ตอนที่ 119 พรายอสูรภูติปีศาจ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ทวีปฉงหลิงแบ่งออกเป็นสามเผ่าหลัก กล่าวคือมนุษย์มารอสูร

ว่ากันว่า เผ่ามารและมนุษย์เคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน แต่หลังจากยุคไท่หวง กลับแบ่งแยกออกเป็นสองเผ่า

ส่วนเผ่าอสูร ตามความหมายของชื่อ นั่นคือสมาพันธ์ของสัตว์อสูร

เพราะในช่วงชั้นเดียวกัน ทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันของสัตว์อสูรเหนือล้ำกว่ามนุษย์ไปไกล ทั้งยังอายุยืนยาวกว่ากันมาก

สามเผ่าพันธุ์ปกครองชีวิตนับล้านล้านในมหาทวีป

หากนับขั้นลงมาอีก นอกจากประชากรในมหาทวีป ฐานะของเผ่าพิสดารนับว่าต่ำลงมาอีกขั้น

แต่ที่น่าชิงชังที่สุดย่อมต้องเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ เข่นฆ่าทุกสรรพชีวิต

ที่มนุษย์เรียกหาว่าอสูรภูติร้าย ที่จริงแบ่งออกเป็นสองประเภท คือสัตว์อสูรและภูติพราย

แม้ในทวีปฉงหลิงจะประกอบไปด้วยเผ่ามนุษย์มารอสูรเป็นหลัก แต่ถ้าพูดกันตามจริง ควรบอกว่าเป็นเผ่ามนุษย์และสัตว์อสูรมากกว่า

เพียงแต่นอกจากสองอย่างนี้แล้ว ในโลกหล้าจักรวาลอันเร้นลับพิสดารทั้งหมดทั้งมวลนี้ ย่อมไม่ขาดแคลนสิ่งประหลาดพิสดารอย่างแน่นอน

ภูติพรายหมายถึงแมกไม้หรือสมบัติวัตถุโบราณที่มีวิญญาณ ผ่านไปเป็นเวลานานกลับกลายเป็นร่างวิญญาณขึ้น

พฤกษาสวรรค์ก็นับเป็นภูติพรายชนิดหนึ่ง

ว่ากันว่ายังมีภูติพรายบางจำพวกที่สามารถเปลี่ยนลักษณ์กลายเป็นคนได้ ทั้งยังถือครองพรสวรรค์ทางการฝึกปรืออันสูงล้ำ เพียงแต่ในแดนแมลงเม่าอันเป็นแดนโลกิยะเช่นนี้ย่อมไม่อาจพบเห็นได้

ภูติไม้ที่สี่ประมุขเอ่ยออกมา ก็คือภูติพรายที่ถือกำเนิดอยู่ในแอ่งบรรพตสละฟ้าประการหนึ่ง

ขอบเขตพลังคาดว่าอยู่ที่ระดับกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง ผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้โดยไม่ตาย พลังชีวิตจึงแข็งแกร่งแน่นหนายิ่ง

และเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง สี่ประมุขจึงไม่ได้ลงมือกับภูติไม้ แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายอาศัยอยู่ในแอ่งเขาโดยต่างฝ่ายต่างก็ไม่รุกรานกันและกัน

หากสามารถหยิบยืมกำลังภูติไม้เก็บกวาดฉินจิ่วเกอไปซะ เฒ่าเสียเยว่ต่อให้มีโทสะ ก็ทำได้แค่ระบายเอากับภูติไม้แล้ว

ภูติไม้นอกจากจะมีพลังสูงส่ง ยังแปลกพิสดารมากพอกัน

ก่อนหน้านี้มีศิษย์จากบรรพตสละฟ้าพลัดหลงเข้าแอ่งเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะถูกเถาวัลย์นับพันนับหมื่นเลื้อยรัดฉุดดึงลงไปใต้รากไม้ ห่อหุ้มจนเป็นเหมือนดักแด้

