เฉินลั่วได้ยินถ้อยคำของหวังซีแล้ว ดูเหมือนย้อนไปวันที่อยู่ซอยลิ่วเถียวก็ไม่ปาน ลุกขึ้นยืนเดินกลับไปกลับมา
นี่อาจเป็นนิสัยของเขา พอพบกับเรื่องที่ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ก็จะพยายามจัดการกับความรู้สึกกระวนกระวายในใจเช่นนี้
หวังซีมองเขาเงียบๆ รอให้จิตใจของเขาสงบลง
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชาใหญ่ เฉินลั่วหยุดฝีเท้า นั่งลงข้างๆ หวังซีใหม่อีกครั้ง ทว่าเงยหน้าขึ้นกล่าวกับไป๋ซู่และคนอื่นๆ ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายพวกเขาอย่างไม่คาดคิดว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน รอพวกข้าเรียกพวกเจ้า พวกเจ้าค่อยกลับมารับใช้อีกครั้ง”
ไป๋ซู่และคนอื่นๆ หันไปมองหวังซี
หวังซีคือเจ้านายของพวกนาง เฉินลั่วว่าอย่างไรพวกนางก็ปฏิบัติตามอย่างนั้นไม่ได้
หวังซีพยักหน้าให้พวกนาง
ไป๋ซู่และคนอื่นๆ ถอยออกไป
เฉินลั่วรู้สึกว่าสาวใช้ของหวังซีไม่เลวเลยทีเดียว ยึดมั่นในกฎ รู้จักบุกรู้จักถอย ยังรู้ความ รู้จักหน้าที่ และปรนนิบัติผู้อื่นเป็น
เขาค่อนข้างชื่นชมที่พวกนางเชื่อฟังหวังซีก่อนแล้วค่อยเห็นแก่เขาทีหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะปกติเขาเห็นสาวใช้ที่พอเขาพยักหน้าก็กรูกันออกมาแล้วประเภทนั้นมากเกินไปกระมัง
“เจ้าเองก็รู้ว่าช่วงนี้ข้าเดินทางไปค่ายเทียนจินมาแล้วสองครั้ง” เฉินลั่วกล่าวอย่างตรึกตรอง “ศึกที่หมิ่นหนานวิกฤต ฮ่องเต้ทรงฟังคำแนะนำของอวี๋จงอี้ เสนาบดีกรมกลาโหมและมหาบัณฑิตพระที่นั่งอู่อิง สร้างเรือที่ค่ายเทียนจิน ได้ทำการซ่อมแซมท่าเรือเอาไว้ตั้งแต่ปีก่อน ยังให้อดีตแม่ทัพใหญ่ที่ฝูเจี้ยนย้ายมาเป็นผู้บังคับบัญชากองพลที่ค่ายเทียนจินด้วย ทยอยสรรหาคนงานเรือส่งมามากมาย แต่เดือนห้าของปีนี้ ทิศทางลมนี้กลับเปลี่ยนไป”
ขณะที่เขากล่าว ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเดือดดาล เดินกลับไปกลับมาอยู่ใต้ซุ้มองุ่น “อันดับแรกส่งข้าไปดูสถานการณ์ที่ท่าเรือค่ายเทียนจิน หลายวันก่อนก็ให้ข้าไปสอบถามความคืบหน้าจากคนงานเรือ”
เฉินลั่วหยุดเดิน มองหวังซี
หวังซีคิดว่าเรื่องราวคงเปลี่ยนแปลงจากตรงนี้
นางมองตอบเฉินลั่วเงียบๆ ฟังเขาพูดต่ออย่างสงสัยใคร่รู้
เฉินลั่วมองแววตาเป็นประกายของนางแล้ว รู้สึกเบาใจลง
เด็กสาวจำนวนน้อยนักที่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ต่อให้กำลังฟัง ก็เป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำภายนอกด้วยมีมารยาทและเกรงใจเท่านั้น ไม่เหมือนหวังซีในเวลานี้ ที่นัยน์ตาเผยความคาดหวัง ในแววตาเจือความสงสัยใคร่รู้ไว้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ของนางที่มีต่อเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด
เขารู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วนอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “ตอนนี้เองที่ข้าค้นพบว่า ความจริงแล้วที่ฮ่องเต้ให้ข้าไปสอบถามเรื่องท่าเรือที่ค่ายเทียนจินเป็นเพราะทรงรู้สึกว่าท่าเรือที่ค่ายเทียนจินมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป ทั้งยังต้องรอสี่ถึงห้าปีถึงจะได้ผลกำไร ระยะเวลานานมากเกินไป รู้สึกว่าไม่คุ้มค่า ตั้งใจจะยุติการก่อสร้าง”
