ตอนที่ 110 เบี้ยหวัดทหาร

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

เวทีการแสดงของจวนชิงผิงโหวตั้งอยู่บนพื้นที่ราบเรียบประหนึ่งลานประลองยุทธ์ผืนหนึ่ง กว้างขวาง เปิดโล่ง ส่วนที่นั่งดูงิ้วอยู่ตรงข้ามกับเวทีการแสดงพอดี รองรับคนจำนวนร้อยกว่าคนได้อย่างไม่มีปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียว

ตอนที่หวังซีและคนอื่นๆ มาถึง ยังไม่มีผู้ชมเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวไพร่ที่รับใช้อยู่ที่นั่น

หวังซีประหลาดใจเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคารแบบใด ล้วนสร้างขึ้นมาจากความจำเป็นทั้งสิ้น

หวังซีอดถามคุณหนูรองอู๋ไม่ได้ว่า “ปกติบ้านพวกเจ้าจัดงานเลี้ยงเชิญแขกมาเป็นจำนวนมากหรือ”

คุณหนูรองอู๋พยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลพวกข้ามีญาติพี่น้องจำนวนมาก ญาติที่ดองกันก็มากมาย ยามมีงานแต่งหรืองานศพ แม้แต่ที่นี่ยังไม่พอนั่งด้วยซ้ำ พวกข้าต้องวิ่งไปดูการแสดงงิ้วที่อาคารสูงข้างๆ แทน” ขณะที่กล่าว ยังชี้อาคารสองชั้นขนาดเล็กที่อยู่ไกลออกไปสองสามหลังด้วย

ไม่แปลกตอนงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ นางจะพาพวกนางไปดูงิ้วที่อาคารสองชั้น

หวังซีเม้มปากยิ้ม ชั่วขณะนั้นภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นตรงหน้า รู้สึกใกล้ชิดกับคุณหนูรองอู๋เพิ่มขึ้นหลายส่วน

ฉังเคอมองแล้วกัดริมฝีปาก

นางนิ่งเงียบมาตั้งแต่เด็กจนเคยชินไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็มักจะสังเกตการณ์ดูก่อนแล้วค่อยเอ่ยปากถามอย่างอ้อมค้อมแทน แต่ระยะนี้นางได้คลุกคลีกับหวังซีบ่อยครั้ง รู้สึกว่ามีเรื่องสงสัยอะไรก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่หวังซีทำ ทำให้คนรู้สึกสบายใจมากกว่า

นางควรจะเรียนรู้จากหวังซีดีหรือไม่นะ?

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในใจนาง หลังจากที่ได้ยินคุณหนูรองอู๋เล่าให้หวังซีฟังอย่างไม่ปิดบังว่าเรือนพักของพวกนางก็ไม่ค่อยเพียงพอเหมือนกัน ปกติแล้วสถานที่ชมการแสดงแห่งนี้เป็นลานประลองยุทธ์ ยามในบ้านมีเรื่องอะไรก็จะสร้างให้เป็นเวทีการแสดงนั่นแล้ว นางก็ตัดสินใจเอ่ยถามลู่หลิงว่า “วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามาด้วยได้อย่างไร เพราะไม่วางใจเจ้าหรือ”

ตามหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้อาวุโส อีกทั้งยังเป็นม่าย การมาอวยพรวันคล้ายวันเกิดนายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหว ดูขาดลำดับอาวุโสไป

ลู่หลิงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นคนเปิดเผยทุกเรื่องผู้หนึ่ง ได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “บ้านข้ามีข้าเพียงคนเดียว หากข้าออกมา ท่านย่าของข้าอยู่บ้านไม่มีคนให้พูดคุยด้วยแม้แต่คนเดียว ทุกครั้งที่จวนชิงผิงโหวเชิญแขก ล้วนส่งเทียบเชิญให้ท่านย่าของข้าต่างหาก เชิญท่านย่าข้ามาเป็นแขกที่บ้านด้วย มาพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า”

ถึงว่า!

