บทที่ 10 เรียกข้าว่าเสด็จอา

บัลลังก์ชายาหมอเทวดา

บทที่ 10 เรียกข้าว่าเสด็จอา

เสียงของคนคนนั้นก็คือเย่เจียหยู นางตะโกนเรียกอ๋องเซ่อเจิ้งเอาไว้เพื่อคิดจะรั้งเย่จายซิงเอาไว้
แต่นางกลับพูดอะไรไม่ออก อ๋องเซ่อเจิ้งหันหน้ากลับมา เขาจ้องนางด้วยสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นนางจึงพูดอะไรไม่ออกอีก
จนกระทั่งเห็นกิเลนบินจากไปและองครักษ์ลับที่เคลื่อนไหวราววิญญาณหายตัวไปแล้ว แต่ทุกคนยังคงตกอยู่ในภวังค์
อ๋องเซ่อเจิ้งกลับมาแล้ว เมืองหลวงกำลังจะผลัดแผ่นดินอีกครั้ง
เย่เจียหยูขาอ่อนทรุดลงกับพื้น นางรู้สึกราวกับตัวเองออกจากปรโลกแล้วกลับมาสู้โลกมนุษย์อีกครั้ง
แผ่นหลังของนางมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา
นางกัดฟันแน่น ในใจของนางเกลียดแค้นเย่จายซิงอย่างที่สุด นางแอบกล่าวคำสาบานว่าจะต้องทำให้เย่จายซิงรู้สึกตายทั้งเป็น เพื่อล้างความอับอายของตนในวันนี้
……
เย่จายซิงหมดสติไปบนหลังกิเลน
ร่างของเจ้าของร่างเดิมหมดแรงไปนานแล้ว แต่เป็นตัวนางเองที่พยายามฝืนทนต่อมา
นางเรียกอสูรมาก็ยิ่งทำให้นางเสียแรงไปมาก ทั้งยังต้องรับพลังอันน่าหวาดกลัวของท่านหวงอีก ร่างกายของนางแทบจะทนต่อไปไม่ไหว ต่อมานางยังสังหารเถ้าแก่หอยาเสวียนอีก นี่เองทำให้แรงของนางหมดสิ้น
“นางทนจนถึงตอนกลับจวนได้ น่าอัศจรรย์ยิ่ง”
ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเห็นเย่จายซิงก็อดเอ่ยปากชมไม่ได้ เขาก็คือลั่วกูหยุนหมอเทวดาอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงทั้งแดนใกล้ไกลไปทั่วทั้งแผ่นดินเทียนเหย้า มีสมญานามว่า หมอเทวดาลั่ว ว่ากันว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์กลั่นยาเท่านั้น แต่ยังเป็นนายน้อยแห่งตระกูลลั่วหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเฉินตู
“พี่สาวของข้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เย่หยูหยางกล่าวถามอย่างร้อนรน ใบหน้าของหนุ่มน้อยคนนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าเมื่อมีหมอเทวดาอย่างข้าอยู่ ข้ารับรองว่านางจะต้องปลอดภัยไร้กังวลแน่นอน”
ลั่วกูหยุนกล่าวอย่างคุยโว
“อย่าเอาแต่พูดเพ้อเจ้อ”
สีหน้าของจวินหยวนเย็นชา
“ไม่เคยเห็นท่านพาสตรีกลับมาเลย วันนี้ข้าประหลาดใจอย่างยิ่ง โถๆๆ วางใจเถิด ข้าลงมือเองนับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว”
ลั่วกูหยุนพูดไม่หยุดราวกับคนป่วยระคายคอ พลางหยิบเข็มทองออกมา
“ถอยไปให้หมด ข้าจะฝังเข็มแล้ว ลองได้ฝังเข็มนี้ลงไปแล้ว รับประกันได้เลยว่าคืนนี้นางจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน”
ระหว่างพูดเขาก็นำเข็มทองฝังลงไปกลางศีรษะของเย่จายซิง
ในเวลาเพียงชั่วครู่นั้นเอง มือเรียวบางก็ยกขึ้นมาแล้วจับข้อมือของลั่วกูหยุนเอาไว้แน่น
“เจ้าทำอะไรน่ะ!”
