ข้าจะคิดวิธีใดได้อีกบ้าง
หลี่ฉางโซ่วอาบแสงยามเช้าในขณะที่ขับเคลื่อนเมฆและล่องลอยไปยังสำนักตู้เซียนช้าๆ
ในวันนี้อากาศกำลังดี เป็นวันที่ดีจริงๆ ที่จะได้กลับมายังสำนัก
เขาแทบรอไม่ไหวที่จะบินกลับไปในวันที่สองของ ‘ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกลับไปยังสำนัก’
ภายนอกนั้นอันตรายเกินไป
เป็นการดีกว่าที่จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองแห่งธรรมอันรุ่งโรจน์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพื่อที่เขาจะได้สบายใจ
หลังจากนำแผ่นหยกเพื่อให้เขาออกจากสำนักและกลับเข้าสำนักได้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ทำการคารวะเต๋าต่อเซียนผู้พิทักษ์ประตูสำนักก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์แห่งยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วกลับมาแล้วหลังจากยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดกับดินแดนมนุษย์ขอรับ”
เซียนผู้พิทักษ์ประตูยิ้มและหยิบแผ่นหยกจากมือของหลี่ฉางโซ่วแล้วถามว่า “คราวนี้เจ้าได้รับสิ่งใดมาบ้างหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วตอบว่า “อันที่จริง ข้าไม่ได้รับสิ่งใด แต่รู้สึกว่ามีความกังวลน้อยลง และต่อจากนี้ไป ข้าก็สามารถก้าวไปตามวิถีเซียนได้อย่างเต็มที่ขอรับ”
“ดีมาก” เซียนผู้พิทักษ์ประตูยิ้มแล้วโบกมือพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็จงกลับไปที่ยอดเขาและฝึกบำเพ็ญให้ดี”
“ขอรับ ศิษย์ยังต้องไปรายงานตัวที่หอไป่ฝานขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วทำการคารวะเต๋าอีกครั้งและขับเคลื่อนก้อนเมฆให้อยู่ในระดับความสูงที่เหมาะสมขณะมุ่งหน้าตรงไปยังหอไป่ฝานแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์
เซียนผู้พิทักษ์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับรู้สึกในใจว่านี่คือศิษย์รุ่นเยาว์ที่ดี
เมื่อไปถึงหอไป่ฝาน และพบผู้อาวุโสประจำหน้าที่ในวันนั้นแล้ว ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็สิ้นสุดการเดินทางกลับบ้าน
บัดนี้การเดินทางเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สิ้นสุดลงด้วยความสำเร็จแล้ว
เฮ้อ…สำเร็จกับ…ผีน่ะสิ…
หลี่ฉางโซ่วแอบนับนิ้วทำนายและอดจะถอนหายใจเบาๆ ในใจไม่ได้
เวลานี้มีหนึ่งร้อยสามสิบสองหมู่บ้าน และมีอีกสองหมู่บ้านที่เริ่มสักการะเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในชั่วข้ามคืน…
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำอันใดเลย
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจขณะถามผู้อาวุโสผู้ปฏิบัติหน้าที่ในหอไป่ฝาน “ศิษย์ ขอกราบสักการะรูปปั้นบรรพชนในหอได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้แน่นอน” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รูปปั้นบรรพชนย่อมมีไว้ให้ศิษย์สักการะบูชา เจ้าย่อมทำเช่นนั้นได้…สำนักตู้เซียนเป็นสายการสืบสานของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน แม้จะมีกฎเกณฑ์มากมายให้ศิษย์ปฏิบัติตาม แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือปล่อยวาง ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้จักยับยั้งชั่งใจ เคารพและไม่ล่วงเกินบรรพชน”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” สีหน้าของหลี่ฉางโซ่วตอบด้วยใบหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็จัดเสื้อคลุมและเสื้อด้านในให้เรียบร้อยอย่างระมัดระวัง แล้วเดินไปที่แท่นวงกลมตรงกลางห้องโถงใหญ่ ก่อนจะมองขึ้นไปที่ภาพเหมือนด้านบน
ในภาพเหมือนนั้น นักพรตเต๋าชราที่มีใบหน้าพร่ามัวซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน กำลังนั่งอยู่บนวัวสีเขียวที่มีแสงล้ำค่าเปล่งประกายอยู่ด้านหลังเขา
นี่คือภาพเหมือนที่วาดเอาไว้เมื่อบรรพชนไท่ชิงปรากฏตัว
สาเหตุที่ใบหน้าพร่ามัวนั้น เพราะไม่มีผู้ใดกล้าวาดใบหน้าที่แท้จริงของท่าน หากเขาวาดก็จะทำให้ท่านเป็นที่รู้จักและคนผู้นั้นก็อาจถูกลงโทษ