“อา!” หวังซีประหลาดใจ รู้สึกว่าฮ่องเต้ทำเช่นนี้วิสัยทัศน์คับแคบเหมือนหนูที่มองเห็นแสงสว่างแค่หนึ่งชุ่น[1]
หมิ่นหนานไม่ปลอดภัย มิใช่แค่เรื่องหนึ่งวันหรือสองวัน เรื่องโจรสลัดแคระมาขึ้นฝั่ง จะว่าไปก็มีมาสิบกว่าปีแล้ว หมิ่นหนานได้รับหายนะ ตอนนางอยู่สู่จงยังได้ยินเรื่องนี้เลย เรื่องของแผ่นดินและประเทศควรจะเป็นการวางแผนใหญ่กว่าร้อยปี จะมาคิดผลได้ผลเสียแค่ช่วงเวลาหนึ่งได้อย่างไร
หวังซีกล่าว “เป็นเพราะมีผู้ใดไปพูดอะไรต่อหน้าฮ่องเต้หรือเปล่า”
เฉินลั่วยิ้มขื่น รู้สึกว่าการมาคุยเรื่องนี้กับหวังซีเป็นเรื่องถูกต้องแล้วจริงๆ
เขากล่าว “เดิมทีข้าเองก็คิดเช่นนั้น ยังคุยกับผู้บังคับบัญชากองพลค่ายเทียนจินเป็นการส่วนตัวอีกครึ่งค่อนวันด้วย แต่ผู้บังคับบัญชากองพลค่ายเทียนจินบอกข้าว่า ฮ่องเต้มิได้ส่งข้าไปสอบถามความเพียงคนเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้คนที่ไปบ่อยกว่าข้าคือเฝิงลิ่วจากฝ่ายกิจการทหาร นำคำบัญชาของฮ่องเต้ไปด้วย ถามตรงไปตรงมากว่าข้ามาก ฮ่องเต้รู้สึกว่าสูญเงินมากเกินไป ตัดสินพระทัยให้ท่าเรือค่ายเทียนจินหยุดดำเนินการ…
…ที่ผู้บังคับบัญชากองพลค่ายเทียนจินพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า เพราะกลัวว่าเมื่อท่าเรือหยุดดำเนินการแล้ว เขาจะไร้ที่ไปก็เท่านั้น”
หวังซีได้แต่ปลอบโยนเขาว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับใต้เท้าอวี๋เป็นอย่างไรบ้าง ควรไปสอบถามความเห็นของใต้เท้าอวี๋เป็นการส่วนตัวหรือไม่ นี่เป็นความคิดที่เขาเสนอขึ้นมา วันนี้ต้องยุติการดำเนินงานกลางคัน เขาอาจจะร้อนใจมากกว่าเจ้าเสียอีก”
“เดิมทีข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” เฉินลั่วนั่งลงมาอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าบนสีหน้าดูเด่นชัดมากขึ้น “เพียงแต่ข้าคิดว่า ในเมื่อจะไปพบใต้เท้าอวี๋ คงไม่อาจไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าจึงอยู่ที่ค่ายเทียนจินเพิ่มอีกสองวัน ตรวจสอบเรื่องที่ใต้เท้าอวี๋อาจถามถึงอย่างละเอียด คิดว่าหากใต้เท้าอวี๋ยอมแพ้แล้ว ข้าจะเกลี้ยกล่อมใต้เท้าอวี๋ให้ต่อสู้หน้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้อีกครั้งได้หรือไม่ เนื่องจากนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน”
หวังซีพยักหน้า ค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ กล่าวว่า “ควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“โชคดีที่ครั้งนี้ข้าให้ความสนใจกับเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ด้วย” เฉินลั่วได้ยินแล้วกลับเผยรอยยิ้มเยาะตัวเองออกมา กล่าวว่า “ก็นับว่าเป็นการคิดดีได้ผลกรรมดีตอบแทนแล้วกระมัง ข้าค้นพบว่ากรมคลังยังคงส่งเงินทุนที่สมเหตุสมผลไปให้ท่าเรือเป็นปกติ แต่ค่ายเทียนจินกลับไม่ได้รับเงินก้อนนี้ เงินก้อนนี้ถูกแจกจ่ายไปหลายที่ แต่สุดท้ายแล้วไหลเข้ามือของเหยียนเฮ่า ผู้พิพากษาเมืองเป่าติ้ง”