มีไอสังหารออกมาจากเย่จายซิง แววตาของนางมืดครึ้มหนาวเหน็บ
“โอ๊ย! แม่นางคนนี้ทำไมแรงถึงเยอะนัก มือของหมอเทวดาอย่างข้าจวนจะหักแล้ว”
ลั่วกูหยุนร้องโวยวาย เขาเริ่มเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เมื่อครู่นี้เขายังพูดอยู่เลยว่าคืนนี้นางจะฟื้น แต่สุดท้ายนางกลับฟื้นขึ้นมาในตอนนี้
“น้องซิง เขากำลังทำการรักษาให้เจ้าอยู่”
จวินหยวนเปลี่ยนจากเสียงเย็นชาที่ใช้พูดกับลั่วกูหยุนเมื่อครู่นี้ มาเป็นเสียงทุ้มลึกอ่อนโยนในลำคอ
เขาผลักลั่วกูหยุนออกไปแล้วนั่งลงบนเตียงพลางถามนางว่า “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้ว ข้าแค่รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรงเท่านั้น แต่บาดแผลบนร่างกายไม่มีอะไรต้องกังวล”
เมื่อเห็นเขา นางจึงรู้สึกตัว นางไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ย้อนมายังแผ่นดินเทียนเหย้าแล้วจริงๆ และกลายเป็นคุณหนูสี่ไร้ประโยชน์จากจวนเย่ของแคว้นหงส์แดง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการ
“เหลวไหล อวัยวะภายในของเจ้าบอบช้ำ ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ บาดแผลของเจ้าอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อยสิบวันถึงครึ่งเดือน เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะมียารักษ์จิตระดับ 5 ยาที่คุณภาพต่ำกว่านี้ไม่สามารถรักษาบาดแผลของเจ้าได้”
ลั่วกุหยุนลูบข้อมือพลางกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“ข้าไม่มียารักษ์จิตระดับ 5 “
เย่จายซิงกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าก็รักษาให้ดี……”
“ข้ามี……”
ลั่วกูหยุนกับจวินหยวนกล่าวพร้อมกัน และในเวลาเดียวกันนั้นเอง มือของเย่จายซิงก็ปรากฏยาสีเขียวออกมา “แต่ข้ามียารักษ์ทิพย์ขั้น 5”
ทั้งสองคนหยุดพูดทันที
“นี่คือยารักษ์ทิพย์ที่สูญหายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ เป็นไปไม่ได้”
สีหน้าของลั่วกูหยุนตื่นตะลึง พลางมองไปที่เม็ดยาที่อยู่ในมือของนาง
เป็นยาสีเขียวเข้มหม่นต่างจากยาขั้น 4 ที่เป็นสีเขียวมรกต ซึ่งนี้คือสีที่เป็นเอกลักษณ์ของยาขั้น 5
แต่ยาที่อยู่ในมือของนางตอนนี้เป็นสีเขียวที่ดูโบราณและไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นยาขั้นสูงมาก เขากล้ายืนยันได้เลยว่า แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์อาจารย์กลั่นยาจากเฉินตูก็ไม่สามารถกลั่นยาที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนเช่นนี้ออกมาได้
อีกอย่าง นางบอกว่านี่คือยารักษ์ทิพย์
ยารักษ์ทิพย์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีกว่ายารักษ์จิตด้วยซ้ำไป สามารถรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อมเอ็นต่อกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีประสิทธิภาพดีมากต่อผู้ที่บาดเจ็บช้ำในสาหัส
ยารักษ์ทิพย์ที่สูญหายไปกว่าพันปี ทำไมถึงมาอยู่ในมือของคนที่ทุกคนรู้จักกันดีว่าเป็นหญิงซื่อบื้อแห่งแคว้นหงส์แดงได้เล่า?