รอจนมีคนมาพบ ศิษย์คนนั้นก็ถูกดูดแก่นโลหิตไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงซากร่างอันผอมแห้ง

กลางดึก ฉินจิ่วเกอสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา รู้สึกปวดศีรษะแปล๊บๆ เกือบตายเพราะบันดาลโทสะมากเกินไป

พลัดหล่นลงขุมนรก เจ้ายมบาลไม่อยู่ ผีน้อยไม่ปล่อยให้เข้า เทพเซียนหลากหลายรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่หนังหน้าหนาทน จึงถีบส่งมันกลับมา

“ประท้วง ข้าต้องการประท้วง” ผุดขึ้นนั่ง ฉินจิ่วเกอสบถสาบานเสียงดัง “ข้าไม่ขออยู่ร่วมกับความผิดบาป! ”

จากนั้นก็เดินออกจากห้องมาอย่างเงียบๆ ตระเตรียมสืบหาข่าว

พวกร้อนตัวกลุ่มนั้นจำต้องคิดหาวิธีซุกซ่อนของโจรเอาไว้ ตนจะต้องรอบคอบให้มาก ดูว่าจะหาเบาะแสได้หรือไม่

ชั่วผจญชั่ว ฉินจิ่วเกอใช่ว่าจะไม่เคยมาก่อน

ค่ำคืนมืดมิดมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ประมุขหยางผู้อยู่เหนือผืนดินขึ้นมากว่าพันเมตรกำลังนั่งรับรู้ไอวิญญาณฟ้าดินบนก้อนเมฆ

สัมผัสเทวะกวาดออกรอบ พอรู้ว่าฉินจิ่วเกอได้สติ ประมุขหยางพลันลืมตาโพลง

ทารกน้อย หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเจ้าเกิดมาชะตาอาภัพ หากมีโอกาส ในอีกไม่กี่วัน เราทั้งสี่ก็คงได้ลงไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า!

ประมุขหยางร่อนกายลงจากฟ้าอย่างเงียบเชียบ ห่มผ้าคลุมสีดำไว้บนตัว จากนั้นย่องดอดออกจากบรรพตสละฟ้าดั่งโจรย่องเบา ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกรับภารกิจอันหนักอึ้งเอาไว้บนบ่า ประท้วงการฉ้อฉล ตรวจสอบความทุจริต

ด้วยจิตใจอันฮึกเหิมเปี่ยมความทะเยอทะยาน เมื่อมีคนแต่งตัวมิดชิดดำมืดเหมือนโจร ทั้งยังทำท่าลับๆ ล่อๆ ฉินจิ่วเกอมีหรือจะไม่พบเห็น

“ไอหยา ถึงกับมีแมวขโมยอยู่จริงๆ ตามไปดูหน่อยดีกว่า” ฉินจิ่วเกอไล่ตามเป้าหมายไปอย่างเงียบๆ ไม่ปล่อยให้งูตื่น

ชนชั้นกลั่นดวงธาตุมีกลวิธีต่างๆ มากมายชนิดที่ฉินจิ่วเกอไม่อาจจินตนาการออกได้

สาเหตุที่กลั่นดวงธาตุได้รับสมญายอดฝีมือย่อมเป็นเพราะพวกมันมีวิธีการอันพลิกฟ้าคว่ำดิน พลังของผู้ฝึกตนมีไว้เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายอย่างการไล่ตามพลังฟ้าดิน

ในขณะที่ฉินจิ่วเกอคิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนเองกำลังไล่ตามอยู่ หาคาดไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นล่วงรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำกระโตกกระตาก แต่ยังจงใจชะลอความเร็วลง ล่อให้เจ้าเด็กน้อยมาถึงแอ่งเขา