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ประสานมือเอาไว้ข้างหน้าและค่อยๆ โค้งตัวทำการคารวะเต๋าช้าๆ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจุดเครื่องหอม และถวายเครื่องสักการะบูชา จากนั้นก็เดินถอยหลังไปสามก้าว แล้วยกชายเสื้อคลุมขึ้นพลางคุกเข่าลงบนเบาะนั่งสมาธิ
เจ้าหน้าผู้ดูแลสองคนและผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนล้วนพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ยากนักที่จะได้เห็นศิษย์คนใดมาสักการะบรรพชนในวันธรรมดาเช่นนี้
ครู่ต่อมาหลังจากนั้น…
“เหตุใดศิษย์ผู้นี้ยังคุกเข่าอยู่ที่นั่นอีกเล่า”
“การตั้งสมาธิจะทำให้แม่นยำยิ่งขึ้น เขาอาจต้องการได้รับพรจากบรรพชนและมีความสงบสุขบนวิถีเซียนของเขาตลอดไป”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลมากกว่าสิบคนมาก็ออกมาจาก ‘ห้องกั้นส่วนต่างๆ’ ในห้องโถงใหญ่ แล้วมองไปทางด้านนั้นอย่างสงสัย
“ศิษย์ผู้นี้คงไม่มีปัญหาใดใช่หรือไม่”
“พวกเรากินปลาวิญญาณของศิษย์ผู้นี้ไปเยอะแล้ว เหตุใดเราไม่ไปถามแล้วช่วยเขาเล่า”
“เฮ้ หากเขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเราก่อน เราก็อย่าไปหาเรื่องเลย จะมีผู้ใดไร้ความกังวลจริงๆ กันบ้างเล่า”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม…
“ทุกคนโปรดกลับมา หยุดมองศิษย์คนนี้เถิด เขาเพิ่งกลับมาจากดินแดนมนุษย์ สภาพจิตใจของเขาน่าจะไม่มั่นคง เขาจึงอยากสงบจิตใจของเขา”
แล้วจากนั้นผู้คนโดยรอบก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
ผู้อาวุโสบางคนก็แอบคิดในใจว่า ภายหลังจากนี้ หลี่ฉางโซ่วก็จะมาเพื่อรับเงินสนับสนุนรายเดือนและถามเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเพื่อที่เขาจะได้ประโยชน์บางอย่างลับๆ อยู่แล้ว
ศิษย์คนนี้น่าจะมีปัญหา แต่บรรพชน ‘ผู้นั้น’ จะดูแลเรื่องเล็กน้อยของศิษย์ที่ไม่มีความสำคัญได้อย่างไร
ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ได้แสดงความเคารพบูชาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ และรู้สึกสงบสบายใจขึ้นมาก
วิธีเดียวที่จะเผชิญหน้ากับปราชญ์เทพก็คือการเข้าหาสร้างสัมพันธ์เพื่อให้พวกเขาโปรดปรานเท่านั้น!
นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาคิดได้
แม้ว่าเขาจะได้รับความสนใจจากสำนักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากพิจารณาชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว เขาก็ต้องมาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้นำสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เพื่อจะได้มีตัวตนต่อท่านมากขึ้น
กฎของสำนักนั้น ห้ามมิให้ผู้ใดแขวนรูปบรรพชนของตนเพื่อสักการะ ดังนั้นจึงพบภาพบรรพชนได้ที่นี่เพียงภาพเดียว
หลังจากออกมาจากหอไป่ฝานแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆไปยังยอดเขาหยกน้อย
ความจริงแล้ว เมื่อลองคิดดูอีกที เขาก็อาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
ปราชญ์เทพผู้สง่างามจะลงมามุ่งเป้ามาที่เขาซึ่งเป็นเพียงเซียนน้อยของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้อย่างไรกัน
หลังจากกลายเป็นปราชญ์เทพแล้ว ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะไม่ถูกทำลายไป และการต่อสู้ก็จะเป็นไปเพื่อศักดิ์ศรีและการเผยแผ่คำสอนเท่านั้น
ทว่าหากเกิดอันใดขึ้น
ปราชญ์เทพจะมี ‘ความเป็นมนุษย์’ เพราะพวกเขาเป็น ‘ปราชญ์เทพมนุษย์’ ไม่ใช่หรือ
แน่นอนว่า ปราชญ์เทพไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดในสมัยโบราณเท่านั้น สามเทพาจารย์สำนักบำเพ็ญเต๋าได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยเทพบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ผานกู่[1] และอีกสามคนที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ดำรงอยู่เซียนเทียนซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จัก
หากจู่ๆ ผู้อาวุโสทรงอำนาจสองคนของสำนักบำเพ็ญประจิมโกรธเคืองอะไรบางอย่าง พวกเขาก็จะโกรธเคืองได้แม้กระทั่งกับผู้น้อยที่ไม่มีความสำคัญใดๆ อย่างเขา
เฮ้ แล้วเจ้ายังกล้าไปสร้างปัญหาอีกหรือ
ทันใดนั้น มุมปากของหลี่ฉางโซ่วก็กระตุกสองสามครั้ง
ดูเหมือนว่าค่ายกลซับซ้อนของยอดเขาหยกน้อย จำเป็นต้องมีค่ายกลบางอย่างที่ปกปิดความลับของสวรรค์ด้วย!
