ตอนที่ 109 ระมัดระวัง

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

หวังซีถูกเฉินลั่วกระตุ้นให้อยากรู้ ย่อมต้องถามให้ชัดเจนสักครั้งให้ได้ แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร เฉินลั่วก็ไม่บอก หวังซียู่ปาก จำต้องยอมแพ้

สายตาที่เฉินลั่วมองหวังซีกลับเจือรอยยิ้มจางๆ ไว้ตลอด

หวังซีที่เป็นเช่นนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ดวงตาสุกใสกว่ายามปกติ ริมฝีปากแดงเรื่อเดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด ดูงดงามกว่ากลีบดอกไม้ นุ่มละมุนกว่าขนมเกาลัด ทั้งร่างดูเต็มไปด้วยกำลังวังชา กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ทำให้เขานึกถึงดวงตะวันในหน้าหนาวขึ้นมา ราวกับสร้างความอบอุ่นแก่หัวใจของผู้คนได้

เขาอดแกล้งนางไม่ได้ ถึงได้ตัดสินใจไม่บอกอะไรเลยสักอย่าง

ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ทั้งสองคนกลับเหมือนมีเรื่องให้คุยกันไม่จบไม่สิ้นก็ไม่ปาน จากเรื่องจวนชิงผิงโหวคุยกันไปคุยกันมาจนคุยไปถึงเรื่องลานเลี้ยงม้าที่ชานเมืองของเฉินลั่ว

หวังซีอัศจรรย์ใจ กระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “เจ้ามีลานเลี้ยงม้าด้วยหรือ เลี้ยงม้าอะไรบ้าง ข้าไปดูได้หรือไม่”

การขี่ม้าดูองอาจสง่างาม ทว่าลานเลี้ยงม้ามิได้สวยงามอย่างที่จินตนาการเอาไว้ นอกจากมีกลิ่นแล้ว เพราะมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ จึงทำให้มียุงได้ง่าย

เมื่อก่อนเป็นเพราะเขาเกลี้ยกล่อมองค์หญิงฟู่หยางไม่สำเร็จ ก็เคยพาบรรดาคุณหนูจากตระกูลมิตรสหายเหล่านั้นไปที่ลานเลี้ยงม้ามาก่อนเช่นกัน แต่เมื่อไปถึง นอกจากคุณหนูของตระกูลอู๋สองท่านแล้ว คนอื่นๆ ต่างรังเกียจเหลือจะกล่าว จากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องจะไปลานเลี้ยงม้าอีก

เขากังวลเล็กน้อยว่าหวังซีจะคิดเช่นเดียวกัน ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวว่า “หากเจ้าอยากไป เช่นนั้นก็หาโอกาสไปดูสักครั้งก็แล้วกัน!”

บางเรื่อง ไม่ประสบพบเจอด้วยตัวเอง ย่อมค้างคาใจ

หวังซีพยักหน้าหงึกๆ

มีเสียงตีกลองบอกเวลายามสามดังเข้ามาจากด้านนอก

เฉินลั่วถึงรู้สึกตัวว่าดึกมากแล้ว

เขาอดพึมพำอยู่ในใจไม่ได้ว่า เขาก็มิใช่คนตาไม่มีแวว และเขาก็เพิ่งกลับออกมาจากวังหลวง แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ทันได้เปลี่ยนด้วยซ้ำ เหตุใดถึงนั่งอยู่ที่สวนร่มหลิวเป็นเวลานานขนาดนี้?