ลั่วกูหยุนไม่อยากจะเชื่อ
เย่จายซิงไม่ได้สนใจว่าลั่วกูหยุนจะประหลาดใจและสงสัยขนาดไหน นางกลืนยาเม็ดนี้ลงไป
ก่อนหน้านี้นางไม่ได้เอามันออกมาเพราะว่ามันเป็นยาขั้นสูง อีกอย่างตอนนั้นร่างกายของนางอ่อนแอจนแม้แต่แรงจะหยิบยาออกมายังไม่มี เมื่อครู่นี้พอได้หลับลึกแล้วก็ได้เรี่ยวแรงกลับคืนมา จึงถือโอกาสหยิบออกมา
เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว บาดแผลด้านนอกของนางก็ค่อยๆ หายไป จนไม่เหลือรอยแผลทิ้งไว้ให้เห็น
เมื่อเห็นความรวดเร็วเช่นนี้ ลั่วกูหยุนก็ได้แต่อ้าปากค้างแล้วบ่นพึมพำว่า “เป็นยารักษ์ทิพย์ที่สูญหายไปนานแล้วจริงๆ ความเร็วในการรักษาเช่นนี้ถือว่าเร็วกว่ารักษ์จิตถึง 10 เท่า!”
หน้าแตกอีกแล้ว!
“เจ้าเอายารักษ์ทิพย์มาจากที่ใด”
สีหน้าของลั่วกูหยุนตื่นเต้นเป็นที่สุด ก่อนจะคว้ามือของนางมาเพื่อตรวจชีพจรดู และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ แผลบาดเจ็บภายในตอนนี้หายไปหมดแล้ว
“เรื่องนี้เป็นความลับ”
สีหน้าของเย่จายซิงสงบนิ่ง ถ้านางไม่อยากเปิดเผยก็ไม่มีใครง้างปากนางขึ้น
“ปล่อยมือ”
น้ำเสียงแข็งกระด้างของจวินหยวนดังขึ้น
ลั่วกูหยุนปล่อยมือออกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ในใจของเขามีแต่ความแปลกประหลาดใจ จวินหยวนชอบคุณหนูสี่เย่หรอกหรือ?
แม้แต่คนที่ไม่ค่อยได้มาเยือนแคว้นหงศ์แดงยังรู้เลยว่าชื่อเสียงของคุณหนูสี่เย่นั้นเย่แค่ไหน อีกอย่างหนึ่งคือนางมีคนที่นางชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นั่นก็คือเจ้าพระยาเซี่ยของแคว้นหงส์แดง จวินหยวนคงไม่ได้กำลังตามจีบนางอยู่กระมัง?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เขาก็คิดด้วยความสนุกว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้เขาได้ดูอย่างแน่นอน
“อ๋องเซ่อเจิ้ง วันนี้ขอบคุณท่านมากที่ยื่นมือช่วยเหลือข้า ตอนนี้ร่างกายของข้าฟื้นฟูดีแล้ว คงไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”
เย่จายซิงลุกขึ้นเตรียมจะบอกลา
ที่นางมาก็เพียงเพราะว่าไม่อยากปฏิเสธเขาต่อหน้าคนอื่นๆ เขาจะได้ไม่เสียหน้า
จวินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองไปที่นางด้วยสายตานิ่งสงบ
“หากเจ้าอยู่ต่อ ข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบิดาของเจ้าให้เจ้าฟัง”
แววตาของนางแข็งทื่อ เขาหมายความว่าอย่างไร บาดแผลของนางหายแล้ว แต่เขากลับพยายามรั้งให้นางอยู่ต่อ เขามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
“พวกเราย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับบิดาของเราดี ไม่ต้องให้ท่านอ๋องเซ่อเจิ้งเป็นคนบอก”
เย่ยู่หยางลุกขึ้นยืน แล้วมองไปที่จวินหยวนอย่างระแวดระวัง
“หากข้าบอกพวกเจ้าว่า บิดาของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะ”