ฉังเคอพลันเข้าใจในทันใด

ลู่หลิงกลับกล่าวต่ออย่างไม่เฉลียวแม้แต่นิดเดียวว่า “โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเทียบเชิญให้ท่านย่าของข้า เมื่อวานไม่รู้ว่าซูเฟยเหนียงเหนียงทำอะไรให้ฮ่องเต้ทรงขุ่นเคืองพระทัย เมื่อคืนนอกจากจะถูกฮ่องเต้ตำหนิแล้ว องค์ชายสามและองค์ชายห้าก็ถูกกักบริเวณด้วย องค์หญิงฟู่หยางร้องไห้เป็นสายฝน ไม่กล้าไปขอร้องจ่างกงจู่ ให้หมัวมัวข้างกายมาขอร้องท่านย่าของข้า ให้ท่านย่าข้าช่วยไปพูดกับจ่างกงจู่ให้ซูเฟยเหนียงเหนียง”

กล่าวถึงตรงนี้นางเบ้ปาก กล่าวต่อว่า “ซูเฟยเหนียงเหนียงก็มีข้อเสียที่ตรงนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ถึงยามจำเป็นก่อนถึงจะติดสินบนผู้อื่น องค์หญิงฟู่หยางก็เลียนแบบข้อเสียนี้ของนางมาด้วย นางมาขอร้องท่านย่าของข้าก็ขอไปเถอะ นางอายุยังน้อย ท่านย่าของข้าย่อมไม่อาจทนมองนางตกใจกลัวได้อยู่แล้ว แต่ที่น่ากวนใจคือนางยังให้คนส่งของขวัญมาให้อีกหนึ่งคันรถ พวกเจ้าว่า หากท่านย่าของข้ารับไว้ จะกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว?…

…จำต้องคืนกลับไปให้นาง และยังต้องหลบออกมาด้วย”

น้ำเสียงของลู่หลิงเจือความไม่พอใจอยู่ด้วย ทว่าทำให้คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ มีเหงื่อเย็นท่วมร่าง

คุณหนูรองอู๋รู้สึกว่าลู่หลิงไม่รู้จักระแวดระวังมากเกินไป ส่วนพวกหวังซีกังวลใจว่าตนได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วจะถูกลากเข้าไปติดร่างแหด้วยหรือไม่

“ละครตลกนี้เป็นเจ้าที่กอดแขนท่านอาสะใภ้เจ็ดออดอ้อนขอมา” คุณหนูรองอู๋กลัวลู่หลิงจะพูดเรื่องนั้นต่อ จึงรีบตัดบทคำพูดของนาง กล่าวว่า “เจ้าอย่าบอกเชียวว่าไม่สนใจแล้ว หาไม่ต่อให้ท่านอาสะใภ้เจ็ดจะปกป้องเจ้าอย่างไร ข้าก็จะเอาเจ้าไปฟ้องท่านย่าสักครั้งให้ได้”

ลู่หลิงหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คุณหนูรองอู๋ครั้งหนึ่ง เดินตามคุณหนูรองอู๋ไปตามซุ้มทางเดินดอกไม้เพื่อไปชมงิ้วอย่างเชื่อฟัง

หวังซีให้ความร่วมมือกับคุณหนูรองอู๋เงียบๆ ยิ้มกล่าวว่า “มีเพียงพวกเราไม่กี่คนก็เริ่มการแสดงแล้ว?”

แสดงงิ้วหนึ่งครั้งมิใช่ราคาถูกๆ ไม่ว่าบ้านใด การทำเช่นนี้ล้วนถือเป็นเรื่องใหญ่

หวังซีดูไม่ออกว่าพวกนางสองสามคนนี้มีตรงไหนที่ควรค่าให้จวนชิงผิงโหวต้องให้ความสำคัญ

“แน่นอน!” คุณหนูรองอู๋ยิ้ม กล่าวว่า “ท่านอาสะใภ้เจ็ดของข้าเชิญมาให้ลู่หลิงโดยเฉพาะ หวังว่านางจะเล่นอยู่ที่บ้านของพวกข้าอย่างสงบสุขไปตลอดทั้งวันได้ มิใช่พอมาถึงก็ร้องบอกว่าน่าเบื่ออยากกลับบ้าน”

ลู่หลิงหน้าแดงก่ำขึ้นมา กล่าวอย่างอับอายว่า “นะ… นั่นมิใช่เพราะข้ายังเด็กไม่รู้ความหรอกหรือ ข้าโตแล้วเคยวิ่งไปทั่วตอนไหนกัน”

คุณหนูรองอู๋ทำเพียงป้องปากหัวเราะ

ลู่หลิงดึงคนอย่างโกลาหลด้วยความอับอาย คนที่คว้าได้คือฉังเคอก็ไม่สนใจพาวิ่งหนีไปตามซุ้มทางเดินดอกไม้ กลับเป็นฉังเคอที่ถูกดึงจนโซซัดโซเซเนื่องจากไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งน่าขันและน่าโมโห วิ่งตามนางไปด้วยกล่าวไปด้วยว่า “เจ้าลากมาผิดคนแล้ว!”