เห็นได้ชัดว่าคราวหน้าเขาต้องระมัดระวังสักหน่อยถึงจะถูก

เฉินลั่วลุกขึ้นกล่าวอำลาหวังซี

หวังซีรู้สึกว่าตนต้องไปส่งเฉินลั่วสักหน่อย

เฉินลั่วมองศีรษะของนางที่ยังห่อด้วยผ้า รู้สึกขบขันขึ้นมา กล่าวเย้านางว่า “เจ้าคิดจะไปส่งข้าที่ประตูใดหรือ”

หวังซึถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเฉินลั่วปีนกำแพงเข้ามา

นางเอามือกุมหน้า เหมือนเซียงเย่เวลาทำผิด คิดว่าปิดหน้าเอาไว้ เรื่องราวจะผ่านพ้นไป

เฉินลั่วมองแล้วหัวใจสั่นสะท้าน ในใจบังเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์แปลกๆ อยากรั้งอยู่ที่นี่ อยากยืนอยู่ตรงหน้าหวังซีเช่นนี้ อยากให้เวลาหยุดลงตรงนี้ ให้เขาได้เพลิดเพลินกับความเงียบและสงบต่อไปเรื่อยๆ

เขาตกใจเป็นการใหญ่

บางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโต ยกเว้นความรักของบิดามารดาแล้ว สิ่งของที่เขาได้รับมีมากมายจนเกินไป เมื่อได้มาง่ายดาย เขาจึงไม่อาลัยอาวรณ์ของอะไรเหมือนคนอื่นๆ อย่างไรเสียไม่ว่าของอะไรก็ตาม ต่อให้ไม่มีแล้ว ขอเพียงเขาอยากได้ ก็ย่อมได้มาอีกเสมอ กระทั่งอาจดีกว่าของเดิมด้วยซ้ำ

นี่ทำให้คนมากมายคิดว่าเป็นเขาเป็นคนเย็นชาไม่แยแสสิ่งใด

รวมถึงตัวเขาเองด้วย

เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเหมือนนักเดินทางที่เห็นโลกมามากแล่นเรือมาไกลพันลี้ ดูสวยงามสดใสแต่ความจริงแล้วหัวใจเย็นชาเหมือนน้ำ ยากจะกระเพื่อมไหวต่อสิ่งใด

อาการอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ สำหรับเขาแล้วนับเป็นครั้งแรก

เขากระวนกระวายเล็กน้อย ไม่อาจสนใจเรื่องเย้าแหย่หวังซีอีก ตรงกันข้ามเอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว ออกมาอย่างแข็งทื่อ แล้วก้าวยาวๆ ออกจากสวนร่มหลิวไป หวังซีอยากย้ำกำชับเขาอีกสองสามประโยคก็ไม่ทัน

“คนอะไรกัน อยากมาก็มา อยากไปก็ไป เห็นบ้านข้าเป็นสวนผักหรืออย่างไร คำล่ำลาสักคำยังไม่ทันได้เอ่ย” ปากนางบ่นพึมพำ แต่ในใจไม่ได้ขุ่นเคือง มีแค่ถอนหายใจอย่างไม่สิ้นสุดเท่านั้น

จวนหย่งเฉิงโหวนั้น มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ตัว

***

เมื่อถึงวันไปเป็นแขกที่จวนชิงผิงโหว เพราะถ้อยคำของเฉินลั่ว หวังซีจึงขุดกำลังวังชาขึ้นมายี่สิบส่วน

เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ต้องดีที่สุด แต่ทำให้นางดูดีและโดดเด่น ของขวัญไม่ต้องราคาแพงที่สุด แต่ทำให้สตรีจวนชิงผิงโหวรู้สึกสนใจได้ รถม้าที่ใช้ไม่ต้องหรูหราที่สุด ขอให้ดูถ่อมตัวทว่าดูสง่ามีรสนิยม

หวังสี่ที่เดินทางไปจวนชิงผิงโหวเป็นเพื่อนหวังซีได้ยินเงื่อนไขเช่นนี้แล้วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ยังพาดตัวอยู่ข้างถนนย่านต้าจ้าหลาน ย่านที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของจิงเฉิง เฝ้าสังเกตอย่างละเอียดว่าคนมั่งคั่งในจิงเฉิงนั่งรถม้าอะไรกันบ้างอยู่ครึ่งค่อนวัน ถึงได้ตัดสินใจเรื่องเครื่องแต่งกายของวันนั้นได้

