ฉังเคอกลับมิได้ใจกล้าเช่นหวังซี แม้นนางไม่ใช่คนชอบตัดสินถูกผิดลับหลังผู้อื่น แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหวังซี นางยังคงกระซิบกล่าวว่า “จวนเซียงหยางโหวนั้นหากมิได้ประโยชน์ไม่ตื่นเช้า พวกเราระวังตัวเอาไว้สักหน่อยดีกว่า จะได้ไม่ถูกหลอกหัวโต มิใช่ว่าจวนเซียงหยางโหวไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน”
หวังซีกล่าวปลอบโยนฉังเคอว่า “นั่นก็ต้องมีผลประโยชน์ให้แสวงหาด้วยถึงจะทำได้ ข้ามีอะไรควรค่าให้พวกนางแสวงหาผลประโยชน์? อีกอย่าง สตรีในเรือนชั้นในนั้น ไปๆ มาๆ ก็มีอุบายแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น พวกเราก็มิใช่คนโง่ ระแวดระวังพวกนางเอาไว้ โอกาสถูกหลอกย่อมน้อยลงแล้ว”
นี่ก็จริง
ปกติฉังเคอไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ยามพานพบกับเรื่องอะไรก็คิดแง่ร้ายเอาไว้ก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังซีกับนางไม่เหมือนกัน ต่อให้จวนเซียงหยางโหวมีแผนการอะไร ก็ยังต้องดูว่าผู้อาวุโสของผู้อื่นยอมหรือไม่ยอมด้วยนี่นา
เมื่อนางคิดเช่นนี้แล้ว หัวใจก็สงบลงมา แต่ก็นึกอีกหนึ่งเรื่องขึ้นมาได้ นางยิ้มร่าพลางดึงหวังซีไปข้างๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าพูดความจริงกับข้ามา เฉินลั่วเป็นคนเชิญเสี่ยวหลีฮวาผู้นั้นมาให้เจ้าจริงหรือเปล่า”
หวังซีไม่ปิดบังนาง ยอมรับอย่างเป็นธรรมชาติและสบายๆ
ฉังเคอตะลึงงัน กล่าวว่า “เขาทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องรู้ว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจเย็นชา หรือระหว่างพวกเจ้ายังมีอะไรอย่างอื่นซ่อนอยู่อีก?”
ยิ่งพูดดวงตาของนางก็ยิ่งเบิกกว้าง “หรือเฉินลั่วผู้นั้นจะรู้สึกอะไรกับเจ้าจริงๆ? เขายังต่อยปั๋วหมิงเย่ว์ให้เจ้าด้วยนี่นา? แล้วปั๋วหมิงเย่ว์ยังเคยส่งของขวัญมาให้เจ้าหนึ่งคันรถด้วย!”
ขณะที่นางกล่าว ก็อ้าปากกว้าง มองสำรวจหวังซีขึ้นลง ประหนึ่งต้องการเพ่งพิศพิจารณานางให้ละเอียดอีกครั้ง
หวังซีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รู้ว่าฉังเคอเข้าใจผิดไปแล้ว แต่บางเรื่องนางพูดได้ บางเรื่องก็พูดไม่ได้ นางจำต้องอธิบายให้ฉังเคอฟังอีกรอบหนึ่งว่าของขวัญที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งมาให้นั้นเป็นของขวัญสำหรับขอโทษนาง ส่วนที่เฉินลั่วเชิญเสี่ยวหลีฮวามาทำการแสดงให้นางก็เพราะนางขอให้เขาช่วย
ฉังเคอไม่เชื่อ นางพึมพำกล่าวว่า “นี่ไม่เหมือนเรื่องที่ทั้งปั๋วหมิงเย่ว์และเฉินลั่วจะทำได้เลย หรือสองคนนี้จะถูกตีจนเสียสติไปแล้ว? ปั๋วหมิงเย่ว์นั้นข้าไม่กล้ารับประกัน ทว่าเฉินลั่วข้ากลับรู้มาว่าช่วงก่อนเขายังถีบหัวส่งพี่เขยของเขาไปที่ค่ายเฉิงโจวอยู่เลย เขามิใช่คนจิตใจดีอะไร!”
