ตอนที่ 122 วันเข้าเฝ้าฮ่องเต้

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ยามอิ๋นสามเค่อ[1] วันที่แปดเดือนสาม หลินซือเย่าตามเหลียงเสวียนจิ้งกับเหลียงเอินไจ่สองพ่อลูกเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้

หลินเซียวตื่นแต่เช้า กินนมอิ่มแล้วก็นอนต่อ หลินหลงเพิ่งหัดพลิกตัวได้ไม่นานก็เอาแต่พยายามคลานไปมาบนเตียงเล่นกับซือถูอวิ๋นอย่างถูกใจยิ่ง

ซูสุ่ยเลี่ยนแอบส่งสัญญาณบอกให้ไป๋เหอกับหมัวมัวดูพวกเขาไว้ นางเองไปเดินไปมาอยู่ที่ระเบียงด้านนอกริมสระบัวครุ่นคิด จนกระทั่งเดินไปสุดระเบียง ก็เลือกม้านั่งหินสะอาดตัวหนึ่งลงนั่งมองใบบัวแรกผลิทั่วผืนสระนิ่งคิด

แม้ว่าเหลียงเอินไจ่รับรองหลายรอบแล้วว่าอาเย่าตามเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้จะไม่เกิดเรื่องอะไรผิดคาด ก็แค่ฮ่องเต้คิดพระราชทานรางวัลให้เขา อย่างไรเขาก็ช่วยราชวงศ์ขจัดสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงที่ทำให้แผ่นดินต้าหุ้ยระแวงอย่างที่สุด

แต่ว่าทำไมในใจนางเหมือนรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

อย่างไรเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น

คิดถึงสิ่งที่ฮ่องเต้ทำกับโอวหยางซวินที่มีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ มีคุณูปการต่อวงการแพทย์ในแผ่นดินต้าหุ้ย ก็ไม่ใช่เพียงเพราะวาจาขัดหูหรือที่ทำให้ฮ่องเต้ส่งเขาเข้าคุกหลวง

หันมาดูหลงซีเยว่ นางช่วยโอวหยางซวินรักษามาตั้งเท่าไร ทำคลอดให้พระสนมนางในฮ่องเต้มาตั้งเท่าไร สุดท้ายแล้วได้อะไร

หากไม่ได้พวกเซวี่ยหมิงออกหน้า นางก็คงต้องเสียสละตนเองไปแล้ว ถูกบังคับให้ต้องเสียสละตนเองในฐานะสตรีหลังจากเกิดใหม่ครั้งที่สอง…เลือกสามี โอย…สามีโดดเด่นมากความสามารถจากการโยนลูกผ้าแพรได้มา เช่นนั้นนางก็ต้องถอยอยู่หลังฉาก สามีตกเป็นขององค์หญิงสาม หาก…สามีที่ได้มาย่ำแย่เต็มทน เหมือนพวกนักเลงท้องถนน เช่นนั้นนางก็ย่อมถูกจับแต่งแทน กลายเป็นชื่อเสียงฮ่องเต้ต้าหุ้ยที่แสดงการเข้าถึงประชาชนอย่างใจกว้าง ช่างน่าเยาะเย้ยยิ่งไม่ใช่หรือ?!

โชคดีที่เซวี่ยหมิงส่งคนมาช่วยออกไป รับหมอโอวหยางกลับเซวี่ยหมิง เช่นนี้ย่อมยากจะอยู่แผ่นดินต้าหุ้ยต่อ หลงซีเยว่ล่ะ หากตามโอวหยางซวินกลับเซวี่ยหมิง หรือว่า…เปลี่ยนชื่อแซ่ ดำรงชีวิตใหม่

เฮ้อ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ มาถึงภพนี้ได้แค่สองปี แต่ไรมาไม่เคยคิดว่าชีวิตตนจะต้องมาเกี่ยวพันกับราชวงศ์เช่นปัจจุบันนี้