เนื่องจากฉังเคอไปเป็นแขกที่จวนชิงผิงโหวพร้อมกับหวังซี ทั้งสองคนจึงนัดแนะกันว่าหลังจากไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกันแล้วค่อยออกจากบ้านไปด้วยกัน

นายหญิงสามจับมือบุตรสาวเอาไว้อย่างตื่นเต้น นำปิ่นทองชุบฝังดอกติงเซียงสีม่วงซึ่งเป็นสินติดตัวของตนปักให้ฉังเคอด้วยตัวเองแทนที่ปิ่นดอกเบญจมาศทำจากผ้า กล่าวด้วยน้ำตาคลอหน่วยว่า “เป็นเพราะแม่ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องให้เจ้าออกไปต่อสู้ช่วงชิงมาด้วยตัวเอง โชคดีที่เจ้ามีวาสนาดี คุณหนูสกุลหวังก็เป็นคนจิตใจดีผู้หนึ่ง เจ้าไปเป็นแขกที่จวนชิงผิงโหว ต้องระมัดระวังให้มากถึงจะถูก”

ความจริงแล้วจวนหย่งเฉิงโหวก็ได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวด้วยเช่นกัน หย่งเฉิงโหวฮูหยินเป็นตัวแทนของจวนหย่งเฉิงโหวไปร่วมอวยพร แต่โหวฮูหยินตั้งใจจะพาฉังหนิงที่หมั้นหมายแล้วไปอวดโฉมเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อข่าวแพร่ไปถึงตระกูลของสามีฉังหนิง นางจะได้ได้หน้าไปด้วย

ที่ฉังเคอได้ไปด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหวังซี

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่บ้านสามข้ามหน้าข้ามตาบ้านรองไปได้

แม้นนายหญิงสามรู้สึกไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ยอมทำร้ายจิตใจของบุตรสาว จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ กัดฟันช่วยเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้บุตรสาว

หลังจากซาบซึ้งต่อความรักของมารดาแล้ว ในใจฉังเคอกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความขมขื่น

นางยินดีเกิดมาในครอบครัวคนธรรมดาสามัญมากกว่าต้องมีชีวิตทนอยู่กับการต้องกล้ำกลืนคำดูถูกเหยียดหยามทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้

อย่างน้องชายร่วมอุทรของนาง เพราะสาเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสู้ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ไม่ได้ เป็นเด็กเป็นเล็กก็ต้องอดทนอดกลั้นทุกอย่าง ไม่มีความกระฉับกระเฉงและชีวิตชีวาของเด็กเลยแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่ว่าถ้อยคำเหล่านี้นางเคยพูดหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ล้วนถูกบิดามารตำหนิกลับมาทั้งสิ้น เวลาล่วงเลยนานวันเข้า นางรู้ว่าบิดาไม่อยากได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ นางก็เลยไม่พูดถึงอีก

ความคิดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในหัวของฉังเคอแล้วก็ผ่านไป นางกลั้นน้ำตาเอาไว้ ยิ้มร่าพร้อมกับกล่าวชมว่า “ของท่านแม่งดงามกว่าจริงๆ ด้วย” จากนั้นก้มศีรษะออกจากสวนซิ่ง ไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกับหวังซี

โหวฮูหยินพาฉังหนิงที่แต่งตัวเรียบร้อยมานั่งล้อมอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ารออยู่ก่อนแล้ว ยังมีซือจูและฉังเหยียนนั่งเคียงไหล่อยู่กับนางด้วย

ซือจูยังคงมีท่าทางเย็นชาไม่แยแสสิ่งใดเช่นเดิม ทว่าสีหน้าของฉังเหยียนดูไม่สู้ดีนัก

เดิมฉังเหยียนคิดว่าซือจูนั้นอยู่ที่ไหนล้วนเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่หลายส่วน ผู้ใดจะรู้ว่าเข้าวังไปแล้ว แม้แต่นางกำนัลในวังหลวงเหล่านั้นยังกล้าดูแคลนพวกนาง นางถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ไม่ว่าสถานะครอบครัวจะรุ่งโรจน์โดดเด่นเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าราชวงศ์ เจ้าก็ไม่ต่างจากข้ารับใช้

