บทที่ 105 องค์ชายต้องการให้จับเป็น

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจความคิดเห็นของกิเลนอัคคี เขาลดสายตาลงทีละน้อย พลางขยำเสื้อคลุมในมือแน่น “บอกให้องครักษ์ทุกนายหยุดค้นหา และยกเลิกด่านตรวจที่ตีนเขาซะ”

เงาทมิฬนิ่งอึ้งมองเขา แล้วถามอย่างเหลือเชื่อว่า “ยกเลิกทุกจุดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทยังดูเหมือนคนที่สาบานว่าจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจจนกว่าจะจับคุณหนูเฮ่อเหลียนได้อยู่เลย แต่จู่ๆ เขาก็ใจอ่อนขึ้นมาได้อย่างไร

แต่ในวินาทีถัดมา เงาทมิฬก็พบว่าเขาคิดผิด เพราะฝ่าบาทไม่ได้ใจอ่อนแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เขาเปลี่ยนมาใช้วิธีการอันโหดร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “มอบหมายให้องครักษ์เงาทุกนายที่อยู่นอกกำแพงนำตาข่ายขึ้นขึง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ลูกธนู ข้าต้องการจับเป็นนาง”

น้ำเสียงของเขาเบาแสนเบา แต่ก็แน่วแน่เด็ดขาด ไม่ยอมให้ผู้ใดเกิดความกังขากับคำสั่งของตน

แม้เงาทมิฬจะกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าวิธีการที่ฝ่าบาทใช้ในครั้งนี้จะเล่นใหญ่จนไปกระตุ้นความสนใจของสี่ตระกูลใหญ่เข้า แต่เขาก็รู้ดีว่าเดิมทีฝ่าบาทก็จัดการเรื่องต่างๆ โดยมิได้คิดที่จะหลบเลี่ยงสี่ตระกูลใหญ่อยู่แล้ว

“จับตาดูประตูเมืองเอาไว้ให้ดี ถ้ามีคนแก่ ผู้หญิงท้อง หรือใครก็ตามที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ต้องการออกไปนอกเมืองล่ะก็ เจ้าต้องตรวจสอบพวกเขาให้ละเอียด แล้วก็ส่งคนไปสะกดรอยตามเฮยเจ๋อด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกริมฝีปากบางของตนขึ้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงยานคางจนทำเอาบรรดาคนที่ฟังอยู่ชาวาบ “ทันทีที่มีใครเข้าไปหาเขา จับคนคนนั้นมาให้ข้า”

ไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากที่เงาทมิฬได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาก็ถึงกับต้องเริ่มสวดมนต์ให้ผู้หญิงคนนั้นเลยทีเดียว

เขาเชื่อว่าถ้าคุณหนูเฮ่อเหลียนฉลาดพอ นางก็คงจะไม่ไปหาคุณชายเฮย

เพราะดูเหมือนว่าในตอนนี้ฝ่าบาทจะมองตระกูลเฮยด้วยความไม่ชอบใจอยู่…

เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินออกมาจากป่าวิญญาณตอนเช้าตรู่ เมื่อเห็นว่าทั้งร่างของนางอยู่ในสภาพแทบจะดูไม่ได้ นางก็ถอนหายใจยาวออกมา หลังจากนั้นนางจึงตั้งใจมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วตะโกนออกมาว่า “ข้านี่มันหล่อ จริงๆ!”

“เจ้ากำลังพูดถึงร่างที่เปื้อนไปด้วยโคลนเหม็นๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้านี่อยู่จริงๆ รึ” เจ้าแมวขาวกระโดดไปอีกทางด้วยความรังเกียจ “ยังมีอารมณ์มาเล่นตลกกับตัวเองได้ขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าคงยังไม่ได้ถูกองค์ชายสามไล่ต้อนจนเสียสติสินะ”

“เขาฉลาดมากจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์เลยล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ “เป็นเพราะข้าหนังเหนียว ต่างหาก ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ คงได้ถูกเขาจัดการจนแพ้ราบคาบไปแล้ว เจ้ารู้ไหม ข้าแค่ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเขายั่วโมโหอดีตฮ่องเต้เท่านั้น แต่เจ้าว่าเขาจำเป็นต้องส่งคนมาเต็มหอขนาดนั้นเพียงเพื่อจะจับตัวข้าด้วยหรือ”

ถึงแม้นางจะไม่ควรร่วมมือกับฮองเฮาเพื่อเล่นงานเขาก็เถอะ

แต่องค์ชายสามผู้นั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดื้อดึงถึงเพียงนี้นี่นา