หวังซีตกตะลึง อดนั่งตัวตรงขึ้นมาไม่ได้
นี่มันแผนการอะไรกันแน่
เฉินลั่วเห็นแล้วกลับหัวเราะออกมาอย่างจริงใจ ยังหัวเราะจนเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วย
หวังซีถามอย่างอดไม่อยู่ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉินลั่วกล่าว “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ ใต้เท้าเหยียนท่านนั้นคือญาติผู้พี่ของหนิงผิน มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายเจ็ด ที่บ้านเดิมของหนิงผินนั้น ก็มีเพียงญาติผู้พี่ท่านนี้ที่ได้เข้ารับราชการ เป็นคนจากตระกูลมารดาที่ได้รับตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดขององค์ชายเจ็ด”
ผู้พิพากษาเมืองเป่าติ้ง ยศขั้นเจ็ดบน ในจิงเฉิงที่เต็มไปด้วยผู้บังคับบัญชาและผู้ช่วยผู้บังคับบัญชานี้ ก็มองข้ามเขาไปได้ทั้งหมดจริงๆ
เพราะฉะนั้นถึงปกปิดภูเขาไม่เผยสายน้ำไหลได้เรื่อยมาอย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วไม่มีทางพูดเรื่องพวกนี้กับนางโดยไร้เหตุผลแน่
ในหัวของหวังซีมีแสงสว่างวาบผ่าน ถามอย่างคาดคะเนว่า “เจ้าคิดว่าธูปหอมที่พระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นเกี่ยวข้องกับหนิงผินใช่หรือไม่”
เฉินลั่วไม่ตอบ กลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากหาวิธีแนะนำท่านหมอหวังให้หนิงผิน”
หากฮ่องเต้รับไว้ เป็นที่แน่ชัดว่าแล้วว่าฮ่องเต้ไว้วางพระทัยองค์ชายเจ็ดกับหนิงผินมากกว่าเขาและองค์ชายรอง แต่ถ้าไม่รับ การที่ฮ่องเต้ควักเงินให้องค์ชายเจ็ดอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ แสดงว่าหนิงผินก็ต้องเป็นหนึ่งในพระสนมที่เขาโปรดปรานที่สุดอย่างแน่นอน
แต่ในยี่สิบกว่าปีมานี้ ยามทุกคนเอ่ยถึงพระสนมคนโปรด คนที่มักเอ่ยถึงหรือนึกถึงอยู่เสมอกลับเป็นซูเฟย
ในระหว่างนี้มีเรื่องราวมากมายเพียงใดนั้น คาดว่านอกจากฮ่องเต้แล้ว ใครก็พูดให้กระจ่างไม่ได้
หวังซีพลันเข้าใจความแปลกประหลาดของเรื่องนี้แล้ว นางเอ่ยถามว่า “มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่”
ในเมื่อเขามีแผนการเช่นนี้ แสดงว่าย่อมมีวิธีของตัวเอง นางจึงไม่ต้องชี้มือชี้ไม้ หรือทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ของตัวเองแล้ว สิ่งที่นางต้องทำก็คือร่วมมือกับเขา ทำให้เขามีเรื่องน้อยลง ทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น
แน่นอนว่าเฉินลั่วมีแผนการของตัวเองแล้ว เขาก็แค่รู้สึกหดหู่ อยากหาใครสักที่เก็บความลับได้ และเข้าใจสิ่งที่เขาพูดมาคุยด้วยสักคนหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” เขากล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะสืบข้อมูลได้มากมายเพียงใด หากแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะปกป้องเจ้าได้หรือไม่ ดังนั้นเจ้าห้ามยื่นมือเข้ามาเป็นอันขาด ทำเสมือนไม่ทราบเรื่องนี้ก็พอ”
หวังซีรับปากทันที
นางเชื่อมาตลอดว่างานต่างๆ ล้วนมีความลับเฉพาะของมัน เรื่องที่ต้องใช้ความชำนาญก็มอบหมายให้คนที่เชี่ยวชาญไปทำ หากให้คนไร้ทักษะไปจัดการเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ จะต้องเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