คำพูดของจวินหยวนทำให้เย่ยู่หยางมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป “ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่รึ เป็นไปไม่ได้ ท่านกำลังโกหก ตอนนั้นนายพลตั้งมากมายก็ได้เห็นกับตาว่าร่างของท่านพ่อถูกฝังในปากของอสูรปีศาจ”
ขอบตาของเขาแดงก่ำ เขาไม่อยากคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
เย่จายซิงก็แสดงออกต่อเรื่องนี้ด้วยความสงสัยเช่นกัน
“ข้ากับเทพเจ้าแห่งสงครามพอมีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่บ้าง ตอนนั้นเจ้ายังเรียกข้าว่าเสด็จอาอยู่เลย เจ้าลืมแล้วหรือ หลังจากที่เกิดเรื่องกับเขา ข้าก็ได้ตามไปสืบเรื่องด้วยตัวเอง และข้าได้ผ่าอสูรปีศาจนั่นเรียบร้อยแล้ว และพบว่าไม่เหลือสมบัติใดๆ ที่เกี่ยวข้องเทพเจ้าแห่งสงคราม”
จวินหยวนกล่าวพลางมองไปที่นางอย่างแน่วแน่
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหลือสิ่งของใดอยู่เลย อสูรกายกินคนเข้าไป อย่างน้อยก็ต้องเหลืออะไรอยู่บ้าง เช่นป้ายหยก แหวนเพชรหรือของขลัง
ดวงตาของเย่ยู่หยางเป็นประกาย หรือว่าพ่อจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
“คนทั้งคนไม่สามารถหายตัวไปเฉยๆ ได้ หากเขายังมีชีวิตอยู่ เวลาตั้งสามปี จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่ปรากฏตัวออกมาเลย”
เย่จายซิงกล่าว
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาก็คือ นางไม่เชื่อคำพูดของเขา
นางไม่อยากให้ความหวังเย่ยู่หยางและทำให้เขาต้องผิดหวัง
“แต่บิดาของพวกเจ้าทั้งสองยังไม่ตายแน่นอน น้องซิงเจ้าไม่อยากรู้เรื่องราวทั้งหมดหรอกหรือ”
น้ำเสียงทุ้มลึกในลำคอของจวินหยวนแฝงไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา

บทที่ 11 รากทิพย์ของนางโดนขโมย

การตายของพ่อในตอนนั้นส่งผลอย่างยิ่งใหญ่ต่อสองคนพี่น้องเป็นอย่างมาก
มารดาของพวกเขาเมื่อให้กำเนิดเย่ยู่หยางออกมาไม่นานก็สิ้นใจที่นอกด่าน ทั้งสองจึงได้ใกล้ชิดเพียงความรักจากบิดา
แม้ว่าเทพแห่งสงครามจะคอยปกป้องประเทศอยู่นอกแคว้น แต่เขาก็รักและเป็นห่วงพี่น้องทั้งสองคนด้วยใจจริง จึงสร้างคลังสมบัติเอาไว้ในจวนแม่ทัพเพื่อพี่น้องสองคนนี้โดยเฉพาะ เขาจะนำสมบัติเข้าคลังจำนวนมากในแต่ละปี โดยบอกว่าเพื่อสะสมไว้สำหรับเป็นสมบัติติดตัวของลูกทั้งสองคน
แต่ไม่มีใครรู้ว่ากุญแจของคลังสมบัติอยู่ที่ใด ทำให้หลายปีมานี้บ้านรองพยายามตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
ตอนนี้กลับมีคนมาบอกพวกเขาว่าพ่อของพวกเขาอาจจะยังไม่ตายในสงครามอยู่ในร่างของอสูรที่เทือกเขาอัสดงสำหรับพวกเขาแล้ว โดยเฉพาะเย่ยู่หยาง นี่ถือว่าเป็นความหวังใหม่ๆ ของเขา
แต่หากเขาเสียชีวิตไปแล้วจริงๆล่ะ
สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นการดีใจเก้อ?