“พี่สาวสี่ฉังมาเล่นกับข้าเถอะ” นางหน้าแดงเรื่อ กล่าวออดอ้อนฉังเคอ

ฉังเคอชอบเด็กสาวน่ารักอ่อนหวานเป็นที่สุด ไหนเลยจะต้านทานได้ ได้แต่ส่ายศีรษะปล่อยให้นางพาเดินไปตามซุ้มทางเดินดอกไม้

คุณหนูรองอู๋กับหวังซีหัวเราะไม่หยุด คุณหนูรองอู๋กลัวหวังซีเข้าใจผิด จึงกระซิบอธิบายให้นางฟังว่า “ครั้งนี้จวนพวกข้าต่างซาบซึ้งใจต่อเจียงชวนป๋อเป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะเขาช่วยพูดต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ให้ตระกูลพวกข้า เกรงว่าเบี้ยหวัดทหารของปีนี้คงไม่ได้รับแจกจ่ายลงมาอย่างง่ายดายขนาดนี้ ดังนั้นคนในบ้านพวกข้าจึงดูแลอาหลิงมากเป็นพิเศษ”

หวังซีได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด

เรื่องเบี้ยหวัดทหารเกี่ยวข้องกับรากฐานของประเทศ แต่การสั่งจ่ายลงมาเป็นชั้นๆ ย่อมมีคนคิดแสวงหาผลประโยชน์ กระทั่งยักยอกเอาไปส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่การที่ผัดผ่อนจนล่าช้ามาตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เช่นนี้ มิใช่สถานการณ์ที่ดีนัก

ความจริงแล้วนางไม่ควรสอบถามเรื่องประเภทนี้ แต่นางกับคุณหนูรองอู๋นั้นนอกจากจะเหมือนเป็นสหายเก่าตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกแล้ว คุณหนูรองอู๋ยังจริงใจกับนางมาก หากนางยังพยายามปิดบัง ก็เท่ากับมิได้เห็นคุณหนูรองอู๋เป็นสหายแล้ว นางรีบกล่าวว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เบี้ยหวัดทหารของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง หรือนานๆ ถึงจะเป็นเช่นนี้ครั้งหนึ่ง?”

เห็นได้ชัดว่าคุณหนูรองอู๋เองก็สงสัยเรื่องนี้มากเช่นกัน กล่าวว่า “ถึงแม้เมื่อก่อนก็มีการผัดผ่อนเช่นกัน แต่ส่วนมากปัญหาล้วนอยู่ที่กรมกลาโหมหรือไม่ก็กรมคลัง การผัดผ่อนตั้งแต่ที่ฮ่องเต้นี้นับว่าเป็นครั้งแรก”

“เช่นนั้นฮ่องเต้ทรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่” หวังซีรู้สึกร้อนใจมากยิ่งขึ้น

ปกติแล้วหากผู้อยู่เบื้องบนกระทำเช่นนี้ หากมิใช่เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้ขุ่นเคืองใจ ต้องการสั่งสอนเขาสักหน่อย ก็เป็นเพราะเจตนาสร้างความลำบาก ต้องการเปลี่ยนแม่ทัพ

จวนชิงผิงโหวพิทักษ์ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมานานหลายปี อีกทั้งในราชสำนักก็ไม่ได้ข่าวเรื่องแม่ทัพเลื่องชื่อคนใดเสียชีวิต หากฮ่องเต้ไม่พอพระทัยจวนชิงผิงโหวจริงๆ มันจะเป็นทั้งหายนะของจวนชิงผิงโหวและหายนะของประชาชนด้วย

คุณหนูรองอู๋เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ รู้สึกว่านางไม่ได้มองสหายอย่างหวังซีผิดไปจริงๆ คำพูดคำจาจึงตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ฮ่องเต้ทรงคิดว่าศึกที่หมิ่นหนานสำคัญกว่า อยากให้ตระกูลพวกข้าระดมทุนส่วนหนึ่งเป็นเบี้ยหวัดให้ทหารด้วยตัวเอง โยกย้ายเบี้ยหวัดทหารครึ่งหนึ่งไปให้ท่าเรือที่ค่ายเทียนจิน ท่านปู่ของข้าคิดว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ก็กลัวฮ่องเต้จะทรงคิดว่าตระกูลพวกข้าสั่งสมกองกำลังของตัวเอง จึงรู้สึกลังเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่เจียงชวนป๋อออกหน้าช่วยเหลือตระกูลพวกข้าให้รอดพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ไปได้”