ในราชสำนักที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาประหนึ่งเมฆาเคลื่อนคลื่นทะเลปรวนแปรนี้ ต่อให้เฉินลั่วมิใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เพื่ออนาคต ก็ต้องฝึกฝนจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ นางที่วันวันรู้จักแต่กินดื่มนี้ อย่าเข้าไปยุ่งด้วยดีกว่า
เฉินลั่วนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอให้นางแต่งตัวเป็นบ่าวชายไปพบบัณฑิตสองคนนั้นกับเขาขึ้นมา ประกอบกับเห็นนางรับปากอย่างปีติยินดีเช่นนี้แล้ว อดหัวเราะออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าหวังซีนั้นนอกจากกินเก่งแล้ว ยังตาขาว แต่ความตาขาวนี้กลับแสดงออกมาอย่างเปิดเผยและมั่นใจ นอกจากไม่ทำให้คนนึกรังเกียจแล้ว ยังให้ความรู้สึกว่านางเป็นคนเฉลียวฉลาดที่มองสถานการณ์ตามความเป็นจริงด้วย
“เจ้าเองก็แจ้งท่านหมอเฝิงให้ทราบสักคำ” เขากล่าวยิ้มๆ “หากมีคนสืบไปถึงตัวท่านหมอเฝิง ก็บอกไปว่าข้าเคยเชิญท่านหมอเฝิงไปรักษาที่บ้าน แต่เพราะเหตุผลส่วนตัวทำให้ไม่มีเวลา ท่านหมอเฝิงจึงแนะนำคนที่มีฝีมือทางการแพทย์เทียบเท่าเขาอย่างท่านหมอหวังมาให้ข้า ส่วนเรื่องอื่น พวกเจ้าล้วนไม่ทราบเรื่องก็พอ…
…และให้เรื่องนี้จบที่ตรงนี้ ใครมาถามพวกเจ้าอีก พวกเจ้าก็ไม่ต้องสนใจ”
ในจิงเฉิงนี้งูมีโพรงงู สุนัขก็มีคอกสุนัข ขอเพียงมีเจตนา เรื่องความขุ่นแค้นระหว่างท่านหมอเฝิงกับเฉาอวิ๋นย่อมถูกตรวจสอบอย่างกลับหัวกลับหางจนละเอียดได้ แทนที่ถึงเวลาจะลากท่านหมอเฝิงและคนอื่นๆ มาเกี่ยวข้องด้วย มิสู้ปล่อยให้รู้จริงกึ่งหนึ่งรู้เท็จกึ่งหนึ่ง ให้คนหาจุดอ่อนออกมาไม่ได้เช่นนี้ดีกว่า
สายตาของหวังซีที่มองเฉินลั่วนอกจากความอบอุ่นแล้ว ยังมีความชื่นชมเพิ่มเข้าไปด้วยอีกหนึ่งส่วน
คนที่เอาใจเขามาใส่ใจเราคิดเผื่อคนอื่นและกางปีกปกป้องคนที่ทำงานให้เขา ล้วนเป็นคนมีอนาคตไกลและควรค่าที่คนจะเคารพนับถือ
หวังซีรับปากซ้ำๆ เห็นเฉินลั่วหมดเรื่องของตัวเองแล้ว จึงเอ่ยถึงเรื่องงานเลี้ยงย้ายบ้านเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา
“ยามมีปัญหาเจ้าต้องการคนที่ยินดีทำเพื่อเจ้าอย่างเต็มกำลังเพียงคนเดียวก็พอแล้ว” นางกล่าว “ข้าไม่ได้เชิญคนมากมาย แต่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่เลวเลยทั้งสิ้น ได้รับแล้วย่อมตอบแทน หลังจากงานเลี้ยงครั้งนี้แล้ว พวกนางต้องตอบแทนอย่างแน่นอน ถึงเวลาไปทำความรู้จักคนอื่นๆ จะได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น”
เฉินลั่วเป็นคนที่หากเลือกใช้งานใครแล้วไม่คิดสงสัย คนน่าสงสัยก็ไม่เลือกมาใช้งานตั้งแต่ต้น เขาจึงสนับสนุนแผนการของหวังซีเต็มที่
หวังซีถึงได้เอ่ยถึงเรื่องการแสดงขึ้นมา แน่นอนว่าตอนที่นางพูดถึงเรื่องนี้ นางกล่าวขอบคุณเฉินลั่วก่อนเป็นอันดับแรก “หากมิใช่เจ้า วันงานเลี้ยงคงเชิญเสี่ยวหลีฮวามาทำการแสดงไม่ได้” จากนั้นนางค่อยถามถึงตระกูลสือขึ้นมา ถามเฉินลั่วอย่างอ้อมๆ ว่า “คงมิได้ทำให้เจ้าต้องติดหนี้บุญคุณตระกูลสือหรอกกระมัง”