หรือเป็นเพราะเชื้อพระวงศ์รุ่นที่สองล้วนมีความต้องการอยากควบคุมที่มากกว่าคนอื่นกัน

ทนเห็นคนอื่นปฏิเสธตัวเองไม่ได้หรือ

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเรื่องนี้ไม่ตก ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเลิกคิดถึงมัน

แต่หยวนหมิงกลับลูบคางของตน ในดวงตาของเขามีแสงวาบขึ้น “เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นทุกอย่างกำลังไปได้สวยแท้ๆ แต่ทำไมสัตว์อสูรบรรพกาลอย่างกิเลนอัคคีถึงปรากฏตัวขึ้นที่นั่นได้นะ” แค่ออกมาเดินเล่นเฉยๆ หรือ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้

ไม่ใช่แค่หยวนหมิงเท่านั้นที่สงสัย แต่กระทั่งเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ยังตื่นตัวกับการปรากฏตัวของกิเลนอัคคีด้วย

“มีคนต้องการฝึกมันให้เชื่อง” เจ้าแมวขาวช่วยคลายข้อสงสัยของทั้งสองสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พักนี้มักจะมีคนกลุ่มหนึ่งจากสำนักไท่ไป๋ที่เข้าไปในป่าวิญญาณเพื่อตามหามัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาต้องการบังคับให้มันออกมา”

หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย “กิเลนอัคคีคงไม่ได้ฝึกง่ายถึงเพียงนั้นกระมัง”

“ถูกต้อง” เจ้าแมวขาวหันไปมองรอบๆ ก่อนจะมองกลับไปทางด้านหลังมัน “นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องกลับไปมือเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไปได้ว่ากิเลนอัคคีอาจจะถูกใครยั่วโมโหเข้า มันก็เลยมาเผาสำนักไท่ไป๋”

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “แต่ทุกอย่างนี้จะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่า มันไม่ได้ไปเผาที่อื่นนอกจากหอชั้นเลิศเลยนี่”

“เพราะคนที่ต้องการฝึกมันให้เชื่องอยู่ในหอชั้นเลิศน่ะสิ” เจ้าแมวขาวเงยหน้าขึ้น แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาลึกล้ำ “คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นซื่อจื่อจากจวนมู่หรงอ๋อง มู่หรงฉางเฟิงคนนั้นนั่นล่ะ”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ หยวนหมิงก็เผลอหันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมทั้งกระแอมออกมาเบาๆ

เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่คิดที่จะข่มอารมณ์ของตนไว้แม้แต่น้อย นางเบะปากด้วยความไม่ชอบใจ “ทำไมมันไม่เผาเขาให้ตายไปเสียเลย เจ้าผู้ชายเฮงซวยที่ทำอะไรให้สำเร็จไม่ได้สักอย่าง และเอาแต่ทำเสียเรื่องอย่างเขาน่ะ”

เมื่อไร้ซึ่งหนทางที่จะรู้ได้ว่าความจริงเป็นเช่นไร เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงผลักความผิดทุกอย่างไปให้มู่หรงฉางเฟิง

อย่างน้อยลึกๆ ในใจนางก็เชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะมู่หรงฉางเฟิงอยากจับกิเลนอัคคีมาฝึกให้เชื่อง เจ้ากิเลนอัคคีก็คงจะไม่โผล่มากลางหอชั้นเลิศอย่างกะทันหัน และทำลายแผนการทุกอย่างของนางจนพังพินาศไม่เหลือชิ้นดีเช่นนี้

หากไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ป่านนี้เจ้าสัตว์อสูรบินได้นั่นคงพานางบินออกไปนอกเมืองนานแล้ว แทนที่จะทำให้นางต้องมาตกอยู่ในสภาพลำบากเหมือนตอนนี้!

เฮ้อ นางควรจะวางแผนการให้รัดกุมกว่านี้สำหรับการออกไปนอกเมือง

หากดูตามความสามารถของนางแล้ว การปีนออกไปนอกเมืองย่อมไม่ใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใด แต่คงไม่มีทางที่คนฉลาดอย่างองค์ชายสามจะไม่สั่งให้คนดักซุ่มอยู่รอบกำแพงเมืองรอให้นางเคลื่อนไหว หากเป็นเช่นนั้นนางอาจตกลงไปในกับดักของเขาได้

ดูเหมือนว่าการออกไปจากที่นี่ผ่านทางประตูเมืองจะปลอดภัยกว่า

แต่ข้างกายนางไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่แม้แต่ตัวเดียว ถ้านางบอกให้เสี่ยวไป๋กลับไปรวบรวมพวกมันมา เจ้าแมวขาวก็จะต้องผ่านสำนักไท่ไป๋เข้าไป

เมื่อถึงตอนนั้น องค์ชายสามอาจจะสะกดรอยตามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อมาหานางได้

ดูเหมือนว่านางไม่ควรที่จะพึ่งพาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีก

ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยอมรับว่า ถ้าไม่จำเป็น นางก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับองค์ชายสามเลย… มันกินแรงเกินไป!

