ตอนที่ 51 จิตรกรรมจากผิวหนัง (ตอนปลาย)

“ท่านอาจารย์ถามพี่สาวว่าทำไมนางถึงไม่ต้องการแต่งงานกับข้า เขายังกล่าวอีกว่าในอนาคตตำแหน่งเจ้าสำนักด้านการแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษจะถูกส่งต่อให้กับข้า เมื่อพี่สาวแต่งงานกับข้าแล้วการแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษนี้จะเป็นของตระกูลเจี่ยต่อไป” เจี่ยเหรินกล่าวต่อ

แต่มันทำให้มู่อี้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีนามสกุลเจี่ย ตอนแรกเขาคิดว่าเจี่ยเหรินเป็นแค่ชื่อปลอมเท่านั้น

“แต่พี่สาวพูดว่านางไม่ชอบข้าเลยแม้แต่น้อยเพราะข้ามีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

เจี่ยเหรินหัวเราะทันทีเมื่อเขาพูดสิ่งนี้ เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยการประชดประชันและความรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเดิม

เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ในที่สุดมู่อี้ก็เข้าใจการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาและกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่น่าสงสารอย่างมาก

“ข้าคิดเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ พี่สาว หรือพี่ชาย พวกเขาจะไม่ละทิ้งข้าไปไหนหรือคิดว่าข้ามีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าข้าคิดผิดโดยสิ้นเชิง แม้แต่ท่านอาจารย์ก็บอกกับพี่สาวว่าถึงแม้ข้าจะมีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์แต่คุณสมบัติของข้านั้นหายาก ที่เขารับข้ามาเลี้ยงอาจเป็นเพราะคุณสมบัติในตัวข้าและที่เขาต้องการให้พี่สาวแต่งงานกับข้าก็เป็นเพราะการสืบทอดการแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษ” เจี่ยเหรินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

มู่อี้ไม่สามารถช่วยเขาได้และไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร เพราะเมื่อคนๆหนึ่งจมอยู่กับความทุกข์ก็ไม่มีใครสามารถดึงคนๆนั้นขึ้นมาได้เว้นแต่เขาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยตนเอง ในตอนนี้เจี่ยเหรินยังคงจมอยู่กับความทุกข์อย่างชัดเจน

มู่อี้เชื่อว่าการที่อาจารย์ของเขารับเขาเป็นบุตรบุญธรรมอาจจะเป็นเพราะเล็งเห็นคุณสมบัติของเขาก็จริง แต่ในช่วงหลายปีที่เลี้ยงดูเขา เขาก็ได้รับการปฏิบัติเลี้ยงดูด้วยความจริงใจและอบรมสั่งสอนอย่างสุดความสามารถ ในตอนนั้นพี่สาวของเขาก็ไม่ได้พูดเช่นนั้นด้วยความตั้งใจเพราะถ้าคนๆหนึ่งเกลียดคนอื่นจริงๆพวกเขาก็จะเกลียดตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาถูกรับมาเลี้ยงดูพี่ชายและพี่สาวก็ยังเป็นเด็กเช่นกัน

ที่นางพูดออกไปแบบนั้นในตอนนั้นเป็นเพียงข้อแก้ตัวสำหรับการปฏิเสธพ่อของนางเท่านั้น นางไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าคำพูดของนางจะทำร้ายหัวใจของเจี่ยเหรินจนแตกสลายและทำให้เจี่ยเหรินกลับมารู้สึกหวาดระแวงอีกครั้ง

และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในวัยเด็กของเจี่ยเหริน ท้ายที่สุดปมด้อยเมื่อเขายังเป็นเด็กไม่ได้หายไปหลังจากที่ท่านอาจารย์รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แต่มันกลับถูกฝังลึกลงในกระดูกจนกระทั่งวันหนึ่งมันก็แตกหักอย่างสมบูรณ์

“คืนนั้นข้าหนีออกมาและดื่มสุราจนเมามาย เมื่อเสี่ยวเอ้อในร้านเห็นว่าข้าไม่มีเงินจ่ายเขาก็ด่าข้าว่าข้าอัปลักษณ์และน่ารังเกียจ” เจี่ยเหรินกล่าวต่อ

“แต่เมื่อข้าวางมือลงบนหน้าอกของเขา เมื่อเลือดของเขาไหลลงบนมือของข้าและสาดลงบนใบหน้าของข้า ข้ากลับรู้สึกมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาของเขามันช่างมีเสน่ห์อย่างยิ่งดังนั้นข้าไม่เพียงฆ่าเสี่ยวเอ้อเท่านั้นแต่ยังฆ่าเจ้าของร้านอีกด้วย”

“เมื่อข้ายืนอยู่ท่ามกลางกองเลือดพี่ชายและพี่สาวก็หาข้าจนพบ ข้ายังจำสีหน้าตอนที่พวกเขามองมาที่ข้าได้เป็นอย่างดี มันมีทั้งความตกใจ ความตื่นตระหนก และความประหลาดใจ แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดบนใบหน้าของพวกเขาก็คือความปวดใจ”

“เมื่อข้าคิดว่าพี่ชายและพี่สาวกำลังจะฆ่าข้าเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองที่ตายไป พวกเขากลับดึงแขนข้าและพาข้าหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง”

“หลังจากที่ท่านอาจารย์ได้ยินเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ดุด่าข้า แต่ขังข้าไว้ในบ้านและห้ามไม่ให้ข้าออกไปข้างนอก”

“หลังจากนั้นสิ่งต่างๆก็เริ่มแย่ลง มีวีรบุรุษผู้กล้าหาญและรักในความชอบธรรมผู้หนึ่งมาที่ประตูบ้านและขอให้ท่านอาจารย์มอบตัวข้าให้เขา แต่ท่านอาจารย์ของข้าปฏิเสธ ดังนั้นวีรบุรุษจึงโจมตีท่านอาจารย์ของข้าจากนั้นก็พี่ชายและในที่สุดก็พี่สาว เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมากไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยและในที่สุดเขาก็พบตัวข้า”