หวังซีตะลึงงัน

มิใช่ว่าฮ่องเต้โยกย้ายเงินของท่าเรือค่ายเทียนจินให้คนตระกูลเดิมของหนิงผิน มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายเจ็ดอย่างลับๆ หรอกหรือ

หรือชิงผิงโหวและเจียงชวนป๋อต่างไม่รู้เรื่องนี้?

หวังซีเม้มปากแน่น คล้ายกับว่าทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยเก็บความลับให้เฉินลั่วได้

คุณหนูรองอู๋กลับเข้าใจผิดคิดว่านางกำลังขุ่นเคืองต่อความอยุติธรรมแทนจวนชิงผิงโหวอยู่ กล่าวปลอบโยนนางเสียงเบาว่า “เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าตระกูลพวกข้าพานพบเพียงครั้งสองครั้ง หาทางแก้ไขได้โดยไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสได้ก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ค่อยๆ วางแผนหาทางกันต่อไป!”

หวังซีรู้สึกจิตใจสับสนวุ่นวาย

ฮ่องเต้จัดลำดับความสำคัญของเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลยหรือ กองทัพของประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ควรเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมิใช่หรือ

ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายแล้วเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการรวบรวมเงินส่วนตัวให้ตระกูลเดิมของหนิงผินก็เลยหาประโยชน์จากเบี้ยหวัดทหารของจวนชิงผิงโหว หรือเป็นเพราะไม่พอใจจวนชิงผิงโหวจริงๆ จึงต้องการคิดบัญชีพวกเขากันแน่?

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง ล้วนทำให้หวังซีรู้สึกถึงสายลมเหนืออาคารเป็นลางบอกเหตุถึงพายุฝนที่กำลังจะตามมา

นางไหนเลยจะมีกะจิตกะใจดูละครตลกอะไรได้อีก

ไม่ง่ายเลยกว่าหวังซีจะดึงจิตใจและอารมณ์มาสังสรรค์กับแขกคนอื่นๆ ข้างกายได้ ภายใต้ความตั้งใจช่วยเหลือของคุณหนูรองอู๋ นางไม่เพียงได้รู้จักคุณหนูสองสามท่านที่ผู้อาวุโสดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมกลาโหมเท่านั้น ยังได้พบสตรีจากตระกูลของอวี๋จงอี้ เสนาบดีกรมกลาโหมและมหาบัณฑิตพระที่นั่งอู่อิงผู้เป็นหลักพึ่งพิงของตระกูลซืออีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานสาวผู้หนึ่งของอวี๋จงอี้มาคุยกับนางอย่างร่าเริง ทุกคนยังนัดแนะกันว่าอีกไม่กี่วันจะไปชมบุปผาที่จวนเจียงชวนป๋อ นับเป็นดอกผลที่นางได้จากการมาเยือนจวนชิงผิงโหว

ส่วนเจ้าของวันเกิดของวันนี้อย่างนายหญิงเจ็ดตระกูลอู๋ หวังซีก็ได้พบแล้วเช่นกัน

นางเป็นสตรีผอมสูงผู้หนึ่ง รูปร่างผอมบางมากทว่ามิใช่สตรีแบบบางอ้อนแอ้นเหมือนกิ่งหลิวอ่อนแอลู่ไปตามลมเช่นนั้น แต่สูงสง่าดุจต้นสน สีผิวก็เป็นสีน้ำผึ้งที่พบเห็นได้น้อยในสตรี คิ้วโก่งโค้งดวงตาเมล็ดซิ่ง ยามยิ้มดูเปิดเผยจริงใจและมีชีวิตชีวา มีความน่ารักและเสน่ห์ของสตรี แต่ก็มีความองอาจเยี่ยงวีรบุรุษของบุรุษอยู่ด้วย ยืนอยู่ท่ามกลางสตรีชั้นสูงจำนวนมากที่บ้างก็แต่งกายสีสันสดใส บ้างก็แต่งกายหรูหรา ทว่ากลับดูเหมือนเป็นนกกระเรียนยืนท่ามกลางฝูงไก่ ทำให้แค่มองคนก็ไม่อาจลืมเลือน แล้วก็ยากจะเคลื่อนย้ายสายตาไปมองที่อื่นได้อีกด้วย