นางแค่อยากใช้ชีวิตกับอาเย่าอย่างสงบที่หมู่บ้านธรรมชาติท่ามกลางป่าเขางดงามนั่น มีชีวิตที่สุขสงบให้กำเนิดลูกสักสองสามคน เลี้ยงสัตว์สักหน่อย ตอนยุ่งกับการเกษตรก็ช่วยสามีเก็บเกี่ยวทำขนมให้เขากิน ยามว่างก็จะเป็นเพื่อนลูกๆ ไปตกปลา จับกุ้ง เผามัน ยังได้เย็บเสื้อผ้าวาดแบบปัก…แผนที่แสนงดงามยิ่ง

แต่กลับเหมือนผิดแผนไปหมด ไปกันคนละทาง

เมืองฝานฮัวยังคงเป็นเมืองธรรมชาติงดงาม แต่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘เมืองจวนพักตากอากาศฝานฮัว’

นางกับอาเย่ายังคงเลี้ยงลูกอยู่ที่นั่น แต่มีสาวใช้และคนงานชาย

ยามยุ่งกับการเกษตร ไม่ต้องการให้พวกเขาลงแรง เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ต้องการให้พวกเขาไปเลี้ยงเอง…

แม้แต่งานปักซูซิ่วที่นางคุ้นเคยที่สุดและแทบจะหลอมอยู่ในกายนางก็จะไม่ค่อยได้มีเวลาทำให้เพลิดเพลินแล้ว เสื้อผ้าคนในครอบครัวนาง พวกบ่าวก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่ต้องการให้นางเย็บด้วยตนเองสักนิด นอกจากนางอยากเย็บเอง แต่ก็จะรู้สึกตำหนิตนเองที่ฟุ่มเฟือย

เฮ้อ นางถอนหายใจอีกครั้ง โยนก้อนหินลงในสระบัว มองดูก้อนหินกระทบน้ำแล้วก็ทำให้น้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง อารมณ์ก็เริ่มสงบลง

นางควรต้องเรียนรู้จากอาเย่า ไม่ว่ากับคนหรือเรื่องใด เหมือนไม่ได้มีค่าให้เขาเก็บมาใส่ใจ แน่นอนนางเชื่อว่าตนเองกับลูกๆ ย่อมต้องอยู่ในใจเขา และยังอยู่กลางใจเขาด้วย

คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็แอบยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ

ผู้ชายคนนี้ภายนอกดูแล้วเย็นชา แต่ความจริงยามอยู่ส่วนตัวกับนางคนเดียวก็จะร้อนแรงดังไฟแผดเผา แผดเผาจนนางแทบรับไม่ไหว

สองด้านขัดแย้งกันเช่นนี้กลับรวมกันอยู่ที่เขาคนเดียว ทำให้นางนับวันยิ่งหลงใหลเขามากขึ้นเรื่อยๆ

นางประคองสองแก้มร้อนผ่าว ตบเบาๆ คิดจะขจัดความร้อนผ่าวที่ลามขึ้นมา แหงนหน้ามองดูพระอาทิตย์ ถึงกับเที่ยงวันแล้ว น่าจะใกล้ยามอู่แล้ว

โอย นางถึงกับมานั่งเหม่อคิดอยู่ที่นี่นานถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง ไม่รู้ว่าในวังมีข่าวอะไรมาไหม

ทุบขาที่เริ่มชาอยู่บ้าง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น กำลังจะเดินกลับห้องนอนไปดูทารกแฝด ก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังทำให้ตกใจ

“…ท่าน…ท่านแม่…”

เฟิงไฉ่อวิ้นแอบถอนหายใจเบาๆ โบกมือให้ลูกสาวที่เหม่ออยู่นานแล้ว

“ซวี่เอ๋อร์ ในวังส่งคนมาบอกว่า ต้องร่วมงานเลี้ยงก่อนจึงจะกลับมา”

“…อ้อ!” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าผ่อนคลายความกังวล ในเมื่อส่งคนมาบอกว่ายังต้องร่วมงานเลี้ยง ก็แสดงว่าปลอดภัยดี นางรู้สึกวางใจที่เป็นกังวลลงได้แล้ว