ตอนที่นางรู้ว่าวันที่หวังซีเชิญแขกมานั้นคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวตั้งใจมาร่วมแสดงความยินดีเป็นพิเศษ นางก็รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยแล้ว จนกระทั่งยามที่นางรู้ว่าเพราะหวังซี ฉังเคอจึงได้รับเทียบเชิญจากจวนชิงผิงโหวด้วย ความรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยนั่นก็เปลี่ยนเป็นความกระวนกระวายใจที่เด่นชัดขึ้นมา

นางเข้าใจดีว่านางเชื่อผิดคน

แต่บางครั้งเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ไม่อนุญาตให้คนเดินผิดแม้แต่ก้าวเดียว

หนึ่งบ่าวไม่มีสองนาย ในเมื่อนางตัดสินใจไปแล้ว ก็จำต้องทำใจดีเข้าสู้เดินหน้าต่อไป

นางสะกดกลั้นความอิจฉาในใจ ยิ้มร่าจับมือของฉังเคอเอาไว้ กระซิบกล่าว “หากเจ้าได้พบคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวที่บ้านตระกูลอู๋ กล่าวทักทายนางแทนข้าด้วย ข้าไม่ได้เจอนางมาระยะหนึ่งแล้ว หากนางมีเวลาว่างให้นางมาเล่นกับข้าที่บ้านบ้าง”

ฉังเคอเองก็ทราบความในใจของฉังเหยียนดี คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกับคุณชายสี่เจี่ยเฝิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉังเคอยินดีทำเรื่องนี้ให้นาง นอกจากจะรับปากอย่างยิ้มแย้มแล้ว ยังถามอีกว่า “พี่สาวสามยังมีอะไรอยากฝากฝังข้าไปอีกหรือไม่”

ฉังเหยียนเศร้าสร้อย ส่ายศีรษะ

ฉังหนิงมองแล้วแสยะยิ้มเย็น อ้าปากหมายจะพูด ทว่าถูกโหวฮูหยินตวัดสายตามาห้ามเอาไว้

ระยะนี้ทุกคนต่างไม่ค่อยได้สมาคมกับฉังหนิงเท่าไรนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉังหนิงกำลังจะแต่งงานแล้วอารมณ์จึงมั่นคงขึ้น หรือเป็นเพราะถูกโหวฮูหยินอบรมสั่งสอนกันแน่ นางดูสงบขึ้นกว่าปกติมาก แล้วก็ ‘เชื่อฟัง’ มากขึ้นด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก กำชับโหวฮูหยินว่า “ครั้งนี้พาพวกนางไปด้วย ต้องระมัดระวังสักหน่อย อย่าให้พวกนางก่อเรื่อง”

โหวฮูหยินขานรับด้วยรอยยิ้มร่า นำหวังซีและคนอื่นๆ กล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าแล้วขึ้นรถม้าไป

ฉังเคอถึงได้ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง

หวังซีมองนางอย่างไม่เข้าใจ

นางรีบกล่าวอธิบายว่า “มิใช่เพราะข้ากลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก่อนออกเดินทางหรอกหรือ”

มิใช่ว่าอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน ทั้งที่คุยกันดิบดีว่าจะให้นางไป ผลปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาออกเดินทางกลับเปลี่ยนเป็นฉังเหยียน ด้วยสาเหตุนี้ครอบครัวชั้นสูงจำนวนมากในจิงเฉิงจึงรู้แค่ว่าจวนหย่งเฉิงโหวมีฉังเหยียนอยู่ผู้หนึ่งแต่ไม่รู้ว่ายังมีฉังเคออยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง

การขันแข่งในเรือนชั้นในประเภทนี้หวังซีเห็นมามาก เดาออกด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางเองก็คร้านจะถามให้มากความ เลิกผ้าม่านขึ้นดูความครึกครื้นตลอดทางไปจวนเซียงหยางโหว

