ตอนที่ 52 ความเสียใจในชีวิต

“ท่านคิดว่าท่านเป็นฝ่ายถูกจริงๆหรือ? ท่านคิดว่าวิญญาณของอาจารย์และพี่สาวของท่านที่อยู่บนสวรรค์จะยินดีอย่างนั้นหรือ?” มู่อี้พูดพร้อมกับมองไปที่เจี่ยเหรินในทันที

และในตอนนี้เจี่ยเหรินก็หันหน้ามาจ้องมองที่มู่อี้ด้วยสายตาดุร้าย ดูเหมือนว่ามู่อี้ไม่มีสิทธิ์พูดถึงท่านอาจารย์และพี่สาวของเขา

“ท่านคิดว่าการนำศีรษะของคนที่ฆ่าท่านอาจารย์และพี่สาวของท่านกลับมาคือสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างนั้นหรือ?” มู่อี้พูดต่อไป

“ใช่แล้ว ทำไมจะไม่ใช่กันล่ะ? มันฆ่าท่านอาจารย์และพี่สาวของข้าและมันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของมัน” เจี่ยเหรินเถียงกลับมาทันที

“ถูกต้องแล้วที่เขาจะต้องชดใช้ แต่ไม่ใช่ท่านที่จะต้องเป็นผู้ลงมือเรื่องนี้? แล้วทำไมท่านต้องฆ่าเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเหล้า? เขาเพียงแค่สาปแช่งท่านไม่กี่คำเท่านั้นถึงกับต้องฆ่าเขาเลยหรือ? เจ้าของร้านก็เป็นผู้บริสุทธิ์แต่เพียงเพราะว่าเขาเห็นในตอนที่ท่านลงมือกระทำเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงต้องฆ่าเขาทั้งตระกูลเลยหรือ? เมื่อท่านทวงความแค้นให้กับท่านอาจารย์และพี่สาวของท่านได้แล้วใครล่ะจะทวงความแค้นให้กับพวกเขา?” มู่อี้ถามกลับไปเสียงดัง

“คนผิดเพียงแค่คนเดียวแต่ท่านกับสังหารตระกูลของเขาที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วย? ท่านยังมีหัวใจอยู่อีกหรือไม่? แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ที่ทวงความแค้นให้กับพวกเขา?” มู่อี้พูดต่อไปน้ำเสียงของเขามีเพียงความจริงจังในขณะที่จิตใจของเขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมามู่อี้ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนดีเลยเพราะเขาก็เคยทำเรื่องที่ผิดมามากมายทั้งหลอกลวงต้มตุ๋นและขโมยของจากผู้อื่น แต่เพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่เคยทำนั่นก็คือทำร้ายผู้บริสุทธิ์และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำเลย

เขาพยายามข้องเกี่ยวกับคนอื่นๆให้น้อยที่สุด

เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ต้องการล้างแค้นแต่สำหรับเรื่องที่เจี่ยเหรินทำลงไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ปกติเลยแม้แต่น้อย

การที่เจี่ยเหรินสังหารคนที่บริสุทธิ์และไม่เกี่ยวข้องใดๆเลยและยังสังหารอย่างเหี้ยมโหด มันแสดงให้เห็นชัดว่าจิตใจของเขาตกลงไปสู่ความชั่วร้ายแล้ว ในสายตาของมู่อี้เขาไม่รู้สึกสงสารคนแบบนี้แม้แต่น้อย

น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้ เขาจึงสามารถกลับมาลงมือฆ่าคนได้ใหม่อีกครั้ง

“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าทำให้ข้านึกถึงคนคนหนึ่ง?” เจี่ยเหรินพูดขึ้นมาทันทีในขณะที่เขาจ้องมองมาที่มู่อี้

“ใครหรือ?” มู่อี้ถามกลับไปตามสัญชาตญาณ

“เจ้าเหมือนกับพี่ชายของข้ามาก ในตอนนั้นเขาก็เป็นแบบเดียวกับเจ้า ดุด่าว่ากล่าวข้าและพยายามสังหารข้าด้วยซ้ำ” เจี่ยเหรินต่อกลับมาช้าๆ

“หืม โชคดีที่ข้าไม่ใช่พี่ชายของท่าน มิฉะนั้นแล้วข้าคงฆ่าท่านไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะปล่อยให้ท่านมาทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อีกอย่างไรกัน?” มู่อี้พูดด้วยความเสียใจ

“โอ้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพี่ชายของข้าถึงไม่ได้ลงมือในตอนนั้น? แม้ว่าเขาจะไม่ได้สังหารข้าแต่เขาก็พยายามทำให้พลังของข้าหายไปอย่างสมบูรณ์เพื่อให้ข้าออกไปทำร้ายคนอื่นไม่ได้อีกต่อไป แต่ข้าก็รู้ดีว่าพี่ชายของข้านั้นเป็นคนใจอ่อนมากเพียงใด ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้นเขาเกิดใจอ่อนขึ้นมาดังนั้นข้าจึงหนีออกมาได้สำเร็จ” เจี่ยเหรินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ดูจากน้ำเสียงไม่รู้ว่าเขาเยาะเย้ยใคร ตัวเขาเอง หรือว่าพี่ชายของเขา?

