โลกหล้าใต้ฟ้ากว้าง ไม่มีใดไม่ชั่วร้าย ไม่มีใดไม่ใช่ปีศาจ

เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายง่ายดาย เปลี่ยนเป็นดีงามยากเย็น

ผู้ฝึกวิชาปีศาจอ้างว่าในโลกนี้ไม่มีใดที่มันไม่อาจหลอมกลั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มีชีวิต ล้วนสามารถแปรสภาพเป็นไอปีศาจ ยกระดับพลังฝึกปรือ

พลังวิญญาณหมายถึงชีวิต ไอปีศาจหมายถึงความตาย ระหว่างเป็นตาย คือหยินหยางอันเลือนรางราวมายา

ครืนครืน!

ฉินจิ่วเกอใช้หมื่นมารทมิฬออกเพื่อพลิกสถานการณ์การต่อสู้ เคล็ดวิชากำลังภายในปีศาจสูบกลืนไอภูติจากภูติไม้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิญญาณไม้นี้ห้อมล้อมหนาแน่นด้วยไอมรณะและรังสีพยาบาท เป็นสถานที่ล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกวิชาปีศาจโดยแท้

ดึงดูดไอปีศาจเข้าสู่ร่างกายโดยไม่สนเส้นชีพจรหรือตันเถียนใดๆ

การฝึกวิชาปีศาจคือการย้อนทวนบัญญัติฟ้า สามารถสละกายเลือดเนื้อหนังสังขาร ใช้วิธีการใช้บาดเจ็บรักษาบาดเจ็บ แปรสภาพจิตภูติไม้เป็นกำลัง

ปราณสุริยันขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ขั้นสูงสุด

นี่คือขั้นย่อยที่ผู้ฝึกวิชาเซียนทุกคนต้องเดินตาม ผู้ฝึกตนทุกคนเมื่อบรรลุถึงปราณสุริยัน ต้องเดินตามก้าวย่างทั้งสี่ขั้นย่อย จากนั้นจึงบรรลุถึงการทะลวงด่านที่เฝ้าใฝ่ฝัน

ฉินจิ่วเกอลอบหวั่นวิตก มันใช่สามารถบรรลุขั้นสูงส่งกว่าปราณสุริยัน หากต่ำชั้นกว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นนั้นได้อีกหรือไม่

ภายนอก ฉินจิ่วเกอโคจรเคล็ดวิชาหมื่นมารทมิฬ ต่างฝ่ายต่างกลืนกินกันและกันกับภูติไม้ ขบเคี้ยวจมเขี้ยวไม่อาจแยกจาก

ภายใน ฉินจิ่วเกอมิได้ควบคุม เคล็ดวิชาลี้ลับชื่อยาวเป็นหางว่าวจนน่าตกใจนั้นกำลังไหลวน

เคล็ดวิชาปีศาจดึงดูดไอพลังมารอันชั่วร้าย เริ่มซ่อมแซมร่างกายตนเอง

ฉินจิ่วเกอที่ระดับค้างเติ่งที่ระดับปราณสุริยันขั้นสูงสุดชั่วขณะ จากนั้นเสียงแคร่กคราหนึ่ง หยินหยางในร่างกายผสานผสม ล่วงเข้าสู่ปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์อีกครั้ง

ปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ ก็คือพลังฝีมือสูงสุดของฉินจิ่วเกอก่อนหน้านี้

“อา!”

เถาวัลย์รัดพันแขนขา แขนขาทั้งสี่เต็มไปด้วยรอยแผลโลหิตที่ถูกแทงทะลุเป็นรูพรุนถี่ยิบราวกับรังผึ้ง

ภูติไม้ที่ดูดกลืนแก่นโลหิตจนอิ่มแปล้ยิ่งมายิ่งทวีความร้ายกาจ เถาวัลย์ยืดยาวแขวนกลางฟ้า กลบบังแสงจันทร์และขุนเขาจนหมดสิ้น

” ทำลาย!”