เนื่องจากชิงผิงโหวฮูหยินเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ งานวันคล้ายวันเกิดของบรรดาสะใภ้นั้นอย่างไรก็ไม่อาจจัดอย่างยิ่งใหญ่ได้ นายหญิงเจ็ดจัดงานเลี้ยงเชิญแขกครานี้ก็เปิดแค่ประตูข้าง เชิญสตรีจากตระกูลมีอำนาจและสถานะทัดเทียมกันหรือไม่ก็ตระกูลที่สนิทกันเท่านั้น

ตอนที่สตรีจวนหย่งเฉิงโหวเดินทางมาถึง แขกของจวนชิงผิงโหวก็มาถึงกว่าครึ่งแล้ว

เนื่องจากนายหญิงเจ็ดเป็นคนรุ่นเด็ก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ปรากฏตัวออกมา ทุกคนกำลังนั่งล้อมอยู่ข้างกายเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าพูดคุยกันอยู่

หวังซีลอบประหลาดใจ ฉังเคอเองก็ขยับเข้ามากระซิบข้างหูนางว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

ไม่รอให้หวังซีได้ส่ายศีรษะ คุณหนูรองอู๋ก็เดินนำลู่หลิงออกมาต้อนรับเสียก่อน

“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึงเสียที” คุณหนูรองอู๋เห็นหวังซีแล้วดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้ายังไม่มา ละครตลกคงไม่ได้เปิดทำการแสดงเสียทีเป็นแน่”

หวังซีงุนงง ยังเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าด้วย

งานเลี้ยงในบ้านนั้น ปกติจะจัดให้พวกการแสดงต่างๆ อยู่ช่วงบ่าย นี่ยังเช้าอยู่เลยนี่นา!

ลู่หลิงหัวเราะคิก คล้องแขนหวังซีเอาไว้ กล่าวว่า “นอกจากละครตลกแล้ว อาสะใภ้เจ็ดยังเตรียมมายากลและหุ่นกระบอกเงาเอาไว้ด้วย หากใครรู้สึกว่าเสียงดังเกินไป ก็ไปชมการแสดงงิ้วได้” นางกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เลยอยากรอเจ้ามาถึงก่อนแล้วค่อยเริ่มการแสดง” ยังบ่นนางอีกด้วยว่า “เจ้าเองก็มาช้าเกินไปแล้ว”

ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้น หวังซีเห็นคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวคล้องแขนสตรีท่านหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี ผิวขาวหน้าตาดี รูปร่างอวบเล็กน้อยเดินเข้ามา นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ข้าหาใช่คนมาสายที่สุด เจ้าดู ยังมีคนสายกว่าข้าอยู่”

ลู่หลิงยิ้มทว่าไม่กล่าวอะไร

หวังซีพลันตระหนักได้ว่า ลู่หลิงมิได้เห็นคนจวนเซียงหยางโหวเป็นสหาย

นางรู้สึกผิดเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวเองเนรคุณต่อความปรารถนาดีของลู่หลิงก็ไม่ปาน รีบจับลู่หลิงไว้อย่างสำนึกผิด “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาเป็นแขกที่จวนชิงผิงโหว ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง วันนี้จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะตามเจ้าไปทุกที่ เจ้าไปไหนข้าก็จะตามไปด้วย เจ้าชี้ซ้ายข้าย่อมไม่ไปขวาอย่างแน่นอน”

ลู่หลิงถูกหยอกจนหัวเราะร่า ดึงฉังเคอไว้ “พี่สาวสี่ฉังเจ้าก็มาด้วยกัน!” ไม่มีความคิดจะชวนฉังหนิงมาด้วย แต่ยังคงทักทายนางตามมารยาทประโยคหนึ่งว่า “บัดนี้พี่สาวรองฉังไม่เหมือนก่อนนี้แล้ว คงต้องอยู่เป็นเพื่อนโหวฮูหยินพูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย เช่นนั้นพวกข้าไม่รบกวนพี่สาวรองฉังแล้ว”