หวังซียังจำได้ตอนนั้นตนร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า “นางเป็นสตรีจากตระกูลใดหรือ”

จากความทรงจำของนาง เด็กสาวจะดีหรือไม่ดี หลักใหญ่ใจความสำคัญขึ้นอยู่กับว่าถูกอบรมสั่งสอนมาจากครอบครัวเช่นไร

คุณหนูรองอู๋เห็นอาการประหลาดใจและชื่นชมเช่นนี้มามากแล้ว ไม่ค่อยใส่ใจนัก กล่าวยิ้มๆ อย่างสงบว่า “บิดาของท่านอาสะใภ้เจ็ดคือผู้บังคับบัญชากองพลค่ายซีหนิง นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว ถูกเลี้ยงดูเยี่ยงเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ขี่ม้ายิงธนู เคลื่อนทัพกรีธาพลเก่งกาจกว่าท่านอาเจ็ดของข้า ออกงานสังคมผูกสัมพันธ์กับแขกเหรื่อก็คล่องแคล่วกว่าท่านแม่ของข้าเสียอีก ท่านอาเจ็ดของข้าใช้ความพยายามมากมายกว่าจะสู่ขอท่านอาสะใภ้เจ็ดของข้ากลับมาได้ มองท่านอาสะใภ้เจ็ดของข้าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า”

กล่าวถึงตรงนี้ นางราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้หัวเราะสองสามเสียง ถึงได้กล่าวต่อว่า “นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านอาเจ็ดของข้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนกลัวเมียแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือ”

ดวงตาทั้งสองข้างของหวังซีเป็นประกาย หลังจากนั้นเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยงจึงพยายามคิดว่าจะสร้างความประทับใจให้นายหญิงเจ็ดท่านนี้อย่างไรดี ทำให้ลืมความกังวลเรื่องเบี้ยหวัดทหารไปชั่วขณะหนึ่ง ตรงกันข้ามเป็นแขกอยู่ในจวนชิงผิงโหวอย่างมีความสุขไปครึ่งวัน

กลับเป็นฉังเคอ เพื่อส่งสารแทนฉังเหยียนแล้ว นางเข้าไปชวนคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวคุยก่อน ทว่าทำให้นายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวที่ร่วมทางมากับคุณหนูห้าขมวดคิ้วน้อยๆ ดึงนางไปคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกว่าครึ่งค่อนวัน ในบทสนทนาล้วนเป็นการสืบเรื่องของหวังซี ยังถามฉังเคอด้วยว่ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนเชิญเสี่ยวหลีฮวา?

ฉังเคอมิใช่คนไร้ไหวพริบ ได้ยินความนัยที่แฝงอยู่ในวาจาของนายหญิงรองจวนเซียงหยางโหวแล้ว หากมิใช่พูดเลี่ยงไป นางก็ตอบว่าไม่รู้ นอกจากทำให้นายหญิงรองจวนเซียงหยางโหวรู้ว่าทำไม่สำเร็จยอมถอยทัพแล้ว หลังจากที่นางหนีห่างจากคนจวนเซียงหยางโหวได้ก็รีบไปหาหวังซีทันที เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง

หวังซีคาดเดาว่าจวนเซียงหยางโหวคงรู้เรื่องที่เฉินลั่วส่งเทียบไปให้คณะหลีฮวาแล้ว แต่นางรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง

ตั้งแต่เล็กจนโต มีคนพยายามมาสืบข่าวจากนางอย่างคลุมเครือเป็นจำนวนมาก หากนางต้องเฝ้าระวังทุกคน คงไม่ต้องใช้ชีวิตกันพอดี

ถึงอย่างไรฝ่ายบุ๋นนางมีไป๋กั่วกับไป๋ซู่ ฝ่ายบู๊มีชิงโฉวกับหงโฉว ในเรือนมีหวังหมัวมัว นอกเรือนมีหวังสี่ ยังมีผู้อาวุโสทั้งหลายที่คอยปกป้องนางอยู่ทุกเรื่อง ถึงเวลาทหารมาค่อยหาขุนพลมาต้าน น้ำมาค่อยหาดินมาอุดก็ได้แล้ว

………………………………………………………………

ตอนต่อไป