ได้รับคำขอบคุณและการเอาใจใส่จากผู้อื่น ย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้คนเบิกบานใจอยู่แล้ว
เขากล่าวยิ้มๆ อย่างพึงพอใจว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ช่างบังเอิญยิ่ง ข้าคิดว่าเป็นครั้งแรกที่เจ้าจัดงานเลี้ยงที่จิงเฉิง แม้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่จนใครๆ ก็พูดถึง แต่อะไรที่ควรมีก็ต้องมี มีวันหนึ่งอยู่ในวังข้าได้ยินองค์หญิงฟู่หยางพูดขึ้นมาว่าอยากเชิญเสี่ยวหลีฮวาเข้าวังไปทำการแสดงอีกครั้ง ข้าจึงจดจำเอาไว้ คิดว่าเขาต้องกำลังเป็นที่นิยมอยู่เป็นแน่ จึงส่งคนไปเชิญเขา ผู้ใดจะรู้ว่าบังเอิญเจอกับตระกูลสือที่ไปหารือเรื่องการแสดงกับคณะหลีฮวาพอดี พ่อบ้านของพวกเขาได้ยินว่าคนของข้าก็ไปเหมือนกัน หลังจากกลับไปคงไปบอกใต้เท้าสือ นอกจากใต้เท้าสือจะถอยให้ข้าแล้ว แม้แต่เงินค่าการแสดงเขาก็เป็นคนออกให้ด้วย…
…เพียงแต่ว่าข้าต้องรีบเดินทางไปค่ายเทียนจิน ไม่ทันได้ไปกล่าวขอบคุณเขาด้วยตัวเอง…
…พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าได้วันหยุดติดกันสองวัน ข้าให้คนนำเทียบไปส่งให้ใต้เท้าสือแล้ว ตั้งใจจะไปขอบคุณเขาที่บ้านด้วยตัวเอง”
หวังซีวางใจลงมา
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าวางใจ ข้าไม่ได้ลืมเรื่องพวกนี้ บัณฑิตที่หลงจู๊ใหญ่หวังแนะนำให้ข้าสองคนนั้น ข้าเพิ่งไปเจอมาเพียงท่านเดียวเท่านั้น สองวันนี้ยังต้องหาเวลาว่างไปเจออีกท่านหนึ่ง ทางด้านของท่านหมอเฝิง ข้าคงต้องฝากฝังเจ้าแล้ว!”
ถึงแม้สองประโยคสุดท้ายจะฟังดูเหมือนหยอกเย้าเล่น แต่ก็เป็นความจริง
หวังซีรับปากยิ้มๆ กล่าวว่า “เจ้าไม่ฟังงิ้วหรือ เสี่ยวหลีฮวาเป็นที่นิยมหรือไม่ เจ้าไม่รู้?”
เฉินลั่วครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ช่วงที่หนาวเย็นที่สุดของปีอย่างช่วงซานจิ่วในฤดูหนาวเขาก็ฝึกซ้อม ช่วงที่ร้อนที่สุดของปีอย่างช่วงซานฝูในฤดูร้อนเขาก็ฝึกซ้อม นอกจากเรียนหนังสือ ก็ไม่รู้จักเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่นเหล่านี้จริงๆ
หวังซีประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วที่ดูมีอิสรเสรี ทว่ากลับใช้ชีวิตอย่างเข้มงวดน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้
นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยถึงเรื่องงานเลี้ยงย้ายบ้านวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินลั่วกลับไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองน่าเบื่อ และเขาเองก็ไม่ได้มีความประทับใจต่อจวนเซียงหยางโหวสักเท่าไรด้วย ได้ยินแล้วก็แสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า “จวนเซียงหยางโหวไม่เพียงพอให้ต้องหวาดกลัว พวกนางอยากเข้าหาก็ให้เข้ามาเถอะ แต่จวนชิงผิงโหวนั้นเจ้าต้องระวังเอาไว้ นายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหวท่านนั้นมิใช่คนธรรมดานัก”
หวังซีรีบถาม “ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือ”
แต่เฉินลั่วกลับปิดปากเงียบ “เจ้าไปแล้วก็รู้เอง”
……………………………………………………………………..