“ท่านแม่มาหาลูกมีอะไรหรือ” เห็นเฟิงไฉ่อวิ้นจ้องมองนางสีหน้าสับสน ซูสุ่ยเลี่ยนก็ก้มหน้าลงมองชุดและเครื่องประดับตนเองอย่างไม่เข้าใจ เห็นไม่มีอะไรผิดปกติ ก็เงยหน้ามองเฟิงไฉ่อวิ้น

เฟิงไฉ่อวิ้นส่ายหน้า นางก็แค่มาหาลูกสาวพูดคุย ตอนเช้าได้ยินเอินไจ่เล่าว่านางกับลูกเขยวันนี้จะกลับเมืองฝานฮัวแล้ว ในใจก็แอบรู้สึกเหงาขึ้นมา นี่คือลูกสาวที่นางอุ้มท้องมาสิบเดือน แม้ว่าสิบห้าปีที่ผ่านมา ไม่รู้การมีอยู่ของอีกฝ่าย แต่อย่างไรก็ตามกลับคืนมาได้แล้ว และยังได้รู้ว่านางแต่งงานและตั้งครรภ์

ตั้งรกรากอยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ ทำให้นางแม้อยากไปมาหาสู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ไม่อาจย้ายไปอยู่กับลูกสาวลูกเขยได้นานนัก ดังนั้นจึงได้หารือกับท่านอ๋องผู้เฒ่า ว่าให้หมู่บ้านนั้นอยู่ใต้การปกครองของจวนอ๋องจิ้ง พอเช่นนี้ นางกับท่านอ๋องก็จะได้เดินทางไปเยี่ยมพวกเขาได้อย่างเปิดเผยบ่อยๆ ได้

ดีที่ลูกเขยเป็นคนกระจ่างในความคิด หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องทั่วไป แน่นอนนอกจากเรื่องลูกสาวกับหลานทั้งสอง

ชายเย็นชาวิทยายุทธสูงส่ง เปล่งรัศมีสง่างามไม่ธรรมดา ถึงกับปักใจในลูกสาวนางเช่นนี้ ทำให้นางกับท่านอ๋องรู้สึกวางใจ

จะว่าไป การได้เห็นลูกสาวนั่งจมในห้วงความคิดและถอนหายใจ นางได้แต่ถามตนเอง ในใจลูกสาวแท้จริงเคยโกรธแค้นนางไหม เป็นมารดาให้กำเนิดนางมาแต่กลับไม่เคยเลี้ยงดูสักนิด ในใจลูกสาวแท้จริงแล้วนางอยู่ในสถานะใดกันแน่

อารมณ์สุขทุกข์เศร้าหลากหลายของลูกสาวนางตอนนี้มีนางอยู่บ้างไหม สิ่งที่ลูกสาวนางคิดคำนึงในใจมีนางอยู่บ้างไหม

เรื่องพวกนี้ แม้ว่านางเคยบอกตนเองหลายครั้งแล้วว่า ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ขอเพียงลูกสาวมีความสุขดี ขอเพียงลูกสาวอยู่ดี ในใจลูกสาวมีนางหรือไม่ไม่สำคัญ

แต่ว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือ

“ท่านแม่…” น้ำเสียงเบาอ่อนโอนดึงความคิดเฟิงไฉ่อวิ้นที่ลอยไปไกลกลับคืนมา

“ซวี่เอ๋อร์…” เฟิงไฉ่อวิ้นเก็บความขมขื่นที่ผุดขึ้นมาในใจ มุมปากยิ้มแย้มอ่อนโยน “ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกลางวันกัน พวกผู้ชายไม่อยู่ ก็ไม่ควรทรมานตนเองนะ”

“เจ้าค่ะ” ซูสุ่ยเลี่ยนยกมือขึ้นคล้องแขนเฟิงไฉ่อวิ้น ธรรมชาติจนเหมือนว่าสองคนแต่ไรมาก็ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ไม่เคยห่างเหินกันไปสิบกว่าปี