เย่จายซิงไม่อยากให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น นางสงสัยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของจวินหยวนที่กล่าวเช่นนี้
“น้องซิง ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่”
จวินหยวนมองนางเงียบๆ แววตาของเขาลึกลับ น้ำเสียงทุ้มลึก
เขารู้ว่านางกำลังสงสัยในตัวเขา
มือของลั่วกูหยุนสัมผัสคาง ลูกตาของเขาเคลื่อนไปมาระหว่างทั้งสองคน
วันนี้เป็นวันที่หาได้ยากยิ่ง เพราะโดยปกติแล้ว คนที่กล้าสงสัยในตัวจวินหยวน ป่านนี้จะโดนเขารวบตัวออกไปให้หมาขย้ำเรียบร้อยแล้ว มีหรือจะปล่อยให้นางอธิบายต่อ
ดูท่าสำหรับเขาแล้วคุณหนูสี่เย่มีความหมายแตกต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ
เย่จายซิงรู้สึกพิศวงอยู่ตลอด เพราะในความทรงจำของร่างเดิม จวินหยวนไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องของคนอื่นและยิ่งไม่ใช่คนที่มีเมตตาแต่อย่างไร เหตุใดถึงปฏิบัติกับตนแตกต่างไปเช่นนี้
เขาให้ความรู้สึกอันตรายต่อผู้พบเห็น ดูอันตรายเสียยิ่งกว่าท่านหวงชุดดำที่นางเจอวันนี้เสียอีก
อย่าเห็นแก่ว่าเขาเรียกตนอย่างสนิทสนมอ่อนโยนว่าน้องซิง แต่น้ำเสียงของเขาไม่มีความแปรปรวณแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีความรู้สึกใดจริงๆ
เขาจะต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่างแน่
ตนเพิ่งจะออกมาจากถ้ำเสือเองไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเข้าไปสู่รังจิ้งจอกอีกได้?
คิ้วของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไร้เดียงสา แล้วเบิกตากว้างกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าต้องเชื่อเสด็จอาอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านเป็นเพื่อนของท่านพ่อมาแล้วไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แล้วจะทำร้ายข้ากับยู่หยางได้อย่างไร ที่ข้าอยากกลับไป เป็นเพราะว่าที่จวนมีเรื่องราวหลายอย่างต้องสะสาง จึงไม่อยากรบกวนเสด็จอาอีก”
โถๆ เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่ง
ลั่วกูหยุนแอบคิดกับตัวเองเงียบๆ
เมื่อครู่นี้นางยังทำหน้าระแวดระวังอยู่เลย ทำไมตอนนี้เปลี่ยนหน้าเป็นเชื่อใจเสียแล้ว
ไม่มีเรื่องร้อนใจเรียกท่านอ๋อง พอมีเรื่องร้อนใจเรียกเสด็จอา เด็กคนนี้เป็นคนเปลี่ยนแปลงเก่งยิ่ง นางแสร้งยอมแพ้เพื่อให้ตัวเองได้ออกไปจากจวนอ๋อง น่าสนใจอย่างยิ่ง มิน่าจวินหยวนถึงสนใจนาง
เมื่อถูกเรียกราวกับอายุเยอะเช่นนี้ จวินหยวนจึงขมวดคิ้ว “ข้าอายุมากกว่าเจ้าแค่หกปีเอง”
อายุเพิ่งจะ 22 ปี?