“ดังนั้นท่านจึงมาที่นี่และทำร้ายผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆต่ออย่างนั้นหรือ?” มู่อี้ถามต่อไป

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าทำร้ายคนอื่นๆ? หรือว่าเป็นเพราะเขา?” เจี่ยเหรินก้มศีรษะลงต่ำและจ้องมองไปที่ซ่งชิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาทันทีพร้อมกับดึงแขนของซ่งชิงออกมา

แขนของซ่งชิงขาดออกมาทันที ข้างในนั้นมีเพียงความว่างเปล่าราวกับว่าทั่วทั้งตัวของเขานั้นมีเพียงผิวหนังเท่านั้น

“แล้วไม่ใช่หรือไง?” มู่อี้ถามต่อ

“ถูกต้องแล้ว ข้าได้สังหารผู้คนไปมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่ามันอาจจะโหดร้ายไปบ้างแต่ข้าก็กล้าพูดได้เลยว่าทุกคนที่ข้าฆ่าตายไปนั้นล้วนแต่เป็นคนที่สมควรตายทั้งสิ้น และพวกเขาต่างก็มีความผิดบาป ความตายคือสิ่งเดียวที่จะล้างบาปของพวกเขาได้” เจี่ยเหรินพูดออกมาราวกับคนที่มีสติฟั่นเฟือน

เห็นได้ชัดว่าเขามีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้บางทีเขาอาจไม่เคยคิดว่าตนเองได้กระทำเรื่องที่ผิดไปเลยด้วยซ้ำ

จากฆาตกรที่สังหารผู้บริสุทธิ์กลายเป็นฆาตกรผู้ตัดสินบาปของผู้อื่น?

มู่อี้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ไปมาก

“แล้วท่านล่ะ? ท่านไม่คิดว่าตนเองต้องชดใช้สิ่งที่ทำมาในอดีตเลยงั้นหรือ?” มู่อี้จ้องมองไปที่เจี่ยเหริน

“ความดีและความชั่วล้วนเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้กับข้า?” เจี่ยเหรินจ้องมองมาที่มู่อี้และถามทันที

“พี่ชายของท่านหรือ?” มู่อี้ตอบกลับมา

“ไม่ใช่ มันคือไอ้วีรบุรุษนั่นที่ถูกข้าฆ่าตายไป ในช่วงเวลาชีวิตสุดท้ายของมัน มันพูดประโยคนี้กับข้า และยังบอกอีกด้วยว่ามันจะรอข้าอยู่ที่นรกเบื้องล่าง” เจี่ยเหรินพูดพร้อมกับรอยยิ้ม

“ข้าคิดว่าเขาพูดถูกนะ ความดีและความชั่วล้วนแต่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ดูเหมือนว่าในตอนนี้ท่านจะต้องยอมรับผลกรรมที่ตามมาแล้ว” มู่อี้พูดออกมาตามตรง

เดิมทีเขาไม่เคยคิดจะให้เจี่ยเหรินรอดชีวิตไปได้ เหตุผลที่เขายังปล่อยให้ชายคนนี้รอดชีวิตมาถึงตอนนี้เพราะเขามีเรื่องที่สงสัยมากมายในใจ หลังจากได้ฟังประสบการณ์และช่วงชีวิตที่ผ่านมาของอีกฝ่ายมู่อี้ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ว่ายังไงในวันนี้เขาจะต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้

มู่อี้ไม่เคยคิดว่าเขาคือคนดีหรือวีรบุรุษ เขาแค่คิดว่าเจี่ยเหรินคือคนบาปก็เท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าซะเลยสิ ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปอีกแล้ว ข้าสมควรตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้และข้าพร้อมที่จะไปหากับท่านอาจารย์และพี่สาวของข้าแล้ว” หลังจากพูดจบเจี่ยเหรินก็ยืนขึ้นมาทันที

มู่อี้ไม่สนใจเขาแต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่บนหลังของเขาในตอนนี้ก็ลอยออกมาด้านหน้าของมู่อี้

“ด้วยความผิดบาปของท่าน แม้ว่าท่านจะตายไปก็ต้องตกนรกทั้ง 18 ขุมอย่างแน่นอน ท่านจะพบกับท่านอาจารย์และพี่สาวของท่านได้อย่างไร?” มู่อี้พูดด้วยความรังเกียจ

“หืม ตกนรกทั้ง 18 ขุมงั้นหรือ? ข้าไม่กลัวหรอกยังไงข้าก็จะฟันฝ่าออกมาให้ได้” เจี่ยเหรินยิ้มจากนั้นก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“เช่นนั้นท่านมีอะไรที่อยากจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่?” มู่อี้พูดพร้อมกับจ้องมองมาที่เจี่ยเหริน