ภายในนั้นมีแต่กลิ่นหืนและคาวเลือด บนพื้นมีหญ้ารกชัฏสูงถึงต้นขา ศิลามีเหลี่ยมมีมุม ปราศจากยอดไม้สูงบดบังทัศนวิสัย ใต้ก้นแอ่งเขา มีต้นพฤกษาที่ตั้งตระหง่านค้ำสวรรค์ สูงร้อยเมตร กว้างสามคนโอบ

ต้นไม้ต้นนี้กิ่งก้านหงิกงอและขรุขระไปทั้งลำต้น ไม่มีตรงไหนที่เรียบตรงสักจุด

ที่น่าหวาดสะพรึงไปกว่านั้น บนลำต้นกลับมีโหนกไม้ขนาดเท่าศีรษะมนุษย์เป่งนูนออกมามากมาย ดูเผินๆ เหมือนใบหน้ามนุษย์ที่กำลังแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราด รวมกับพื้นผิวหยาบกร้านจึงทำให้ดูเหมือนแผ่นหนังมนุษย์

ที่นี่แสงสีซีดสลัวทึมเทา เผยให้เห็นเพียงต้นไม้ในแอ่งเขาต้นนี้เพียงสิ่งเดียว เป็นภาพอันพิสดารชวนขนลุก

บนพื้นมีเถาวัลย์เลื้อยเลาะไปทั่วบริเวณดั่งเงาอสรพิษนับร้อย ดูคล้ายพร้อมที่จะจู่โจมได้ตลอดเวลา ประมุขหยางยืนอยู่บนผิวดิน ส่งฝ่ามือกระแทกทำลายมือโปร่งแสงนับร้อยโดยรอบ สิ่งประหลาดเหล่านั้นถูกพลังกระแทกจนล่าถอย ชัดเจนว่าหวาดกลัวต่อผู้มา

เมื่อสัมผัสว่าฉินจิ่วเกอมาถึงปากหลุมแล้ว ประมุขหยางก็เหินกายขึ้นฟ้า ก่อนเร้นกายเข้าห้วงมิติหายวับไป

จากนั้นศิลาก้อนหนึ่งก็กระเด็นออกจากมิติที่ประมุขหยางเพิ่งหายเข้าไป กลิ้งหลุนๆ บดพื้นดินมาตลอดรายทาง ก่อนจะหยุดลงเพราะกระแทกเข้ากับผิวหน้าของต้นไม้อันตะปุ่มตะป่ำ

ภูติไม้ขยับเคลื่อนไหว ในร่มไม้อันหนาทึบ เถาวัลย์นับร้อยแผ่เลื้อยลัด เสมือนคลื่นอสรพิษพัดกวาด รากไม้ถูกยกถอนออกจากดิน เผยให้เห็นซากศพไร้กระดูกนับไม่ถ้วนใต้กอหญ้าหนา กลิ่นอายความอาฆาตท่วมท้นตลบอวล

พอเดินมาถึงแอ่งเขา ฉินจิ่วเกอก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายไม่ชอบกล นี่มันจะราบรื่นเกินไปหน่อยแล้ว ติดตามเป้าหมาย บรรลุถึงแอ่งเขาอันซ่อนเร้นที่บรรพตสละฟ้าเรียกหาว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม

บางทีสมบัติที่ซ่อนไว้อาจถูกเก็บอยู่ที่นี่ก็เป็นได้

เพียงแต่ บรรยากาศรอบตัวแปลกประหลาดยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ฝึกเคล็ดวิชาของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ฉินจิ่วเกอก็สัมผัสถึงไอมรณะในอากาศได้อย่างแจ่มชัด

พอหยุดฝีเท้า ฉินจิ่วเกอก็จ้องมองเข้าไปในแอ่งเขา วันนี้แสงจันทร์หรุบหรู่ หมอกเทาอึมครึมลอยล่องอยู่เหนือแอ่งเขา บดบังทัศนวิสัยและสัมผัสเทวะ