ดูไม่เหมือนเลย ท่าทางของเขาดูน่ากลัว สงสัยจะถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางผู้อาวุโสมาเป็นเวลานานหลายปี
“เสด็จอาดูยังเป็นหนุ่มแน่นอยู่เลย ไม่ทราบว่าเสด็จอาเกิดวันไหนหรือเจ้าคะ ถึงตอนนั้นข้ากับยู่หยางจะต้องเอาของขวัญมามอบให้เสด็จอาอย่างแน่นอน”
นางตอบพลางยิ้มหน้าบาน
“เจ้าไม่ต้องพูดอ้อมค้อมเรื่องอื่นอยู่ วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ากลับ”
จวินหยวนมองนางพลางกล่าวเรียบๆ
เย่จายซิงกัดริมฝีปากด้วยท่าทางปกติ “เหตุผลล่ะเจ้าคะ”
“ไม่มีเหตุผล”
จะไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ทุกเรื่องล้วนมีเหตุผล เขาพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ยินดีบอกเหตุผล
นางรู้ดีว่าหากเขาเอ่ยปากแล้ว วันนี้ต่อให้นางมีปีกก็ไม่สามารถบินหนีออกจากจวนอ๋องได้
นางจ้องตาของเขาที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ส่วนเขาก็มองกลับนางอย่างเงียบๆ ไร้อารมณ์ใดๆ
“แค่กๆ คือว่า อันที่จริงแล้วที่จวินหยวนให้เจ้าอยู่ก่อน เป็นเพราะว่าต้องการให้หมอเทวดาอย่างข้ารักษารากทิพย์ให้เจ้า!”
ลั่วกูหยุนรุ้สึกว่าบรรยากาศมันหนักอึ้งเกินไปหน่อย เขารู้สึกราวกับว่าทั้งสองกำลังวางอำนาจใส่กัน จึงกระแอมเบาๆ ออกมาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์และถือว่าเป็นการช่วยจวินหยวนไปด้วย
“พี่สาวของข้าไม่มีรากทิพย์จะรักษาได้อย่างไร เจ้าเป็นหมอต้มตุ๋นแต่งเรื่องขึ้นมาเอง!”
เย่ยู่หยางกล่าวเสียงแข็ง ลั่วกูหยุนเป็นพวกของอ๋องเซ่อเจิ่ง แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนดีอะไร
“เจ้าๆๆ! ไม่เคยมีใครกล้าว่าว่าข้าเป็นหมอต้นตุ๋นมาก่อน! ช่างเถอะ หมอเทวดาอย่างข้าไม่คิดแค้นอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าหรอก พี่สาวของเจ้าใช่ว่านางไม่มีรากทิพย์มาตั้งแต่กำเนิดเสียเมื่อไหร่ แต่รากทิพย์ของนางถูกตัดออกไปแล้วตั้งแต่นางยังเด็ก เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะตรวจชีพจรของเขาและนั่งทางในดูแล้ว จึงเห็นได้อย่างเต็มตาเลยว่านางมีรอยถูกตัดรากทิพย์ออกไป……”
ลั่วกูหยุนยังไม่ทันจะกล่าวจบ จวินหยวนก็เอื้อมมือไปจับข้อมือของเย่จายซิงเอาไว้
เย่จายซิงคิดจะสบัดออก แต่แรงของเขาเยอะมากราวกับคีมที่หนีบนางเอาไว้แน่น
แต่จากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว
“เขาไม่ได้หลอกเจ้า รากทิพย์ของเจ้าถูกคนแอบตัดออกไป ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่มีรากทิพย์มาตั้งแต่กำเนิด”
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก แววตาของเขาเต็มไปด้วยไอสังหาร
“ใช่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าลองไปหาคนที่อยู่ในแดนราชาทิพย์แล้วลองให้เขาช่วยตรวจสอบดูก็ได้ ดูปราดเดียวก็รู้แล้ว พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนตัดรากทิพย์ของเจ้าไป”
ลั่วกูหยุนถาม
“พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไร เจ้าอย่าเหลวไหลสิ”