หวังซีไม่ชอบฟังถ้อยคำนี้ นางกล่าวแยกแยะให้ฟังว่า “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าเคยเห็นพี่น้องสกุลเฉินจากที่ไกลๆ เท่านั้น ไม่เคยได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามาก่อน เฉินอิงเป็นคนเช่นไร เฉินลั่วเป็นคนเช่นไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำเล่าลือทั้งนั้น สุดท้ายแล้วบุตรเขยใหญ่ของตระกูลเฉินไปค่ายเฉิงโจวได้อย่างไรนั้น เจ้ากล้าตบอกรับประกันหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของเฉินลั่วจริงๆ? เจ้าไปฟังจากผู้ใดมาอีกแล้วว่าเขาถีบหัวส่งพี่เขยของเขาไปค่ายเฉิงโจว?”
ฉังเคอหน้าแดง ไม่ได้กล่าวอะไร
หวังซีกลับคิดว่า แม้นคำพูดของคนจะน่ากลัว แต่ข้าแยกแยะเป็นเรื่องๆ ได้ ทว่าก็ไม่อาจปล่อยผ่านโดยไม่สนใจเพราะเห็นว่าเป็นคำพูดไร้น้ำหนักได้ นางจึงจับมือของฉังเคอเอาไว้ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ตอนนี้พวกเราล้วนโตกันแล้ว ไม่อาจทำเหมือนตอนเป็นเด็กที่นึกจะพูดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น ข้าเคยปฏิสัมพันธ์กับเฉินลั่วมาก่อน เขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ข้ากลับรู้สึกว่าต่อให้เขาเป็นคนถีบหัวส่งพี่เขยของเขาไปค่ายเฉิงโจว แต่มิใช่ว่ามีเจิ้นกั๋วกงอยู่หรอกหรือ เขาที่เป็นพ่อภรรยาผู้หนึ่งยังไม่คัดค้านอะไรสักคำ แล้วมีอะไรให้พวกเราต้องรู้สึกอยุติธรรมแทนด้วย! เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่”
ฉังเคอขมวดคิ้ว ครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “อาซี เจ้าพูดถูก เจิ้นกั๋วกงตำแหน่งสูงส่ง อีกทั้งยังรักพี่สาวเจวี๋ยดั่งไข่มุกดุจหยก ต่อให้เฉินลั่วเป็นคนทำให้พี่เขยเจวี๋ยต้องไปค่ายเฉิงโจวอย่างที่ผู้อื่นเล่าลือกันจริง แต่ด้วยความสามารถของเจิ้นกั๋วกง ก็แค่หาทางพาคนกลับมาก็ได้แล้ว”
แต่บุตรเขยใหญ่ตระกูลเฉิงยังคงเลือกจะไปค่ายเฉิงโจว เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้อื่นเล่าลือกัน
นางกล่าวกับหวังซีอย่างกระดากอายเล็กน้อยว่า “ข้าไม่ควรว่าเฉินลั่วเช่นนี้จริงๆ”
หวังซีโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง คล้องแขนของฉังเคอเอาไว้ ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไอโย พวกเราเป็นเหมือนคนอ่านบทกวีแล้วกังวลใจแทนคนโบราณไม่มีผิด เรื่องของพวกเขาเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? พวกเราไปคิดเรื่องจะสวมใส่อาภรณ์อะไรตอนไปเป็นแขกที่จวนเจียงชวนป๋อดีกว่ากระมัง”
ฉังเคอพยักหน้า
ทั้งสองคนหัวเราะร่าเดินจากไป
กลับมีคนสองคนเดินออกมาจากหลังกำแพงดอกไม้ที่พวกนางเคยยืนอยู่ ท่านหนึ่งใช้ไม้เท้าค้ำเอาไว้ เส้นผมดุจเส้นเงินทว่าใบหน้าแดงปลั่ง ดวงตาทั้งคู่สุกใส ส่วนอีกท่านหนึ่งหน้าตาเป็นมิตรใจดี ดวงหน้าสง่าผ่าเผย ซึ่งก็คือเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าคนที่ถูกทุกคนนั่งห้อมล้อมก่อนหน้าผู้นั้น
ชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กสาวผู้นี้ช่างน่าสนใจ ถึงกับกล่าวแก้ต่างให้หลานรองตระกูลเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นลูกหลานตระกูลใด หน้าตางดงามเพียงนี้”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตอบว่า “เป็นบุตรสาวของเด็กสาวรองที่หายตัวไปผู้นั้นของจวนหย่งเฉิงโหว ข้าเคยเจอที่งานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ เที่ยวเล่นกับหลิงเอ๋อร์ของพวกข้า แล้วก็จู๋เอ๋อร์ของพวกเจ้า ก่อนเดินทางกลับคงจะไปคารวะท่าน”
ชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า ไม่สนใจเรื่องของพวกเด็กๆ อีก แต่มีความหดหู่ใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงหน้าแทน กล่าวว่า “เจ้าว่า ฮ่องเต้ต้องการทำอะไรกันแน่ เขาคงไม่เป็นเหมือนฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรอกกระมัง ที่แก่ชราลงแล้วจึงเลอะเลือน ไม่แต่งตั้งรัชทายาท หลงเชื่อชายารัก นี่นับเป็นลางบอกเหตุของราชาไร้จิตสำนึกแล้ว!”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าชินกับการพูดอย่างตรงไปตรงมาของนางยามอยู่ต่อหน้าตนแล้ว ถอนหายใจกล่าว “ใครจะรู้! ตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่ดูไปทีละก้าวๆ เท่านั้นแล้ว”
ไม่ได้เป็นเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนถูกติเตียนจึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่เล่าลือกันในตลาด
“โชคดีที่พวกเราทั้งสองตระกูลต่างมีข้อดีของตัวเอง” นางกล่าวอย่างคนพยายามหาข้อดีจากความขมขื่น “ตระกูลพวกเจ้าเป็นดั่งเรือมีคนมากจึงยืนได้อย่างมั่นคง ส่วนตระกูลพวกข้าเป็นดั่งเรือมีคนน้อยจึงหันหัวเรือได้ง่าย คงทำได้แค่รอดูการเคลื่อนหมากแล้ว”
ชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าครวญเสียงเย็นหลายเสียง มุ่งหน้าไปทางเวทีการแสดงพร้อมกับเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่า
ไม่มีสาวใช้ติดตามอยู่ด้านหลังเลยแม้แต่คนเดียว
***
หวังซีย่อมไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนกับฉังเคอเดินจากมาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนเดินทางกลับนางตามคุณหนูรองอู๋ไปกล่าวอำลาชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติกับนางอย่างเป็นมิตร ยังตั้งใจคุยกับนางเป็นพิเศษอีกสองประโยคด้วย
หย่งเฉิงโหวฮูหยินค่อนข้างประหลาดใจ มองหวังซีแล้วก็มองอีก มองจนหวังซีคิดว่าตัวเองแต่งหน้าไม่เหมาะสมเสียอีก
โหวฮูหยินหัวเราะแต่ไม่ได้กล่าวอธิบายอะไร ตอนอยู่บนรถม้าระหว่างเดินทางกลับจวนนางกล่าวกับพานหมัวมัวว่า “คุณหนูสกุลหวังเป็นคนมีวาสนาดีผู้หนึ่ง แม้แต่ชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่านางยังได้พูดคุยด้วยหลายประโยค ยอดเยี่ยมกว่ามารดาของนางมากโข”
ฉังหนิงที่นั่งรถม้ามาด้วยแสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า “ก็แค่อาศัยว่าหน้าตางดงามเท่านั้น…”
โหวฮูหยินทนฟังถ้อยคำนี้ของนางไม่ได้ กล่าวตัดบทถ้อยคำพร่ำบ่นของบุตรสาวในทันที กล่าวอย่างเย็นชาว่า “หน้าตาดีก็ถือเป็นความโชคดีประเภทหนึ่ง หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ตั้งใจแต่งหน้าแต่งตา ช่วงชิงเอาตำแหน่งหญิงงามมาเอาชนะคุณหนูหวังให้ได้ก็แล้วกัน นิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้ นอกจากทำให้คนรู้สึกน่าขันแล้ว มีอะไรดีบ้าง”
ฉังหนิงนึกถึงคำขู่ของมารดาเกี่ยวกับสินเจ้าสาว มุมปากเปิดๆ ปิดๆ อยากพูด แต่สุดท้ายก็ไม่กล่าวอะไรอีก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต หวังซีในตอนนี้เพิ่งออกมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ก็ถูกคุณหนูห้าและนายหญิงรองที่เป็นตัวแทนของจวนเซียงหยางโหวมาร่วมงานเลี้ยงที่จวนชิงผิงโหวไล่ตามมาจากด้านหลัง นายหญิงรองผู้นั้นยังกล่าวอย่างสนิทสนมว่า “เห็นได้ชัดว่าข้ากับคุณหนูหวังมีวาสนาต่อกัน การที่พวกเราเรียก ‘คุณหนูหวัง คุณหนูหวัง’ เช่นนี้ พอมีคนมากแล้ว คาดว่าคุณหนูหวังเองก็คงไม่รู้แล้วว่ากำลังเรียกผู้ใดอยู่ คุณหนูหวังคงต้องเปิดเผยชื่อแซ่กับพวกเราแล้วถึงจะถูก”
ชื่อแซ่ของคุณหนู จะเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบง่ายๆ ได้อย่างไร!