ซู่

ภายในกอหญ้าที่มีลักษณะเหมือนหงอนไก่ พลันเกิดเสียงเคลื่อนไหวราวกับว่ากำลังมีบางอย่างแหวกว่ายอยู่ภายใน

ฉินจิ่วเกอเขย่งปลายเท้า หุบหน้าท้อง มือกำบรรทัดตารางนิ้วไว้แน่น ความอุ่นจากศาสตราบรรพกาลไหลผ่านเข้าสู่อุ้งมือ

พอลองแหวกหญ้าออกดู พบว่าภายในไม่มีสัตว์น้อยตัวใด มีแต่เถาวัลย์เหี่ยวๆ สีดำๆ เขียวๆ กว้างราวตะเกียบคู่หนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินจิ่วเกอก็เห็นว่าเถาวัลย์ตรงหน้าคล้ายไม่ต่างไปจากปลิงดูดเลือดเท่าใด

แย่แล้ว! ฉินจิ่วเกอลอบตื่นตระหนก ร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่ก็พยายามขืนตัวเอาไว้ไม่ให้แสดงท่าทีผิดแผกออกมา

ดูเหมือนว่าตนคงถูกคนตลบหลังเข้าแล้ว แอ่งเขานี่มีปัญหา!

ตอนนี้จะตื่นตูมไปไม่ได้ ถ้ายังขืนลนลานอยู่อีก อสรพิษร้ายที่ซ่อนอยู่ก็จะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถึงตอนนั้นตนคงได้แต่เป็นฝ่ายต้านรับแล้ว

คิดแล้วก็เบี่ยงตัว ปรับเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย พยายามขยับตัวไปข้างหลังทีละก้าวๆ พลังหลอมวิญญาณขั้นเก้าหมุนวนอยู่ในเส้นชีพจรอย่างช้าๆ

“ประท้วงคนโกงก็ต้องฆ่ากันด้วยหรือ ไม่ประท้วงตายไม่กี่คน หากประท้วงตายกันทั้งบาง” พอตระหนักว่ากำลังติดกับ ฉินจิ่วเกอย่อมกระจ่างขึ้นมา ตนที่แท้ถูกสี่ประมุขขุนเขาเล่นงานเข้าแล้ว

เพราะนอกจากพวกมัน ในบรรพตสละฟ้าแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าใช้ลูกไม้เช่นนี้อีก

ว่าแล้วเชียว รู้งี้ตนน่าจะไปซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์หลบหนี แบบนั้นปลอดภัยกว่ากันแยะ

ครืดด ครืดด

เกิดเสียงคล้ายมีบางอย่างขัดสีกัน เหมือนเอาแผ่นหยกไปขูดกับกำแพง เถาวัลย์ที่มีลักษณะเหมือนปลิงดูดเลือดขยับเขยื้อนมาด้านหน้า ก่อนจะพ่นเอาหนามแหลมออกมา

ตึกตักตึกตัก!

เสียงหัวใจเต้นระรัวแทบกระดอนออกนอกอก ฉินจิ่วเกอกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ

ตอนนี้มันขยับตัวจนแทบจะช้าเท่าหอยทาก แม้แต่ลมหายใจยังถูกคำนวณค่าความดังเป็นเลขเดซิเบล

จากนั้นมันก็ถอยมาได้อีกครึ่งก้าว บรรทัดตารางนิ้วพาดขวางอยู่กลางอก พร้อมที่จะตอบสนองได้ทุกเมื่อ

ปง!

ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังขยับตัวไปข้างหลังช้าๆ ในมิติกลับมีเสียงกระหึ่มดังออกมา มีคนจงใจสัมผัสระลอกผันผวนในมิติ ชักนำให้ภูติไม้เริ่มโจมตี

“สารเลว! ” ฉินจิ่วเกอถลึงตาไปบนฟ้า แต่ที่เห็นกลับเป็นภาพของเถาวัลย์ที่กำลังฉีกกอหญ้าหนาทึบจนปลิวว่อน จากนั้นก็พุ่งหวือเข้าหาตน!