ชั่วพริบตาพลังฝีมือของมันก็กลับคืนสู่จุดสูงสุด ฉินจิ่วเกอยังต้องขอบคุณเคล็ดวิชาขั้นสูงส่งสุดยอดของเฒ่าเสียเยว่ หมื่นมารทมิฬนี้กลับมีความลี้ลับอยู่ แน่นอนว่าผู้ฝึกวิชาเซียนโดยทั่วไปย่อมไม่อาจเทียบได้

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยข้อพิเศษจำเพาะนี้ของวิชาปีศาจ ผู้คนมากมายยามหลงทาง ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหุ่นเชิดไป

ฉินจิ่วเกอสะบัดบรรทัดตารางนิ้วอีกครั้ง ตัดสะบั้นรากไม้เถาวัลย์ออกไปนับร้อย ร่วงหล่นพร่างพรมลงดั่งพิรุณ

จิตภูติไม้สัมผัสได้ว่าฉินจิ่วเกอไม่อาจจัดการโดยง่าย ทว่ามันเองก็ไม่อยากปล่อยเนื้อที่กำลังจะเข้าปากไป ดังนั้นจึงงัดลูกไม้ใหม่ออกมา

ซ่าซ่า!

ประกายลำแสงดวงจิตพฤกษาสีเขียวเรืองพุ่งออกมา มุ่งตรงไปยังกึ่งกลางหว่างคิ้วของฉินจิ่วเกอ

นี่เป็นการโจมตีทางจิต ตรงเข้าสู่หลิงไถโดยตรง หากกล่าวตามหลักการแล้ว ฉินจิ่วเกอยังไม่บรรลุพิสุทธิ์ไพศาล ดังนั้นกลางหว่างคิ้วของมันยังไม่ถูกสร้างหลิงไถ แน่นอนว่าย่อมว่างเปล่า

ทว่าภูติไม้มิใช่สิ่งมีชีวิต มันคือภูติที่กำเนิดออกมาจากฟ้าดินบ่มเพาะ ฝีมือย่อมไม่ใช่ธรรมดา

ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าหากเป็นการสู้รบทางจิต ฉินจิ่วเกอไม่มีทางสู้ภูติไม้ได้ ได้แต่เบิกตามองดูประกายแสงสีเขียวพุ่งเข้าใส่สมองของตนเอง

” ข้าไม่มีหลิงไถ วิชาปีศาจไม่มีใดไม่อาจดูดกลืน ข้าจะหลอมพลังจิตของเจ้าก่อน!!”

ฉินจิ่วเกอคล้อยตามการกระทำของภูติไม้ ยอมรับดวงจิตพฤกษาเข้ามาในห้วงสมอง ส่วนภูติไม้ยามนี้ยุติการโจมตีฉินจิ่วเกอด้วยเถาวัลย์ไปแล้ว หากแต่ส่งพลังจิตแทรกแซงเข้าไปอย่างไม่ลดละ กระทั่งเข้าสู่ขั้นไอพลังจิตเจิดจรัส

ฉินจิ่วเกอใช้เคล็ดวิชาหมื่นมารทมิฬ ใช้ไอพลังปีศาจอันเผด็จการหลอมผสานพลังจิต ชายหนุ่มเริ่มขาดการควบคุมขอบเขตพลังของตนเอง พลังฝีมือขยับขึ้นสู่ช่วงชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในการนี้ ภูติไม้ไหนเลยจะสนใจ มันยังคงแทรกแซงเข้าสู่ดวงจิตวิญญาณของเหยื่ออย่างไม่ละวาง

ซ่า!

จวบกระทั่งร่างกายของฉินจิ่วเกอถูกอัดพลังเข้าไปจนถึงขีดจำกัด ไม้โบราณพันปีที่เติบโตมาในแอ่งภูเขาเนิ่นนานนี้ก็ค่อยๆ สลายหายไป

มันกลายเป็นลูกไฟกลมเขียวอันบริสุทธิ์ที่กำลังหมุนวนอยู่กับที่ กลายเป็นเมล็ดพืชที่ถูกย่อขนาดจนเล็กจ้อย พุ่งติดตามเข้าไปในสมองของฉินจิ่วเกอ

แย่แล้ว!