“ถ้าหากเจ้าช่วยเหลือข้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะบอกเรื่องของหลี่เฉียจื่อให้กับเจ้า” เจี่ยเหรินมองมาที่มู่อี้และพูดขึ้นมาทันที

“หลี่เฉียจื่อ? ท่านต้องการอะไรงั้นหรือ?” มู่อี้ยืนนิ่งและรีบถามกลับมา

หลี่เฉียจื่อในตอนนี้เป็นเหมือนปีศาจที่ต้องกำจัดสำหรับมู่อี้ แต่เพราะว่าศพของท่านปู่ได้หายไปและข้อมูลที่เขาได้รับมาก็ล้วนมาจากเจี่ยเหรินทั้งสิ้น แม้ว่าเจี่ยเหรินจะบอกกับเขาแล้วว่าศัตรูมีชื่อว่าหลี่เฉียจื่อแต่ข้อมูลที่ได้มานั้นก็น้อยเกินไปและเขาก็ไม่รู้ว่าเจี่ยเหรินยังมีข้อมูลอื่นๆอีกหรือไม่

ดังนั้นในตอนนี้เมื่อมู่อี้ได้ยินว่าเจี่ยเหรินพูดถึงเรื่องของหลี่เฉียจื่อ เขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นและยืนยันรับปากทันที

“เรื่องนี้ง่ายมาก จงไปที่เมืองฉางโจวและมอบสิ่งนี้ให้กับพี่ชายของข้า ส่วนการตามหาตัวเขานั้นข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน” เจี่ยเหรินพูดพร้อมกับนำเหรียญตราสีดำออกมาจากป้ายแขนเสื้อของเขาและยื่นให้ เหรียญตรานี้เป็นรูปคนตัวเล็กๆและมีชื่อของเจี่ยเหรินสลักเอาไว้ตรงกลาง

“เมืองฉางโจว? ร้านตัดกระดาษ? พี่ชายของท่านคือท่านเหล่าโม่อย่างนั้นเหรือ?” เมื่อได้ยินชื่อเมืองที่คุ้นเคยอย่างเมืองฉางโจว สมองของมู่อี้ก็นึกถึงความทรงจำมากมายขึ้นมาทันที

ในตอนนั้นท่านปู่พาเขาไปที่เมืองฉางโจวเพื่อไปพบกับสหายเก่าแก่คนหนึ่ง ซึ่งคนคนนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีทักษะการตัดกระดาษที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

ในเวลาเดียวกันหัวใจของมู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับเจี่ยเหรินเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการตัดกระดาษของอีกฝ่ายและนึกถึงชายชราคนหนึ่งขึ้นมา เหล่าโม่คือพี่ชายของเขาอย่างนั้นหรือแต่ชายชราคนนั้นไม่ใช่ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้คนพิการหรอกหรือ?

“เจ้ารู้จักพี่ชายของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?” เจี่ยเหรินมองมาที่มู่อี้ด้วยความประหลาดใจ

“ก็พอรู้จักมาบ้าง ฝีมือการตัดกระดาษของเหล่าโม่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านเลย” มู่อี้พูดอย่างจริงใจ

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาน่าจะไล่ตามฝีมือของข้าได้ทันแล้ว ไม่สิ เขาน่าจะเหนือกว่าข้าไปอีก ในตอนนี้เจ้าต้องมอบเหรียญตราอันนี้ให้กับเขา มันสมควรกลับไปอยู่กับเจ้าของที่แท้จริงเสียที” เจี่ยเหรินโยนเหรียญตราในมือให้กับมู่อี้จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เมื่อไปถึงเมืองฉางโจว จงไปตามหาเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่มีชื่อว่าเหลิงหยู่และนางจะบอกให้เจ้าทราบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่เฉียจื่อเอง”

หลังจากเจี่ยเหรินพูดจบ เขาก็ไม่สนใจมู่อี้อีกต่อไปและกลายเป็นคนเสียสติทันที ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า “ในโลกที่ต้องสาปใบนี้ ความเศร้าและความสุข ชีวิตและความตาย ความเกลียดชังและการลาจาก ท่านอาจารย์ พี่สาว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

หลังจากพูดจบเขาก็ไม่รอให้มู่อี้มีโอกาสฆ่าเขา เขายกมือของตนเองขึ้นมาและทันใดนั้นมีดสั้นก็ปรากฏขึ้นทันทีในมือของเขา

ต่อจากนั้นมีดสั้นเล่มนั้นก็ปักลงไปที่หน้าอกของเขา

ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแต่ก็มีความเสียใจอยู่เล็กน้อย เจี่ยเหรินค่อยๆล้มลงไปที่พื้นช้าๆ

มีดสั้นแทงทะลุหัวใจและเจี่ยเหรินไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปได้แน่นอน ร่างกายของเขาล้มลงไปที่พื้นแต่ก็ยังกระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไปทันทีและเลือดมากมายก็ไหลออกมาจากหน้าอกของเขา มีดสั้นที่อยู่ในมือของเขากลับไปเป็นกระดาษอีกครั้ง. .