“เมื่อเขากำลังจะฆ่าข้า ท่านอาจารย์ก็เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดเขาเอาไว้และให้ข้าหนีไป”

เมื่อเจี่ยเหรินพูดสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาและค่อยๆไหลอาบแก้มของเขาอย่างช้าๆ

“ในตอนนั้นข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างมากจึงหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ข้ารู้ดีว่าข้าอ่อนแอ แต่ข้าก็ยังไม่อยากตาย” เจี่ยเหรินกล่าวต่อ

“เพราะการเข้ามาขัดขวางของท่านอาจารย์ พี่สาว และพี่ชายในที่สุดข้าก็หนีออกมาได้ จากนั้นข้าก็เก็บตัวเงียบและเฝ้าคอยจนกว่าจะได้ข่าวว่าชายคนนั้นจากไป แต่เมื่อข้าออกมาจากที่ซ่อนตัวอย่างเงียบๆและกลับไปที่บ้านสิ่งที่ข้าเห็นคือดวงวิญญาณของท่านอาจารย์และพี่สาว”

“พวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาตายไปเพื่อช่วยข้า” เจี่ยเหรินร้องไห้ฟูมฟายและมีน้ำตาไหลออกมามากมาย ในตอนนี้เจี่ยเหรินเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง แม้แต่มู่อี้ที่เห็นภาพนี้ก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย

“มีเพียงพี่ชายคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตไปได้ แต่ขาข้างหนึ่งของเขาก็พิการจากการขัดขวางชายคนนั้น”

“เมื่อเห็นหน้าข้าพี่ชายไม่ตำหนิข้าแม้แต่น้อย เขายังบอกข้าว่าท่านอาจารย์และพี่สาวก็ไม่ถือโทษโกรธข้าเลยเช่นกัน นอกจากนี้พี่สาวยังฝากคำขอโทษให้กับข้า นางบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจพูดเช่นนั้นและไม่เคยคิดว่าข้ามีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์เลย” เมื่อพูดถึงพี่สาวเจี่ยเหรินก็มีแววตาที่อ่อนโยนอีกครั้ง

“แต่มันก็สายไปแล้ว ข้าเกลียดตัวเองและเกลียดที่ข้าไม่ได้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น แต่ข้ารู้ว่าข้ายังไม่อาจตายได้เพราะข้าต้องการล้างแค้นให้ท่านอาจารย์และพี่สาวของข้า” สีหน้าของเจี่ยเหรินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน แต่ตอนนี้มีความเกลียดชังและจิตสังหารบนใบหน้าของเขา

แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเอาชนะชายคนนั้นได้ แต่ชายคนนั้นก็มีญาติพี่น้องเช่นกัน ข้าตามหาครอบครัวของเขาจนพบและฉวยโอกาสในตอนที่เขาออกไปปฏิบัติภารกิจลงมือฆ่าภรรยา ลูกชาย และพ่อแม่ของเขาทั้งหมด ข้าฆ่าพวกเขาอย่างช้าๆลอกผิวหนังออกทีละเล็กทีละน้อยและเฝ้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของพวกเขา แต่ในตอนนั้นข้ารู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้ารู้ว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ฆ่าเสี่ยวเอ้อร์แล้วว่ามีปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาในใจของข้า และในตอนนี้ไม่มีท่านอาจารย์และพี่สาวอีกต่อไปแล้ว ข้าจึงไม่อาจควบคุมปีศาจในร่างกายของข้าได้อีกต่อไป”

“หลังจากที่ข้าลอกผิวหนังของพวกเขาออก ข้าก็ใช้เคล็ดวิชาลับการแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษทำให้พวกเขาเหมือนยังมีชีวิตอยู่โดยการใช้ผิวหนังของพวกเขา เจ้ารู้ไหมว่ามันเรียกว่าอะไร? มันเรียกว่าจิตรกรรมจากผิวหนังซึ่งเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงสุดของการแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษของเรา”

“เมื่อชายคนนั้นฆ่าท่านอาจารย์และพี่สาวของข้า ข้าก็ได้ใช้การแกะสลักลวดลายของประตูกระดาษเพื่อล้างแค้นเขา” เจี่ยเหรินยิ้มอย่างมีความสุขเสียงหัวเราะดังออกมาในค่ำคืนที่มืดมิดและแสนเศร้าโศกนี้

“เมื่อชายคนนั้นกลับมาที่บ้านและพบว่าคนที่เขารักถูกฆ่าด้วยการลอกผิวหนังเขาก็โกรธแค้นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้โกรธจนเสียสติดังนั้นข้าจึงไม่อาจฆ่าเขาได้ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไล่ตามข้าไปทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าเขาจะตามตัวข้าจนพบสองสามครั้ง แต่ในท้ายที่สุดข้าก็หนีรอดออกมาได้”

“ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปหลายปีข้าก็สามารถก้าวเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ได้สำเร็จ และเนื่องจากคุณสมบัติที่ดีของข้า ข้าใช้เวลาเพียงไม่นานในการฝึกความยากขั้นที่ 2 ทั้ง 3 ก้าวติดต่อกันทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก”

“แม้ว่าข้าจะโดนเขาโจมตีอย่างรุนแรงและได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้าก็สามารถฆ่าเขาได้สำเร็จ” เมื่อพูดถึงสิ่งนี้เจี่ยเหรินก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วตะโกนเสียงดัง “ท่านอาจารย์ พี่สาว ข้าได้แก้แค้นให้พวกท่านแล้ว”