ตอนที่ 150 เรียกมันออกมา!

หวังเฉิงหยวนได้เห็นพ่อของตนเอง ก็ถึงกับร้องห่มร้องไห้เข้าไปหาทันที โดยมีเจิ้นเยี่วยช่วยประคองร่างของเขาเดินไป

จากท่าทางที่หมดเรี่ยวหมดแรงเช่นนี้ ใครๆเห็นก็มองออกว่า เขาเพิ่งถูกทําร้ายมาจนหมดสภาพ

“น่าขายหน้าจริงๆ! ดูสภาพของแกสิ ไม่เหลือความเป็นลูกผู้ชายเลยแม้แต่น้อย น่าอับอายจริงๆ! ยังไม่รีบบอกฉันมาอีก ใครที่มันมีตาแต่ไร้แวว บังอาจมาข่มเหงลูกหลานตระกูลหวังแบบนี้?”

หลังจากได้เห็นลูกชายที่เคยหยิ่งผยองอวดดี ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความเดือดดาลที่เพิ่งสงบลงไปก่อนหน้า พลันพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

แม้แต่ผู้เฒ่าหยานเองยังถึงกับพูดออกมาว่า “ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร หรือเป็นคนของใครก็ตาม ขอเพียงแค่ยังอยู่ในเขตเมืองเจียงไฮว ฉันรับปากจะจัดการ และสะสางเรื่องนี้ให้เธอเอง!”

หลังจากได้ยินพ่อของตนเอง และผู้เฒ่าหยานยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น หัวใจของหวังเฉิงหยวนก็ถึงกับพองโต และเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างมาก เพราะเพียงแค่พ่อของเขาคนเดียว ก็สามารถทําให้ทั่วทั้งเมืองเจียงไฮวปั่นป่วนได้แล้ว แต่นี่ยังมีผู้เฒ่าหยานซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการฝึกวรยุทธ และกําลังภายในด้วยอีกคน

ครั้งนี้ไอ้กุ้ยหลินหนานมันไม่รอดแน่ ต่อให้มันมีเก้าชีวิตก็ไม่พอ!

“คุณปูหยานครับ คนที่ทําร้ายผมจนเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโตที่ไหนเลย มันเป็นแค่กุ้ยข้างถนนคนหนึ่งเท่านั้น..” หวังเฉิงหยวนร้องบอกผู้เฒ่าหยานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

หวังเซียนหย่งขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่น่าเป็นไปได้! ถ้าเป็นแค่ก็ยข้างถนนจริงๆ เป็นไปได้ยังไงที่พวกมันจะไม่รู้จักฉัน?”

“มันเป็นกุ้ยข้างถนนจริงๆครับพ่อ! ขนาดเพื่อนๆของผมช่วยกันบอกแล้วว่า ผมเป็นลูกชายของพ่อ มันยังไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย!” หวังเฉิงหยวนใส่ไฟให้เพลิงโทสะของหวังเซียนหย่งลุกโชนมากยิ่งขึ้น

“มันทําอะไรแกบ้าง?” หวังเซียนหย่งร้องถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

หวังเฉิงหยวนไม่รอช้า เขายกมือขึ้นชี้ไปที่เป้ากางเกงของตนเองทันที พร้อมกับฟ้องพ่อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“หมอนั่นมันโหดเหี้ยมแล้วก็ปาเถื่อนมาก มันจงใจเตะเข้าที่เป้าของผม มันคงตั้งใจจะทําให้น้องชายของผมใช้งานไม่ได้อีกต่อไป นี่ถ้าน้องชายของผมเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะสามารถมีทายาทสืบสกุลให้พ่อได้ยังไงกัน?”

“ไอ้หมอนั่นมันชั่วช้าจริงๆ! แกเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลหวังเรา เกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ตระกูลหวังของฉันไม่เป็นอันต้องถึงคราวสูญสิ้นหรือยังไง?” หวังเซียนหย่งร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน

เขามีลูกชายเพียงแค่คนเดียว และตลอดเวลาเขาก็ทั้งตามใจ แล้วก็ประคบประหงมลูกชายคนเดียวมาอย่างดี แต่จู่ๆ กลับมีไอ้กุ้ยข้างถนนมาทําร้ายลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาแบบนี้ เขาจะยอมปล่อยมันไปง่ายๆได้ยังไง?

“ในสังคมมีกฏกติกา และมีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฉันเองก็อยู่ในสังคมมานาน ไม่เคยพบเห็นใครที่กล้าแหกกฏ และไม่สนใจกติกาแบบนี้มาก่อนเลย” ผู้เฒ่าหยานพึมพําออกมา และสีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่ากําลังโกรธมากเช่นกัน

ในน้ำเสียงของผู้เฒ่าหยานนั้น ยังมีรังสีสังหารแทรกซึมอยู่ด้วย!