คำพูดของฉังเคอยังประทับตราอยู่ในใจของหวังซี หวังซีไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับนายหญิงรองท่านนี้มาก่อน แต่แค่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของนางก็รู้สึกไม่ค่อยชอบนางแล้ว หวังซียิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “ถึงข้าบอกท่านไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นา! หรือท่านจะอ้างชื่อข้าต่อหน้าคนตระกูลใหญ่ตระกูลโตได้?”
คำพูดกลับเป็นดั่งเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้าไหม
นายหญิงรองจวนเซียงหยางโหวมองดวงหน้าที่แย้มรอยยิ้มหวานเจือความไร้เดียงสาเอาไว้หลายส่วนของนาง คนที่ไหลลื่นขนาดนี้ ยังตะลึงงันไปหลายลมหายใจ
หวังซีไม่คิดจะสนทนากับพวกนางมากมาย ย่อเข่าทำความเคารพครั้งหนึ่งแล้วก็ดึงฉังเคอหมายจะวิ่งจากไป “ผู้อาวุโสที่บ้านยังรอข้ากลับจวนอยู่ คราวหน้าหากมีโอกาสค่อยไปคารวะท่านนะเจ้าคะ”
“นี่…” นายหญิงรองมองเงาหลังของพวกนางที่วิ่งฉิวหนีไป ไม่มีโอกาสได้พูดประโยคที่สอง
นายหญิงรองกระทืบเท้าไม่หยุด
คุณหนูห้ากลับก้มศีรษะลง ป้องปากหัวเราะอยู่ในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
***
เมื่อกลับถึงจวนหย่งเฉิงโหวหวังซีก็ให้คนไปส่งจดหมายให้เฉินลั่ว
เฉินลั่วกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่ เมื่อเห็นจดหมายของหวังซีก็คร้านจะใช้เวลาสองถึงสามวันในการนัดหมายเวลาและสถานที่ เขายัดจดหมายเข้าไปซ่อนในอกเสื้อ ตอบไปเพียงประโยคหนึ่งว่า เข้าใจแล้ว จากนั้นก็ไล่คนส่งจดหมายกลับมา
หวังสี่ได้รับข่าวแล้วหัวคิ้วผูกเป็นปมแน่นจนบีบยุงให้ตายได้
คุณหนูใหญ่ของพวกเขาไม่เคยถูกคนดูแคลนเช่นนี้มาก่อน
ความจริงแล้วเรื่องทำการค้าควรเป็นเรื่องของพวกคุณชาย เหตุใดคุณหนูใหญ่ของพวกเขาต้องมาทุกข์ทนด้วย
หวังสี่กดทับกองไฟสุมหนึ่งไว้ในใจ
เฉินลั่วกลับใช้อุบายเดิมปีนกำแพงมาเจอหวังซีอีกครั้งในเย็นของวันเดียวกันนั้นนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขาดูสบายๆ กว่าคราวที่แล้วเสียอีก คราก่อนจะดีร้ายเขายังสวมชุดขุนนาง แต่งตัวเต็มยศเรียบร้อย แต่วันนี้สวมเพียงชุดเต้าเผาผ้าไหมหังโจวสีน้ำทะเลสาบไร้ลวดลายกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งเท่านั้น
นับเป็นครั้งแรกที่หวังซีเห็นเฉินลั่วสวมอาภรณ์สีอ่อนเช่นนี้ ขับให้สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงหลายส่วน ทำให้คนรู้สึกใกล้ชิดได้ง่ายขึ้นกว่าวันก่อน ก็ดูดีมากเหมือนกัน
