ตอนที่ 60 พระสูตรมั่นคง (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงกลมและเปิดค่ายกลรอบกระท่อมมุงจาก

และเมื่อมองดูศิษย์น้องหญิงน้อยที่อยู่เบื้องหน้าเขาซึ่งวางสีหน้าท่าทางบางอย่างของนางเอาไว้แล้ว เขาก็พลันถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า

“ข้าออกไปสามปีเท่านั้น แล้วเจ้า!”

หลันหลิงเอ๋อร์ปิดตาของนางทันทีขณะที่ยกมือขึ้นจับใบหูของนาง แล้วรีบร้องตะโกนว่า “ศิษย์พี่ ข้ารู้ ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!…มันเป็นเรื่องการปะทะกันระหว่างศิษย์พี่หลิวซื่อเจ๋อและศิษย์พี่หวางฉี!…ข้าไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น! มันเป็นเพียงความคิดบ้าๆ ที่ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาในวันนั้น ข้าแค่อยากกำจัดพวกเขาจริงๆ ข้าไม่ได้คิดมากและปล่อยให้เรื่องเลวร้ายลงจนเป็นเรื่องใหญ่!”

“หือ?” หลี่ฉางโซ่วตกตะลึงพลางถามว่า “ข้ากำลังถามเจ้า…เรื่องที่ปลาวิญญาณในทะเลสาบหายไปหนึ่งในสาม…”

หลันหลิงเอ๋อร์ผงะงัน แล้วนางก็ทรุดร่างลงและบีบบิดตัวขณะยังคงนั่งอยู่ที่นั่น

นางหาเรื่องให้ตัวเอง นางสารภาพทุกอย่างเอง มันจบแล้ว

……

ในวันนั้นเมื่อหนึ่งกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากที่หลิวเหยียนเอ๋อร์จากไปพร้อมกับศิษย์น้องชายสองคนของนาง ก็มีเรื่องผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น

หลิวเหยียนเอ๋อร์แจ้งหวางฉีว่า นางจะรายงานอาจารย์ของนางและปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาเอาไว้ล่วงหน้า จากนั้นนางก็ใช้อุบายบอกหลิวซื่อเจ๋อว่านางกำลังตั้งครรภ์ โดยหวังว่า หลิวซื่อเจ๋อจะหยุดรบกวนนาง และนางก็ไม่อยากให้หลิวซื่อเจ๋อต่อสู้กับหวางฉี

ทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากนัก และถือว่าเท่าเทียมกัน แต่พวกเขาก็ถูกสำนักลงโทษเพราะการต่อสู้ของพวกเขา

หลิวซื่อเจ๋อถูกลงโทษให้ปิดด่านสำนึกผิดเป็นเวลายี่สิบปีและห้ามไม่ให้ก้าวออกไปจากยอดเขาตู้หลิน

ในขณะที่หวางฉีถูกลงโทษโดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนรายเดือนเป็นเวลาสามปี จากนั้นทั้งเขาและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็ได้เป็นคู่บำเพ็ญเต๋าและฝึกบำเพ็ญร่วมกันอยู่ในยอดเขาเสี่ยวหลิง

“ศิษย์พี่…ข้าผิดไปแล้ว…”

“เจ้าผิดอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่ควร…ให้ความคิดที่ไม่ดีแก่ศิษย์พี่เยี่ยนเอ๋อร์โดยไม่คำนึงถึงปฏิกิริยาโต้กลับของพวกเขา” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบพลางก้มหน้าลง “แล้วทำให้ทั้งสามคนต้องถูกลงโทษตามกฎของสำนักเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเม้มปากแล้วดุด่านางว่า “เจ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็ถ่มทิ้งทุกสิ่งที่ข้าสั่งสอนเจ้าทั้งหมดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้จริงๆ… ช่างมันเถิด!…เจ้าก็เป็นของเจ้าเช่นนี้ ข้าไม่ควรคาดหวังจากเจ้ามากเพียงนั้น ช่างมันเถิด”

“ไม่นะ…อย่าทำเช่นนั้น! ศิษย์พี่ ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้เจ้าค่ะ!”

หลันหลิงเอ๋อร์ตื่นตระหนกทันที “ข้าจะไม่ก่อเรื่องยุ่งอีกแล้วเจ้าค่ะ!…ท่านอย่าทิ้งข้านะ! ศิษย์พี่!…จากนี้ไปข้าจะฝึกฝนอยู่ข้างๆ ท่านเงียบๆ และจะไม่พูดอะไรกับคนแปลกหน้าแล้วเจ้าค่ะ!”

“เช่นนั้น บอกข้ามาอีกครั้งว่าเจ้าทำผิดที่ใด”

ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์แดงก่ำขณะรู้สึกอับจนถ้อยคำ “ข้า…ข้า…”

“เจ้าไม่ควรไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น!”