เย่ยู่หยางบ่นเบาๆ ในใจของเขาเกลียดแค้นคนที่ขุดรากทิพย์ของพี่สาวตนไป ที่แท้แล้วพี่สาวของตนไม่ใช่คนไร้ความสามารถ แต่ถูกคนชั่วทำร้าย
ลั่วกูหยุน: ……
เย่จายซิงตกอยู่ในภวังค์ ในความทรงจำของร่างเดิม ตอนที่ท่านพ่อกลับมาก็กลับมาได้จับมือของนางอยู่เป็นเวลานาน ด้วยสีหน้าผิดหวังและเศร้าสร้อย ที่แท้เขากำลังตรวจรากทิพย์ของนางเองหรือ
ดังนั้นท่านพ่อคงรู้แต่แรกแล้วว่ารากทิพย์ของนางถูกตัดไป
“รากทิพย์ถูกตัดออกไปแล้ว แล้วคนอื่นจะเอาไปใช้ต่อได้หรือไม่”
นางเงยหน้าถามจวินหยวน
ลั่วกูหยุนแย่งตอบ “แน่นอนสิ! โดยปกติแล้วเด็กต้องอายุสี่ห้าขวบรากทิพย์ถึงจะเติบโต แต่ว่าจะมีอัจฉริยะบางคนที่มีรากทิพย์มาตั้งแต่เกิด คนเช่นนี้โดยมากแล้วมักจะมีรากทิพย์ที่แข็งแกร่งมาก
รากทิพย์เป็นสิ่งที่สามารถปลูกถ่ายให้คนอื่นได้ แต่จะต้องใช้ยาทิพย์ขั้นสูงจำนวนมาก ดังนั้นคนธรรมดาไม่สามารถแบกรับสิ่งที่ต้องสูญเสียมากมายได้ อีกอย่างวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีการที่ผู้ที่อยู่แดนฝึกตนแท้จริงต่างรังเกียจ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนโดนกับตัว”
เห็นการแสดงท่าทางเกินจริงเมื่อเห็นนางประสบชะตากรรมเช่นนี้ เย่จายซิงก็ไร้คำพูด
น้องชายหน้าอ่อนเป็นผู้ที่เป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด มีรากทิพย์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แถมยังเป็นรากทิพย์กลายพันธุ์อีกด้วย ตั้งแต่ฝึกตนมาเขาก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นในเมืองหลวง แต่กลับเกิดเหตุตอนที่เขาฝึกตนที่แดนปริศนาจนเขากลายเป็นคนพิการ
ส่วนนางถูกตัดรากทิพย์ไปตั้งแต่เกิด นี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่?
“หากข้าสามารถหารากทิพย์กลับมาได้ ร่างกายของข้าจะรับได้หรือไม่ วันหน้าจะสามารถฝึกตนได้หรือไม่”
เย่จายซิงถาม
“อาจจะรับไม่ได้ เพราะผ่านมานานหลายปีแล้ว รากทิพย์อาจจะเข้ากับร่างกายของอีกฝ่ายไปแล้วและกลายเป็นอวัยวะหนึ่งของอีกฝ่ายไป แต่ว่าเจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ หมอเทวดาอย่างข้าสามารถสร้างรากทิพย์ขึ้นมาใหม่ให้เจ้าได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รากทิพย์ที่ดีนัก แต่ว่าก็สามารถทำให้เจ้าฝึกตนได้!”
ลั่วกูหยุนตบอกอย่างภาคภูมิใจ
“จริงรึ?”
ตอนนี้เย่ยู่หยางตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าพี่สาวเสียอีก
“ท่านหมอเทวดา ท่านจะต้องช่วยพี่สาวของข้าสร้างรากทิพย์ขึ้นมาใหม่ให้ได้!”
ริมฝีปากของลั่วกูหยุนกระตุก ไร้เรื่องราวเรียกหมอต้มตุ๋น พอมีเรื่องเรียกท่านหมอเทวดา ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องกัน
“เรื่องนี้น่ะหรือ ข้าเป็นคนที่อ๋องเซ่อเจิ้งเชิญมา หากพวกเจ้าต้องการสร้างรากทิพย์ขึ้นมาใหม่ ก็ต้องถามอ๋องเซ่อเจิ้งแล้ว”
เขาหันไปเลิกคิ้วส่งสายตาให้จวินหยวน ความหมายที่นอกเหนือคำพูดก็คือ ไงล่ะน้องชาย ข้าเป็นคนช่วยเจ้านะ!