ภูติไม้ถ่ายเทพลังจิตเข้ายึดครองห้วงจิตของฉินจิ่วเกอ เพราะมันคิดอาศัยพลังจิตอันอหังการของมันครอบครองสมองของชายหนุ่ม หาร่างเนื้อเข้าสิงสู่

นี่ไม่ต่างจากการถูกกลืนสังขารเท่าใด ฝีมือของเหล่าภูติพรายช่างพิสดารจนยากตั้งรับได้

ฉินจิ่วเกอมือซ้ายประกบสองนิ้ว มือขวาแปรเป็นฝ่ามือ ทาบทับลงบนตันเถียน

ฉินจิ่วเกอใช้เคล็ดวิชาหมื่นมารทมิฬ ผสานเสริมด้วยเคล็ดวิชาลี้ลับชื่อยาวเหยียด จึงสามารถรักษาชีพจรหัวใจไว้ไม่ขาดสะบั้น ทว่าด้วยระดับความสามารถของมันตอนนี้ ไม่อาจต่อกรกับภูติไม้ได้ และนับแต่ดวงจิตภูติรุกรานเข้าสู่ดวงจิตของฉินจิ่วเกอ ภายในของชายหนุ่มก็ถูกฉีกกระชากทำลายอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดยั้ง

เจ็บปวด ความเจ็บปวดชนิดนี้มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ส่งผลให้ฉินจิ่วเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนจนน่าหวาดหวั่นขวัญผวา มันฝืนกล้ำกลืนรักษาชีวิตไม่ตกตาย ทว่าก็ไม่มีเรี่ยวแรงใดไปคัดง้างการถูกควบคุมสมองได้

บัดซบ ภูติไม้ตนนี้แท้ที่จริงแสร้งเป็นอ่อนแอ รอจนตนเองประมาทเผอเรอ ก็ฉวยโอกาสโจมตีห้วงสมองทันที!

คนได้แต่เบิกตาดูห้วงจิตของตนถูกฉีกทำลาย ฉินจิ่วเกอกรีดเนื้อกระชากหนัง คิดระเบิดตนเองตกตาย

สังขารผ่านสถานการณ์เป็นตายอีกรอบ จุดตันเถียนที่นิ่งสงัดของมันเริ่มมีการเคลื่อนไหว

ฟ้าดินกอปรด้วยสามพรสวรรค์ ฟ้าดินมีห้าธาตุ จักรวาลมีหยินหยาง ลักษณ์คงไว้ด้วยดวงจิต

ในบรรดาเหล่านั้น ฟ้าดินบ่มเพาะห้าธาตุ กอปรด้วยไม้ทองดินน้ำไฟ

ในห้าธาตุ ธาตุไม้ หมายถึงการก่อกำเนิด การหมุนเวียนเคลื่อนไหว ก่อเกิดไม่หยุดยั้ง ศูนย์กลางของไม้เติบโตไม่มีวันหยุดหย่อน ไม่มีวันเลิกรา

มิใช่ไม่ตาย หากแต่ไม้ล้วนงอกเงยชีวิตใหม่ออกมา ใช้วิธีการนี้คล้อยตามความเป็นตาย ยิ่งสามารถเกิดต่อเนื่องไปไม่หยุดยั้ง

เช่นเดียวกับมนุษยชาติ ส่งต่อชีวิตรุ่นต่อรุ่น ยืนยาวชั่วกาล

ภูติไม้ รวบรวมคุณลักษณะแก่นของธาตุไม้ ยามนี้ปั่นห้วงสมองของฉินจิ่วเกอจนกลายเป็นลูกหนังใบหนึ่ง

ส่วนเส้นชีพจรทั้งหลายในร่างกาย ยามนี้ถูกรยางค์เถาวัลย์ของภูติไม้เข้ายึดครองโดยกำลัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ภูติไม้กลืนกินสิ้นซาก ส่วนฉินจิ่วเกอย่อมต้องตายแน่นอน

และในช่วงเวลาที่ฉินจิ่วเกอกำลังพยายามยับยั้งสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างยากลำบากนี้เอง ภายในตันเถียนของมัน พลันปรากฏไอพลังม่วงราวมังกรหลับใหลสายหนึ่ง

ไอพลังแสงสีม่วงนี้ควบกลั่นแน่นหนาจนกลายเป็นสายวิชชุม่วง ฟาดผ่าทำลายลงใส่กิ่งไม้ของพฤกษาสวรรค์อย่างจัง