หลี่ฉางโซ่วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะพลางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชะตาคู่ลิขิตของหลิวเยี่ยนเอ๋อร์นั้นคือหลิวซื่อเจ๋อหรือหวางฉี…

คนหนึ่งแอบหลงรักนางมานับร้อยปี และอีกคนรู้จักกันมาสองสามปี แล้วไยหลิวเหยียนเอ๋อร์ถึงลังเล เหตุใดนางจึงไม่สามารถเอ่ยปฏิเสธหลิวซื่อเจ๋ออย่างโหดร้ายได้

มันเป็นเพราะนางยังลังเลใจ! หลิวเยี่ยนเอ๋อร์มีอายุหนึ่งร้อยห้าสิบหกปีแล้ว นางจะยังไม่อาจคิดวิธีอื่นได้อีกหรือ ไม่ใช่ว่านางทำไม่ได้ แต่นางไม่อยากทำ!

การทำเช่นนี้เทียบเท่ากับการปิดเส้นทางของใครบางคนโดยตรง ทำให้ไปกระตุ้นชะตาครองคู่ที่นางตัดสินใจไม่ได้ในตอนแรกให้กระทำสำเร็จไปแล้ว

ไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำตามชะตากรรมของผู้อื่นหรือไม่ แต่หากเจ้าเปลี่ยนชะตากรรมของผู้อื่น เจ้าก็จะต้องแบกรับผลกรรมจากพวกเขาทั้งสามคน

เจ้าทำลายโชควาสนาของตัวเองไปมากเพียงใด! อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดและมีความคิดดีที่สุดเสมอไป ไม่มีผู้ใดโง่เขลากว่าผู้อื่นมากนัก มีแต่มนุษย์ชอบแสร้งอวดฉลาดเท่านั้น!…เรื่องนี้เป็นการฉายภาพให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่มั่นคงของเจ้าได้ดีที่สุด”

หลันหลิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ศิษย์พี่ แล้วข้าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดีเจ้าคะ”

“เจ้าทำผิดมามากเกินไปแล้ว หลังจากนี้ เจ้าต้องไปขอโทษศิษย์พี่หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ และขอการอภัยจากนาง” หลี่ฉางโซ่วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจ…ข้าจะให้ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดแก่เจ้า…หากศิษย์พี่หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และศิษย์น้องหวางฉีเลิกรากันในอนาคต เจ้าจะโทษผู้ใดก่อนเป็นคนแรก”

หลันหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วตอบเสียงเบาว่า “ข้าเป็นคนนอก…ที่คิดจะช่วยให้นางปฏิเสธคนอื่น”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นแล้วกล่าวว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น…ผู้ใดจะสามารถอธิบายคำว่า ‘รัก’ ได้ชัดเจนนับตั้งแต่โบราณกาลมา นี่ไม่ใช่ความจำเป็นสำหรับการฝึกบำเพ็ญเต๋าเพื่อแสวงหาอายุยืน และนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าคิดถึงมันมากที่สุดในทุกๆ วันเช่นกัน และในระยะยาว หากเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะสูญเสียคุณสมบัติและความเข้าใจของเจ้าไปเท่านั้น…หลังจากที่เจ้าไปขอโทษศิษย์พี่เยี่ยนเอ๋อร์แล้ว เจ้าก็ควรไตร่ตรองให้ดีเช่นกัน และเมื่อหลิวซื่อเจ๋อออกมาจากการปิดด่าน เจ้าก็ต้องทำเช่นเดียวกัน”

หลี่ฉางโซ่วลุกยืนขึ้นและกล่าวอีกครั้งว่า “คราวนี้เจ้าจะไม่ถูกลงโทษมากนัก เจ้าจงไปคัดลอกพระสูตรมั่นคงลงบนแผ่นหินชนวนสามร้อยจบ…และเมื่อเจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าผิดที่ใดแล้ว จงไปหาหลิวเยี่ยนเอ๋อร์เพื่อขอโทษนางเสีย”

หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว สีหน้าของหลี่ฉางโซ่วก็มืดทะมึนลง และกำลังจะจากไปโดยเอามือไพล่หลังเอาไว้

หลันหลิงเอ๋อร์รีบร้องตะโกนออกไปอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ยังมีอีกอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วอดที่จะเดินกลับมาไม่ได้ เขายกมือขึ้นวางลงบนศีรษะของนางแล้วลูบศีรษะนางสองสามครั้งในขณะที่คาดหวังให้นางดีขึ้น แล้วเส้นผมที่นางหวีอย่างระมัดระวังก็ยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย

“เจ้ามีปัญหาวุ่นวายอันใดอีก เจ้าบอกข้าทุกอย่างพร้อมกันในครั้งเดียวได้หรือไม่ ศิษย์พี่กลัวเจ้าจนคิดอันใดไม่ออกแล้ว!”