ดวงตาของนางเผยแววชื่นชมออกมา เชิญเฉินลั่วไปนั่งดื่มชาใต้ซุ้มองุ่นเช่นเดิม
เป็นครั้งแรกที่เฉินลั่วเห็นแววตาชื่นชมหน้าตาของตนจากดวงตาของหวังซี เขาประหลาดใจเล็กน้อย หวนนึกถึงตอนที่เขาไปค่ายทหารสมัยเป็นเด็กแล้วได้ยินพวกบ่าวชายและหัวหน้านายกองเหล่านั้นพูดถึงสตรีขึ้นมา ก็มิได้งดงามมากเป็นพิเศษ เพียงแต่มองนานๆ แล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อได้ปฏิสัมพันธ์กันนานวันเข้า รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ก็จะกลายเป็นยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบายใจได้ บางทีนี่อาจเป็นอย่างที่ในตำราบอกไว้ว่า ‘ความงามขึ้นอยู่กับคนมอง’
เฉินลั่วรู้สึกว่าที่หวังซีมองเขาก็น่าจะเป็นเช่นนี้
แน่นอน ที่บอกว่า ‘ความงามขึ้นอยู่กับคนมอง’ นั้นอาจเปรียบเปรยได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่โดยมากแล้วน่าจะเป็นเพราะหวังซีเข้าใจตัวเขา ถึงได้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาสบายตากระมัง
ขณะที่เฉินลั่วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น รู้สึกว่าหวังซีที่สวมชุดกระโปรงคาดหน้าอกผ้าโปร่งสีขาวธรรมดา กำลังโบกพัดกลมโปร่งบางอยู่นั้นเหมือนดอกโบตั๋นสีขาวดอกหนึ่งก็ไม่ปาน ไม่เพียงงดงาม ยังน่ารักมากอีกด้วย
เมื่อก่อนหากนางยืนอยู่กลางฝูงชน เขาก็คงไม่ได้สังเกตเห็นเท่าไรนัก
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ต้องปฏิสัมพันธ์กันให้มาก
หวังซีที่อยู่ตรงหน้าเขากลับถอนหายใจ อยากจะเขย่าศีรษะของเขาเหลือเกิน
นางไอแรงๆ สองครั้ง ดึงสติของเฉินลั่วที่ไม่รู้ว่าโบยบินไปถึงไหนแล้วกลับมา แล้วก็เอ่ยถามอีกครั้งหนึ่งว่า “เจ้ารู้เรื่องที่ฮ่องเต้คิดจะลดเบี้ยหวัดทหารของจวนชิงผิงโหวหรือไม่”
สวนร่มหลิวในค่ำคืนฤดูร้อน เงาต้นไม้หนาแน่น ผิวดินที่ผ่านการพรมน้ำมาแล้วปล่อยไอร้อนบางเบาจากความร้อนของตอนกลางวันออกมา ผสมผสานกับกลิ่นหอมอันเข้มข้นของดอกอวี้จาน ดอกมะลิและดอกราตรี ให้ความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยและผ่อนคลาย
เฉินลั่วพลันรู้สึกว่าค่ำคืนฤดูร้อนที่ดีขนาดนี้ พวกเขากลับพูดเรื่องของผู้อื่น รู้สึกเป็นการทำลายบรรยากาศให้สูญเปล่าเหมือนต้มนกกระยางเป็นอาหารหรือไม่ก็เผาพิณเป็นเชื้อเพลิงเล็กน้อย
แต่เขาก็แค่คิดเท่านั้น
ควรพูดอะไรถึงจะเข้ากับสถานการณ์นั้น ชั่วขณะนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาตอบไปตามสัญชาตญาณว่า “ข้าทราบเรื่องนี้แล้ว ใต้เท้าอวี๋เป็นคนบอกข้า”
………………………………………………………………
ตอนต่อไป