กิ่งผลึกพฤกษาสวรรค์ประณีตบอบบางราวอัญมณี บริสุทธิ์สุดสูง ท่ามกลางใบหยกขาวมรกตของพฤกษาสวรรค์ ยังห้อยแขวนไว้ด้วยผลอู๋เลี่ยงเจ็ดผล

ไอพลังเทวะสีม่วงชำระล้างทั้งหมด ก่อนแทรกซึมสู่กิ่งก้านด้วยพลังชีวิตอันทรงพลัง

กิ่งพฤกษาสวรรค์ที่นำพาสรรพคุณโอสถของผลอู๋เลี่ยงสด ถูกไอพลังสีม่วงส่งเข้าสู่ห้วงสมองของฉินจิ่วเกอ

ในโลกแห่งจิต ล้วนถูกแทงไปด้วยรอยปรุพรุนนับพันนับหมื่น ไม่เหลือส่วนดีแม้สักครึ่งส่วน

ฉินจิ่วเกอยามนี้พึ่งพาไอปีศาจถ่ายเดียวในการกัดกร่อนพลังชีวิตของภูติไม้ ค่อยรักษาสภาพจิตวิญญาณ ไม่แหลกสลายไปเสียก่อน

พฤกษาสวรรค์ สามารถเรียกเป็นปฐมบรรพชนแห่งธาตุไม้ เป็นต้นกำเนิดของไม้ในห้าธาตุ

แม้เพียงเป็นกิ่งก้านสาขาเดียว หากทว่าอุดมไปด้วยธาตุบริสุทธิ์แห่งไม้ ถึงพร้อมด้วยวัฏฏะเป็นตาย พลังชีวิตงอกเงยเกิดใหม่ไม่หยุดยั้ง

สถานการณ์แปรเปลี่ยนกลับกลาย พฤกษาสวรรค์กลืนกินจิตแห่งภูติไม้ หมายทำลายล้างอีกฝ่ายให้ย่อยยับ

ภูติไม้สั่นสะท้านเยือก ไม่คาดว่าต้องมาเผชิญหน้ากับบรรพชนของตนเอง วิงวอนร้องขออย่างสั่นเทิ้มอยู่ภายในโลกแห่งจิตนั้น

ส่วนไอต้นกำเนิดของพลังสีม่วงในตันเถียน ยามนี้ท่องวนในตันเถียนอย่างต่อเนื่อง ลอบชำระล้างพลังวิญญาณภายในตันเถียน ส่งเข้าสู่ร่างเนื้อของฉินจิ่วเกอ

“อย่าเพิ่ง!” ฉินจิ่วเกอร้อนรนแล้ว ส่งเสียงตวาดลั่นไปทั่วทั้งขุนเขา

ภูติไม้มิใช่ตัวดี เนื่องเพราะฉินจิ่วเกอสัมผัสได้ หากมันตกตาย ตนเองก็ไม่มีหนทางรอด เนื่องเพราะภูติไม้ยามนี้กลายเป็นภูติเต็มตัว กิ่งพฤกษาสวรรค์ต่อให้ทรงศักดิ์สูงค่ากว่านี้ ก็ยังคงเป็นเพียงวัตถุ

สมควรทราบว่า ทุกตารางนิ้วบนกิ่งก้านของภูติไม้ ล้วนผสานฝังแน่นกับเส้นชีพจรของตนเองไปหมดแล้ว

หากทำลายล้างภูติไม้ ร่างกายของมันล้วนต้องแหลกลาญไปพร้อมกัน

ดังนั้น ยามที่เปิดโลกแห่งจิตออกมา ดวงวิญญาณของฉินจิ่วเกอและภูติไม้คล้ายกับมีการเชื่อมต่อกันในโลกที่มองไม่เห็น

ถอนหนึ่งเกศา สะเทือนทั้งกายา!