“ไม่ใช่ปัญหา นี่เป็นผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง ข้าเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้เมื่อครู่ จริงๆ นะ…”

หลันหลิงเอ๋อร์กระซิบ “มันเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของท่านอาจารย์ที่ย้อนกลับไปในเวลานั้น เพราะศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์ ข้าได้ยินข่าวลือ…ศิษย์พี่ เข้ามาใกล้ๆ อีก”

แล้วจากนั้น นางก็กระซิบบอกทุกอย่างให้เขาฟัง

หลี่ฉางโซ่วเอนตัวไปฟังครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ

“อย่ากังวลเรื่องนี้ ไปคัดลอกพระสูตรมั่นคงก่อน จากนั้นก็ไปทำการขออภัยและค่อยตามไปพบข้าที่หอโอสถหลังจากนั้น”

“เจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบขณะเฝ้ามองศิษย์พี่ของนางลอยไปทางหอโอสถ

นางทำไปแล้ว ทำให้ความประทับใจของศิษย์พี่ที่มีต่อนางลดลงไปอย่างน้อยสิบปี…

จากนั้นนางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วถือเบาะนั่งสมาธิไปวางอยู่ใต้ต้นหลิว

นางหยิบแผ่นหินชนวนออกมา แล้วหยิบมีดแกะสลักเวทออกมา ในขณะที่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาจากหางตา แล้วนอนลงที่นั่นด้วยเส้นผมยุ่งเหยิงของนางก่อนที่จะคัดลอกพระสูตรที่ศิษย์พี่ของนางเขียนขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อน

หลังจากเขียนลงไป นางก็ปาดน้ำตาของนางอีกครั้ง และลบการแกะสลักบนแผ่นหินชนวนก่อนจะเขียนต่อไปอีกเป็นครั้งที่สอง

ในเวลานั้น กิ่งก้านของต้นหลิวร่วงหล่นลงมา แล้วลูบไล้เส้นผมของนางที่ปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมราวกับกำลังดูแลให้นางทำการบ้าน

……

‘พระสูตรมั่นคง ยุคบรรพกาล ไร้นาม คิดถึงเรื่องของตัวเอง เมื่อเป็นเซียนแล้วก็ยากที่จะแข่งขัน เมื่อเผชิญกับความอยุติธรรม ต้องครุ่นคิดไตร่ตรองกำลังของตนเอง ในยามมีปัญหายากลำบาก ให้วิปัสสนา ครุ่นคิดด้วยตนเอง หากมีสหายมากมายก็จะมีเรื่องมากมาย หากมีสหายน้อยก็ย่อมหลีกเลี่ยงหายนะไป อย่าสร้างศัตรูเพราะจะเป็นอันตราย แม้โจมตีก่อน แต่ท่านก็ต้องพินาศต่อไป อย่ายึดมั่นในตัวเอง อย่ากลัวตัวเอง และเมื่อทุกอย่างมั่นคง ท่านย่อมจะได้รับความสงบสุข เมื่อคนหนึ่งหันเหความสนใจจากการฝึกฝน คนหนึ่งถอยลงและก้าวหน้า คนหนึ่งได้รับโอกาสและวางแผนตามนั้น เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อดีตชายชราที่ดีคนหนึ่งถูกทำร้าย ด้วยพลังปีศาจที่มีเล่ห์เหลี่ยมแผนร้ายมากมาย หลักจากถูกกระแทกแล้วหมดสติไปก็จะถูกโยนลงไปในหม้อเหล็ก เผ่าเก่าโฉดเขลาแต่มีพลังท้าทายสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอะไรมันได้ ชนเผ่าโบราณต่อสู้อย่างหนักเพื่อโชค แต่สุดท้ายก็โดดเดี่ยว ทั้งสองเผ่าถูกแบ่งออกเป็นสวรรค์และปฐพีและถูกโค่นลงหลังจากถูกปลุกปั่น คนใหม่เกิดขึ้นและปรารถนาพิธีกรรมและดนตรี พวกเขากลายเป็นปราชญ์และจะมีนักปราชญ์มากมาย ยุคของข้ารอดพ้นจากความโชคร้าย มีวิถีสู่เซียนที่สมบูรณ์ และได้รับผลเต๋า จงตั้งมั่นในทุกสิ่ง ละทิ้งกรรม หลีกเลี่ยงการบังคับยึดครองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และคนๆ หนึ่งก็จะมีความสุขได้ การหลีกเลี่ยงภัยธรรมชาติต้องมีการเปลี่ยนแปลง และการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นไร้ปัญหา เข้าใกล้เต๋าและทำให้วิถีสู่เซียนสว่างไสว พระสูตรมั่นคงจะติดตามท่านไป’

…………………………………………………………………