เถาวัลย์พวกนี้เคลื่อนไหวสะเปะสะปะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งยังลื่นไหลยิ่งกว่าปลาไหลอาบสบู่

ฉินจิ่วเกอขยายขนาดบรรทัดตารางนิ้ว มือหนึ่งยกขวางนัยน์ตา อีกมือวาดบรรทัดตารางนิ้วเข้าหาที่มาของเสียง

เถาวัลย์ของภูติไม้ผ่านการขัดเกลาจากไอวิญญาณฟ้าดินมานาน ความหนาทนย่อมเป็นที่จินตนาการได้

เถาวัลย์เหล่านั้นหลบการโจมตีของบรรทัดตารางนิ้วอย่างนกรู้ จากนั้นเลื้อยวนรอบตัวบรรทัด ชัดเจนว่าตั้งใจจะฉวยเอาไป

“ไสหัวไป! ”

ฉินจิ่วเกอหมุนตัวหนึ่งร้อยแปดสิบองศา มือแกว่งบรรทัดกระแทกเข้าใส่พื้น เถาวัลย์ยังยื้อยุดแก่งแย่งบรรทัดจากฉินจิ่วเกอ ต่างฝ่ายต่างดึงรั้งกันไปมา บนแขนของฉินจิ่วเกอเองก็มีรากไม้เลื้อยพันอยู่

ตูม!

เถาวัลย์ที่รัดกุมบรรทัดตารางนิ้วไว้ถูกฉินจิ่วเกอออกแรงกระแทกอัดกับพื้นจนแตกกระจาย

แต่เถาวัลย์มากกว่าเดิมกลับผุดโผล่จากผิวดินเหมือนหน่อไม้ ส่งเสียงกรีดอากาศสองสามครา เพียงพริบตาก็เลื้อยพันอยู่รอบขาทั้งสองของชายหนุ่ม

รีดเค้นพลังวิญญาณหมายจะสลัดให้หลุด แต่เถาวัลย์พวกนี้เกาะแน่นยิ่งกว่าตังเม ทั้งยังเปี่ยมกำลังชนิดที่ขับเคลื่อนได้แม้แต่ภูผา

โครม!

ฉินจิ่วเกอล้มคะมำลงกับพื้น บรรทัดตารางนิ้วในมือเสียบลงผิวดิน

เถาวัลย์ที่รัดอยู่บนขาฉุดลากฉินจิ่วเกอมาถึงส่วนลึกภายในแอ่งเขา ทิ้งรอยลึกราวร้อยเมตรเอาไว้เป็นทางยาว กับรอยนิ้วมือทั้งสิบที่เต็มไปด้วยเศษดินเศษหญ้า

พอเห็นว่าฉินจิ่วเกอถูกภูติไม้จับกุมตัว ประมุขหยางก็ผงกศีรษะอย่างพอใจ จากนั้นก็หายตัวไปกลางอากาศ

พอถูกลากมาถึงโคนต้น แม้พฤกษาต้นนี้จะไม่ได้โอ่อ่าเทียบเท่าพฤกษาสวรรค์ แต่ฉินจิ่วเกอก็รู้ว่าตนเองได้พบต้นไม้ผีสางเข้าให้แล้ว

“กิเลนครองฟ้า! ”

บรรทัดตารางนิ้วถูกเหวี่ยงออก ในอากาศผนึกฝ่ามือขนาดใหญ่นับสิบเมตรขึ้น บนนั้นปกคลุมด้วยเกล็ดอสูรและขนมากมาย

เล็บอันประณีตทั้งห้าคีบบรรทัดสีทองขนาดใหญ่ ก่อนคว้าจับไว้ในอุ้งมือแล้วกวัดแกว่งออกวูบ

“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ”