แต่แผนผังค่ายกลประเภทนี้ แม้แต่เจ้าสำนักตู้เซียนก็ยังไม่จำเป็นต้องมีมันด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสมบัติล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดวางค่ายกลเหล่านี้
วิถีแห่งโลกนี้ช่างยากลำบากนัก
ในขณะที่ยังคงจมอยู่ในความคิดของเขา หลี่ฉางโซ่วก็ได้ลอยขึ้นไปอยู่เหนือยอดเขาหยกน้อยแล้ว และเมื่อมองลงไป เขาก็เห็นหลันหลิงเอ๋อร์กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ใต้ต้นไม้
ความจริงแล้ว มันก็เป็นไปได้เช่นกัน…บำเพ็ญเพียรอย่างสงบสุข
หลี่ฉางโซ่วหายใจเข้าและหายใจออกครู่หนึ่ง และหลังจากปรับสภาพจิตใจแล้ว เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงไปที่ค่ายกลแยกตัวที่อยู่ด้านล่าง
แล้วในไม่ช้า หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ส่งเสียงเริงร่าและรีบวิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าว
แต่หลี่ฉางโซ่วก็โบกมือทำท่าทางให้นางเงียบๆ และยืนนิ่งอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเขาก็เดินไปที่กระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ของเขาแล้วโค้งคำนับให้โดยบอกว่าเขากลับมาจากดินแดนมนุษย์แล้ว
หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากภายในบ้าน นักพรตเต๋าชราฉีหยวนให้กำลังใจสนับสนุนหลี่ฉางโซ่วสองสามประโยคก่อนจะกลับไปปิดด่านบำเพ็ญเพียรต่อไปและเปิดค่ายกลหลายชุดภายนอกบ้านอีกครั้ง
มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับอาจารย์ของเขาที่จะทำความเข้าใจพระสูตรนิรกรรม
ขณะที่เขาแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไป ทิวทัศน์จากทั่วทุกมุมของยอดเขาหยกน้อยก็ประทับอยู่ในหัวใจของเขา และความวิตกกังวลของหลี่ฉางโซ่วก็จางหายไป
ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ก็ยังจำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญและดำเนินชีวิตต่อไปด้วยเช่นกัน
แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะเดินทางไปทะเลทักษิณเพื่อทุบรูปปั้นเทพเจ้าของเขาทั้งหมด แต่เขาก็คิดว่า การกระทำเช่นนั้นอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่รู้และไม่คาดคิดได้ง่ายขึ้น เขาจึงปล่อยผ่านมันไป
“ศิษย์พี่!”
หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาที่สดใสของนางพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกางกระพือสองสามครั้งราวกับวิหคน้อยกระพือปีก “ศิษย์พี่! หือ?”
ทว่าหลี่ฉางโซ่วกลับมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขณะกล่าวว่า “เจ้ามากับข้า”
หลันหลิงเอ๋อร์ตัวสั่น และทันใดนั้นก็ทำหน้าแหยก่อนจะก้มศีรษะและเดินตามหลังศิษย์พี่ของนางเข้าไปในกระท่อมมุงจากในขณะที่รู้สึกระทมขื่นขมใจ
จากนั้นนางก็รีบขยับเบาะนั่งสมาธิ วางขาทั้งสองเข้าหากัน นั่งคุกเข่าลงบนเบาะ ก้มศีรษะลงและแสดงสีหน้าอย่างหนึ่ง
โอ…นางเชี่ยวชาญเรื่องนี้อย่างยิ่ง
………………………………………………
[1] คือเทพเจ้าผู้สร้างโลก ตามความเชื่อของชาวจีน