ช่างมันเถอะ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนชุดต่างหาก

สภาพของนางในเวลานี้ย่อมถูกใครต่อใครจำได้ทันทีที่เดินออกไปจากที่นี่

ก่อนอื่นนั้นนางต้องปลอมตัวให้ตัวเอง

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในทะเลสาบ การปลอมตัวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง แต่สำหรับการปลอมตัวโดยไม่ให้เหลือร่องรอยนั้น นางจำเป็นต้องหาตัวตนที่เหมาะกับสภาพร่างกายของตัวเอง

นางคิดอยู่เสมอว่าศัตรูของนางคือองค์ชายสาม

ดังนั้นนางจะประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยแต่งตัวเป็นหญิงท้อง แต่หลังจากเพ่งแล้วเพ่งอีก นางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก

หรือว่า… จะเผยตัวตนที่แท้จริงของนางให้คนอื่นเห็นไปเลยดี

ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มบาง

นางรู้สึกว่าแผนการนี้ไม่เลวทีเดียว หน้านางในเวลานี้ดำคล้ำเกินไป ดังนั้นจึงกลายเป็นจุดสนใจได้ง่าย

แต่ถ้าหากนางทำให้หน้าตาผิวพรรณของนางกลับสู่สภาพเดิม เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นการปลอมตัวที่เป็นธรรมชาติที่สุด

เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าคุณหนูผู้ไร้หัวคิดที่สุดในเมืองหลวงเป็นเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์อย่างสุดแสน

ใครจะไปคิดว่า วันหนึ่งนางจะกลายเป็นสาวสวยชวนตะลึงได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นยืน แล้วใช้เวลาที่เหลือนำสตรอว์เบอร์รีจากมิติสวรรค์มาพอกไว้บนใบหน้าของตน ผิวดำคล้ำพวกนั้นหลุดร่อนออกมาจากใบหน้าของนางราวกับมีเวทมนตร์ ในเวลาเดียวกันผิวขาวผ่องก็เผยออกมาเหมือนไข่ที่ถูกกะเทาะเปลือก มันเปล่งปลั่งเป็นประกาย ทั้งยังดูคล้ายกับเรืองแสงนวลๆ ใต้แสงจันทร์อีกด้วย

จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากของนางเป็นสีชมพูที่ไร้ซึ่งการแต่งแต้ม และดวงตาสว่างสดใสราวกับดวงจันทร์ ทุกสัดส่วนงดงามเหมาะสม สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ รูปร่างหน้าตาของนางนุ่มนวลและงดงาม ท่าทางของนางก็สง่างามประหนึ่งเทพธิดาที่เหยียบย่างลงมาบนพื้นโลก ใบหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ความเย็นชา และความหยิ่งยโส แต่ด้วยเหตุนี้ มันจึงทำให้เสน่ห์ที่นางเผยออกมาทั้งลึกลับ และน่าดึงดูดยิ่งขึ้น

ต้องบอกว่าหากความงามของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นทำให้หนุ่มๆ รู้สึกรักและอยากทะนุถนอมนางเอาไว้ในหัวใจ

เช่นนั้นความงามของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นตรงกันข้าม มันสามารถล่อลวงวิญญาณ และกลืนกินจิตใจของใครต่อใครได้อย่างน่าตกใจ นางอาจดูเหมือนเด็กสาวร่าเริงคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเย็นชาเยี่ยงราชินี

หากถามว่าสาวงามที่สวยที่สุดในเมืองหลวงคือใคร เพียงแค่มองใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทุกคนก็สามารถให้คำตอบได้ในใจ

อย่างไรก็ตาม เป็นดั่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยพูดกับตัวเองเอาไว้ ไม่มีใครสามารถบอกได้หรอกว่าคุณหนูหน้าตาเช่นนี้จะเป็นเด็กสาวไร้ค่าผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงคนนั้น…