น้ำหนักนับพันจินถล่มโถมลงมา แต่ก็รั้งไว้ได้เพียงสามอึดใจ

แต่เวลาสามอึดใจนี้ก็เพียงพอแล้วที่ฝ่ามืออสูรจะใช้บรรทัดในมือจู่โจมใส่ภูติไม้

ฉินจิ่วเกอฟื้นฟูเส้นชีพจรตันเถียนนานแล้ว แต่ไม่ได้ฟื้นคืนพลังกลับมา มันกลัวว่าเฒ่าเสียเยว่จะวางแผนไม่ดีไว้จัดการกับมัน

เส้นชีพจรตันเถียนฟื้นฟู รากฐานพลังฝึกปรือเก่าก่อนยังคงอยู่ คิดจู่โจมออกสักกระบวนกลับไม่ใช่เรื่องยาก

ฉัวะ!

รากนับหมื่นร่วงถล่ม สัตว์อสูรมลายหาย บรรทัดเปลี่ยนเป็นกระบี่แหลม เสียบทะลุลำต้นของภูติไม้

ต้นพฤกษาสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเจ็บร้าวไปถึงแก่น เถาวัลย์ตกกระหน่ำลงมาดั่งห่าศร เนิ่นน่านไม่สิ้นสุด

แขนขาทั้งสี่ถูกรัดเกี่ยวอย่างเหนียวแน่น ปราศจากพลังชั้นกลั่นดวงธาตุ ย่อมมิอาจทำอย่างไรได้

จากนั้นไม้ต้นนี้ก็จะใช้เถาวัลย์ทิ่มแทงเข้าสู่ร่างเพื่อดูดเอาแก่นกระดูกโลหิตไปจากตัว

แขนขาล้วนชาเหน็บ เถาวัลย์กลายเป็นปลิงดูดเลือดที่แทงทะลุผ่านชั้นผิวหนัง เจาะเข้าไปถึงกล้ามเนื้อกระดูก แล้วเจาะมาถึงเส้นเลือดเป็นลำดับสุดท้าย

ฉินจิ่วเกอเลือดขึ้นหน้า กล้ามเนื้อเกร็งขมึง พยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์ ที่สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดมีเพียงโลหิตที่ถูกสูบกลืนออกไป รวมถึงพลังชีวิตที่กำลังลดถอยลงอย่างน่ากลัว

“บัดซบ” ฉินจิ่วเกอสบถด่า ชนชั้นหลอมวิญญาณอย่างมันจะทำอย่างไรได้บ้าง

บางทีเพราะได้สูบเลือดมนุษย์อันสดฉ่ำ ภูติไม้จึงตื่นเต้นกระปรี้กระเปร่า กวัดแกว่งกิ่งก้านเถาวัลย์ที่เรืองประกายเขียวมรกตไปมาอย่างเริงร่า

พร้อมกันนั้น ซากร่างเน่าเปื่อยที่ถูกหุ้มอยู่ในดักแด้ก็กะเทาะหลุดออกมาเป็นยวงๆ อาจเพราะทิ้งไว้นานไป จึงมีราขึ้นครึ้มหนา ไอมรณะผนึกเข้มข้น

พอเห็นว่าตัวเองใกล้จะถูกดูดเลือดจนกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยว ฉินจิ่วเกอก็ยิ่งแตกตื่นตระหนก วิธีการตายเยี่ยงนี้มันไหนเลยจะรับได้

ตอนนี้เถาวัลย์พวกนั้นได้หยั่งรากอยู่ในเส้นเลือดของตนแล้ว ทำเสมือนว่าใช้เส้นเลือดต่างผืนดินหล่อเลี้ยงบำรุง แม้แต่ไอวิญญาณก็โคจรไม่ได้อีก

“หมื่นมารทมิฬ! ”

เมื่อกำลังเข้าตาจน จู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็ฉุกคิดถึงฐานะอีกอย่างหนึ่งของตนขึ้นมาได้ ผู้ฝึกวิชาปีศาจ!