ไอพลังสีม่วงขยับเคลื่อนด้วยความเริงร่าคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นเข้าสู่โลกแห่งจิต แทรกเข้าไปในกิ่งพฤกษาสวรรค์

หยินหยางคือคู่ตรงข้าม หากก็หนุนเสริมซึ่งกันและกัน หยินหยางหลอมรวม นั่นจึงเป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์

ไอพลังสีม่วง ก็คือสิ่งที่มาช่วยปรับสมดุลข้อขัดแย้งระหว่างพฤกษาสวรรค์และภูติไม้

พฤกษาสวรรค์คือสมบัติแห่งตำนาน ส่วนภูติไม้เองก็ปราศจากซึ่งดวงวิญญาณ

ภูติไม้แม้มีระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากยังมีสำนึกของตนเอง หากสามารถคงคู่อยู่ร่วมโดยไม่แตกสลาย นั่นย่อมเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบ

สมควรจำไว้ว่า ไอพลังม่วงปรากฏออกมาพร้อมกับคัมภีร์ลับพิสดารเล่มนั้น

ฉินจิ่วเกอละทิ้งหมื่นมารทมิฬไม่แยแส ยามนี้คนมุ่งไปที่การบังคับควบคุมจิตเหนือร่างกาย

คัมภีร์เล่มนั้น ที่จริงสมควรแบ่งออกเป็นสามวรรค

เริ่มที่ปลอดโปร่งสบาย ซึ่งก็คือความไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ในโลกหล้า สละละวางทุกสิ่ง ทั้งสามารถยกมาช่วงใช้ได้ทุกอย่าง

ไอพลังสีม่วงคือยอดประกายแสงจากเซียนเทียน มีรูปลักษณ์เป็นสายฟ้า สั่นเขย่าไปทั่วทั้งห้วงจิต ตวัดผ่าทั้งแนวนอนแนวตั้ง ยืดขยายทะเลแห่งจิตออกไปทั้งซ้ายขวา สายอสนีบาตม่วงแผ่ลามไร้สิ้นสุด เปิดเป็นห้วงมิติอันสดใหม่ขึ้นมา

ห้วงทะเลจิตของฉินจิ่วเกอขยายออกหลายสิบเท่า ทั้งบนล่างเปิดขยายจนเป็นที่ว่างสุดเวิ้งว้าง สามารถมองเห็นทะเลดาราสุดคณานับล่องลอยห้อมล้อมวนเวียนแกนกลาง

โลกหล้าค่อยๆ แปรเป็นอณู ตลอดทั้งห้วงจิตเปลี่ยนเป็นโปร่งใส ระยิบระยับราวแก้วผลึกอันล้ำค่า นี่ก็คือมหาสมุทรแห่งดวงจิต

นี่ก็คือหลิงไถตารางนิ้ว!

เงยหน้าพบดาราจักรวาล ก้มหน้าพบบรรพตสายธารท้องทุ่งกว้าง

ฉินจิ่วเกอเดินท่องไปในหลิงไถของตนเองอย่างเริงร่า มันในตอนนี้ ก็คือยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลแล้ว!

แกนกลางของหลิงไถ ไอพลังสีม่วงกลับสู่การหลับลึกอีกครา สายฟ้าไม่อาละวาดฟาดฟันอีกต่อไป ดวงดาราห้อมล้อมเดือน แสงสว่างแผ่กระจาย ปรากฏไม้ใหญ่ยืนต้นขึ้นหนึ่งต้น สูงชะลูดตั้งตระหง่านค้ำหลิงไถบนจรดล่าง

ฉินจิ่วเกอแตกตื่นตะลึงลานคล้ายคราแรกที่มันพบเห็นพฤกษาสวรรค์ ไม้ต้นนั้น มีรูปทรงลักษณะเดียวกันกับพฤกษาสวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน กิ่งพฤกษาสวรรค์หลอมผสานกลมกลืนกับภูติไม้อย่างสมบูรณ์แบบ ประดุจดั่งหยินหยางมาบรรจบ ด้านบนปรากฏผลอู๋เลี่ยงสดหกผลงอกเงยอยู่ เปล่งประกายวิบวับราวดวงไฟเจ็ดสี

ลดน้อยลงไปหนึ่งผลแล้ว! ฉินจิ่วเกอลูบอก ในใจบังเกิดความเจ็บปวด ต่อให้เฒ่าเสียเยว่สิ้นลม เจ้าอ้วนอันตรธานหาย ตนก็ไม่มีทางบังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขื่นขมถึงปานนี้ เป็นความปวดร้าวลึกถึงกระดูก

