็ออกไป ปิดประตูลง
“เด็กน้อยนั่นทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว หากตาแก่นั่นเกิดสังเกตได้ถึงการคงอยู่ของหลงเฟิงขึ้นมา ข้าคิดว่ามันย่อมต้องบังเกิดเจตนาไม่ดีเป็นแน่” ประมุขโหวรู้จักอุปนิสัยของเฒ่าเสียเยว่เป็นอย่างดี แน่นอนว่ามันไม่รู้ ที่ตาแก่เสียเยว่หมายตายามนี้คือฉินจิ่วเกอต่างหาก
“เด็กน้อยนี้ต้องตาย หากมันไม่ตาย พวกเรายิ่งประสบหายนะ ตาแก่เสียเยว่จิตใจอำมหิต ไม่มันตายก็เป็นเราสิ้นชื่อ ไม่สู้เสี่ยงชีวิตกับมัน ยังไงก็ยังดีกว่าอยู่แบบนี้” ประมุขหลิวเอ่ยด้วยความโกรธา
ประมุขหยางยกมือลูบเขาแกะของมัน “มันไม่อาจตายด้วยเงื้อมมือของพวกเรา ข้าสัมผัสได้ว่า เด็กน้อยนี่เองก็เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ เคล็ดวิชากำลังภายในที่ฝึกปรือก็เป็นวิชาเดียวกับตาแก่นั่น พวกเราตายหรือไม่ไม่ต้องรีบร้อน แต่บรรพตสละฟ้านี้ยังมีปากท้องอีกหลายร้อยชีวิตรอคอยอยู่”
“งั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร?”
“ยืมมีดฆ่าคน ที่เขาบรรพตสละฟ้าด้านหลัง มิใช่ว่ามีต้นไม้โบราณที่กลายเป็นจิตภูติไม้อยู่หรอกหรือ? ภูติไม้ต้นนั้น หากมิใช่กลั่นดวงธาตุ ผู้ที่เผชิญหน้ากับมันย่อมต้องตายแน่นอน ก่อนหน้านี้มีสัตว์อสูรมากมายที่ถูกล่อเข้าไป ล้วนไม่มีใครกลับออกมาได้”
“วิธีอันประเสริฐ ว่าแต่จะล่อมันไปที่นั่นได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้ารับหน้าที่อพยพประชากรของบรรพตสละฟ้าเรา เอาหลงเฟิงไปด้วย พวกเราสี่คนมีอายุอีกไม่กี่ปีแล้ว ในเมื่อต้องรอความตาย ไม่สู้ไปเสี่ยงชีวิตกับตาแก่นั่น!”
“เจ้ามั่นใจแล้ว?”
“ดี เรื่องนี้พวกเราร่วมกัน สี่คนประสานลงมือ ไม่แน่ว่าจะไม่อาจเอาชนะมันได้!”