“จ้าวจินอัน ฉันให้เวลาเธอสิบนาที ไปจัดการหาตัวไอ้กู้ยข้างถนนคนนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เตรียมปิดร้านโกโลโกโสนี่ทิ้งไปได้เลย!”

หวังเซียนหย่งหันไปสั่งผู้จัดการคลับที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน และเด็ดขาด

เมื่อผู้จัดการได้ยิน เขาก็ถึงกับตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “มะ ไม่ต้องกังวลครับท่านประธานหวัง ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา ผมก็จะหาตัวมันให้พบ!”

หลังจากพูดจบ ผู้จัดการหวังก็รีบออกไปทําหน้าที่ทันที ในขณะที่หวังเซียนหย่งก็หันไปพูดกับลูกชายว่า

“แกไม่ต้องเสียใจ! วันนี้ฉันจะจัดการไอ้ปุ๋ยที่มันทําร้ายแกเอง!”

“ได้ยินลุงหวังพูดแบบนี้ ดูท่าไอ้คนแซ่หลินนั่นคงจะต้องโชคร้ายแน่วันนี้!” เฉินเผิงที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด ได้แต่พึมพําออกมายิ้มๆ

ใบหน้าสวยงามมีเสน่ห์ของเจิ้นเยื่วยเอง ก็มีรอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นเช่นกัน “ลุงหวังออกหน้าเองแบบนี้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้มาเอง ก็คงไม่กล้าออกหน้าปกป้องหมอนั่นแน่!”

“แน่นอน! ใครก็ตามที่มันกล้ามีเรื่องกับฉันหวังเฉิงหยวน พวกมันต้องพบจุดจบที่เลวร้ายกันทุกคน!”

“ไม่เพียงไอ้คนแซ่หลินเท่านั้น! แต่ยังมีโม่อวี๋ชิงกับเฉิงซินเย่วด้วย คุณชายหวังคงจะไม่ยอมปล่อยพวกมันไปง่ายๆเหมือนกันใช่มั้ย?”

เมื่อใครบางคนพูดถึงเฉิงซินเย่วขึ้นมา ไฟราคะภายในจิตใจของหวังเฉิงหยวนก็ถึงกับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพียงแค่มีปฏิกิริยาทางร่างกายเกิดขึ้น เขาก็ถึงกับเจ็บปวดน้องชายเป็นอย่างมากจนถึงกับต้องกรีดร้อง และมีน้ำตาไหลพรากออกมา

“น้อง น้องชายของฉัน! นี่มันจะไม่สามารถใช้งานได้อีกจริงๆน่ะเหรอ? ฉัน.. ฉันจะต้องฆ่าไอ้คนแซ่หลินนั่นให้ได้!”

เมื่อรู้สึกเจ็บปวดที่กลางหว่างขาขึ้นมาอีกครั้ง หวังเฉิงหยวนก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความโมโห และคับแค้นใจ

“ประธานหวังครับ ผมได้ให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเช็คกล้องวงจรปิดดูแล้ว หมอนั่นยังคงซ่อนตัวอยู่ในคลับ ผมจะพาทุกคนไปพบมันเดี๋ยวนี้!”

ไม่ถึงห้านาที จ้าวจินอันซึ่งเป็นผู้จัดการคลับ ก็กลับมารายงานที่ซ่อนตัวของหลินหนานให้ทุกคนในห้องรับทราบ

“ดีมาก! พาฉันไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันอยากจะเห็นหน้าไอ้หมอนั่นเต็มที่แล้ว!”

หวังเซียนหย่งยกมือขึ้นหมุนแหวนหยกที่นิ้ว ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง และมีประกายเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา

ภายในห้องที่มืดมิดห้องหนึ่งของจินชาคลับ..

โม่อวี๋ชิงค่อยๆลืมตาขึ้น และตื่นจากอาการหลับไหล เธอลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางอ่อนแรง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา เธอก็เห็นหลินหนานนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา

“พี่หลินหนาน เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ทําไมจู่ๆฉันถึงเป็นลมไปได้?” ไม่อวี๋ชิงสะบัดศรีษะไปมาพร้อมกับร้องถามหลินหนาน

หลินหนานเหลือบมอง และตอบกลับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ทั้งเธอ แล้วก็ซิงเย่วล้วนถูกเพื่อนนักเรียนแซ่หวังนั่นวางยาน่ะสิ!”

“อะไรนะ?! ถูกวางยางั้นเหรอ?! หวังเฉินหยวน ไอ้คนชั่วช้าสารเลว! ไอ้สัตว์นรก!”

หลังจากที่ได้ยินคําบอกเล่าของหลินหนาน โม่อวี๋ชิงก็ถึงกับตัวสั่นไปด้วยความโมโห และคับแค้นใจอย่างมาก

“โชคดีที่คืนนี้ฉันมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นทั้งเธอกับซิงเยวคงต้องถูกมันรู้ยี่ปู่ยไม่มีชิ้นดีแล้ว!”

หลินหนานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา โม่อวี๋ชิงถึงกับสันหลังเย็นวาบ เหงื่อไหลท่วมตัวด้วยความหวาดกลัว เพราะหากเฉิงซินเย่วถูกทําลายชีวิตจนปนนี้ขึ้นมาจริงๆ เธอคงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลย

เมื่อคิดได้เช่นนั้น โม่อวี๋ชิงก็แทบอยากจะตบหน้าตนเอง

โม่อวี๋ชิงนะโม่อวี๋ชิง! เธอมันประมาทเลินเล่อจริงๆ ทําอะไรสิ้นคิดจนเกือบทําให้เพื่อนรักต้องเดือดร้อน!

จากนั้น เธอจึงหันไปมองเฉิงซินเยวที่ยังคงนอนหลับไหลอยู่บนโซฟา พร้อมกับกระซิบถามหลินหนานเสียงเบา

“พี่หลินหนาน แล้วซินเย่วเป็นยังไงบ้าง?”

หลินหนานตอบกลับด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “ซิงเย่วไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่สภาพร่างกายของซิงเย่วไม่แข็งแรงเท่าเธอ ตอนนี้ก็แค่รอให้ยาค่อยๆหมดฤทธิ์ไปเองเท่านั้น พอยาหมดฤทธิ์ก็ตื่นขึ้นมาเองล่ะ”

“อืมม..” โม่อวี๋ชิงพยักหน้าหมึก

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เธอก็รีบกลับบ้านไปได้แล้ว!” หลินหนานร้องบอก

“ขอบคุณที่หลินหนาน แล้วก็ต้องขอโทษที่ทําให้พี่ต้องลําบาก”

โม่อวี๋ชิงจ้องมองหลินหนานด้วยแววตาสับสน ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง เธอรู้ตัวว่าตนเองเกือบจะเป็นสาเหตุทําให้ชีวิตของเฉิงซินเยวต้องพังทลายปนนี้ลง แม้หลินหนานจะไม่ได้เอ่ยปากตําหนิเธอเลยแม้แต่คําเดียว แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

แต่เมื่อเดินออกมาจากห้อง โม่อวี๋ชิงก็พบกับหวังเฉินหยวนที่มีเฉินเวยช่วยพยุงมา และด้านหลังของเขาก็มีกลุ่มคนท่าทางดุดันน่าเกรงขามเดินตามมาด้วยหลายคน

“พ่อครับ ถ้าพ่อได้เจอไอ้หมอนั่นต้องจัดการมันให้หนักเลยนะครับ อย่าได้ออมมือให้มันเชียวล่ะ! ขึ้นพวกเราไม่จัดการสั่งสอนหมอนั่นให้หลาบจํา ต่อไปพวกเราคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” หวังเฉิงหยวนร้องบอกผู้เป็นพ่อ

เมื่อได้เห็นชายวัยกลางคนที่เดินมากับหวังเฉิงหยวน ใบหน้าของโม่อวี๋ชิงก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นมาทันที เธอจําได้ดีว่าเขาก็คือหวังเซียนหย่ง พ่อของหวังเฉิงหยวนนั่นเอง!

หวังเซียนหย่งเป็นหนึ่งในเก้าคณะกรรมการของสมาคมเมิ่งหลาน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือว่า ทั้งธุรกิจขาวและดํา ล้วนอยู่ในกํามือของเขาไม่น้อย และด้วยอุปนิสัยที่ดุดันโหดเหี้ยม ทําให้ใครๆต่างก็ตั้งฉายาให้กับหวังเซียนหย่งว่า “ราชันแห่งขุมนรก”

ครอบครัวของโม่อวี๋ชิงนั้นเปิดโรงเรียนสอนมวยจีน และศิลปะการต่อสู้ ลูกศิษย์หลายๆคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้จากที่นี่ ก็ล้วนแล้วแต่ไปทํางานให้กับหวังเซียนหย่งแทบทั้งสิ้น

ฉะนั้น เพียงแค่ปรายตามอง โม่อวี๋ชิงก็สามารถจดจําได้ว่าเป็นเขา และการที่หวังเซียนหย่งมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง แน่นอนว่าต้องไม่พ้นเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขานั่นเอง!

ทํายังไงดี?

มันพาพ่อมาถึงที่นี่เชียวเหรอ?

โม่อวี๋ชิงลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง เพื่อจะไปบอกให้หลินหนานรู้ตัว แต่ในระหว่างนั้น สายตาที่ว่องไวของหวังเฉิงหยวนก็เหลือบไปเห็นร่างของโม่อวี๋ชิงเข้าพอดี

“โม่อวี๋ชิง เธออยู่ที่นี่เองเหรอ? แล้วไอ้กู้ยแซ่หลินนั่นอยู่ที่ไหน? มันอยู่ในห้องนี้ใช่มั้ย? เรียกมันออกมาเดี๋ยวนี้เลย!”