เมื่อเหยียบย่างเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงแล้ว

ควบกลั่นหลิงไถ เหาะเหินเดินอากาศ ร้อยก้าวสังหารศัตรู คือฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตน ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนถูกเหนี่ยวรั้งไว้ที่ปราณสุริยันขั้นสูงสุดไม่อาจก้าวข้ามมา พิสุทธิ์ไพศาลคือขอบเขตขั้นอันแข็งกร้าวกว้างไกล

ลองเปรียบเทียบดู ประตูหายนะหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ของมนุษย์ ศิษย์ทั้งหลายแบ่งออกเป็นศิษย์นอก ศิษย์ใน และศิษย์สายตรง นี่เป็นขีดขั้นที่กองกำลังส่วนใหญ่ใช้แบ่งระดับของศิษย์พวกมันเช่นกัน

ศิษย์สายในหากคิดยกระดับขั้นเป็นศิษย์สายตรง เงื่อนไขขั้นต่ำสุด ก็คือต้องบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น นี่ยังต้องผ่านการคัดเลือกอย่างน้อยอีกหนึ่งรอบ ซึ่งก็หมายความว่า ศิษย์สายตรงที่เพิ่งได้รับการเลื่อนชั้น พลังการต่อสู้อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง หรืออาจสูงกว่านั้น

เมื่อเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาลอย่างใจคิด ฉินจิ่วเกอกลับปราศจากความยินดีปรีดาอันใด เนื่องเพราะมันจดจำได้ขึ้นใจ เฒ่าเสียเยว่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า มันต้องบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลให้ได้

ทุกครั้งที่มันเอ่ยวาจานี้ออกมา แววตาต้องเรืองประกายดำมืดชั่วร้ายราวคมมีด ไม่คิดซุกซ่อนไว้แม้แต่น้อย

แม้ตอนนี้มันยังไม่รู้ว่าตาแก่เสียเยว่ที่แท้คิดทำอะไร แต่ฉินจิ่วเกอคาดคำนวณ ตนเองเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล ล้วนมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

มันและตาแก่เสียเยว่ฝึกปรือกำลังภายในชนิดเดียวกัน ต่อให้ฉินจิ่วเกอคิดหลบหนี มันล้วนสามารถเสาะหาพบ

ผู้ฝึกวิชาปีศาจคนหนึ่ง ต่อให้พลังของมันยังไม่ฟื้นคืนมาหนึ่งในสามของก่อนหน้า ล้วนไม่มีทางมีคนประสาทไม่ปกติเข้าไปขวางทางของมันแน่ๆ

ฉินจิ่วเกอห่อเหี่ยว คนวาดวงกลมบนพื้นหลายวง ดูท่า ตนเองคงได้แต่ต้องตามหาสี่ประมุขขุนเขาเพื่อหารือ หากสามารถร่วมมือกับพวกมัน บางทีอาจสามารถถอนหนามตำเท้าเสียเยว่ออกไปได้

ภายใต้แสงจันทรากระจ่างฟ้า ฉินจิ่วเกอเดินออกจากแอ่งบรรพตสละฟ้า ภายนอกลมรำเพยเมฆาขาว เมฆม้วนพัดบนจานหยก

ฉินจิ่วเกอล้วงเอากระจกออกมาจากในแหวนมิติ อาศัยแสงจันทร์ส่องดูสภาพตนเอง

นี่เป็นนิสัยติดตัวของมัน เพื่อที่จะสามารถชื่นชมต่อรูปลักษณ์อันเลิศล้ำของมันได้ตลอดเวลา

เกิดเป็นผู้คน ฉินจิ่วเกอมีงานอดิเรกสามประการ เงิน หน้า และลามก

อา ดวงหน้านี้ เฮ้อ พูดไปแล้วจะหาว่าคุย ไม่อาจใช้คำคำเดียวมาบรรยายความหล่อได้จริงๆ

————————————————

*ใครจำชื่อคัมภีร์พระเอกได้บ้าง ข้าน้อยก็จำบ่ดั้ย กรั่กๆๆ