“ซวี่เอ๋อร์ ได้ยินเอินไจ่ว่า วันนี้พวกเจ้าก็จะออกเดินทางแล้ว?” ในที่สุดเฟิงไฉ่อวิ้นก็อดถามออกมาไม่ได้

“อืม ไม่ว่าอย่างไร ลูกสาวออกเรือนแล้ว ก็ย่อมไม่อาจพักบ้านตนเองนานไปได้” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางหาข้ออ้าง นี่คือเหตุผลจริงจังที่เหมาะสมที่สุด

“คงไม่ใช่ว่ามีผู้ใดว่าเจ้า?” เฟิงไฉ่อวิ้นได้ยินลูกสาวกล่าวเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วถาม ในจวนฝ่ายในมีสตรีมากมาย ไม่มีใครทำให้นางสบายใจได้สักคน

“ไม่มี ท่านแม่ ลูกมีชีวิตสุขสบายดีที่เมืองฝานฮัว หากท่านอยู่จวนแล้วเบื่อ ก็ไปที่นั่นพักผ่อนสักระยะหนึ่งได้ รับรองท่านแม่ต้องพักผ่อนอย่างสุขใจ ความกังวลหายเป็นปลิดทิ้ง”

“ดูเจ้าพูดสิ! แต่ทว่าความจริงก็เป็นสถานที่ที่ดีจริง อากาศดี สงบด้วย เป็นสถานที่พักผ่อนร่างกายที่ดีมาก! เอาละ ข้าจะหาเวลาว่างไป แต่อย่างไรก็ไม่อาจให้หลานน่ารักทั้งสองลืมเลือนยายของพวกเขา!” เฟิงไฉ่อวิ้นได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวก็หวนคิดถึงชีวิตสบายไร้กังวลตอนอยู่ที่เมืองเล็กห่างไกลนั่นไม่ได้ จึงหัวเราะสัพยอกกล่าว

“ไม่ลืมอย่างแน่นอน! ท่านกับท่านพ่อเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของข้ากับอาเย่าในชีวิตนี้! เคารพพวกท่านอย่างยิ่ง จะลืมได้อย่างไร!” ซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวจากใจ ขณะที่พูดยังมีท่าทีชิดใกล้ที่เป็นธรรมชาติที่สุดที่ลูกสาวพึงมีต่อมารดา

ใช่แล้ว ชีวิตนี้พวกเขาก็คือบิดามารดาของนาง นางไม่ควรคิดมาก

ส่วนอาเย่า ไร้บิดามารดาแต่เล็ก ย่อมมีแต่ญาติผู้ใหญ่เช่นพวกเขาให้เคารพกตัญญูแล้ว

“มีวาจาเจ้าเช่นนี้ แม่ก็วางใจ!” เฟิงไฉ่อวิ้นได้ยินวาจาลูกสาวกล่าวเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจยาว ในใจแอบผ่อนคลายลงไม่น้อย นางคิดมากไปเองใช่ไหม ในใจลูกสาวอย่างไรก็มีพวกนาง ห่างกันไปสิบกว่าปี ได้รับการยอมรับจากลูกสาวด้วยใจเช่นนี้ได้ นางควรพอใจได้แล้ว วันหน้ามีโอกาสค่อยชดเชยให้ลูกสาวนางยิ่งมากก็ได้

……

“แน่ใจว่าไม่ต้องการให้เราพระราชทานอะไรให้ เจ้าควรรู้ว่า ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก เราย่อมไม่มีอะไรไม่อนุญาต”

งานเลี้ยงในวัง หลังคารวะสุราไปสามจอก หลี่เหวินซิวก็ยกจอกสุราขึ้นมองหลินซือเย่านิ่ง อดตรัสถามอีกครั้งไม่ได้

“พะยะค่ะ” เสียงเย็นชาดังก้องทั่วพระที่นั่ง หลินซือเย่าเริ่มมีแววตารำคาญใจแวบหนึ่ง หางตากวาดตามองไปยังเหลียงเอินไจ่ที่นั่งข้างเขา บอกให้เขารีบจัดการคำถามชายตรงนี้ที่ไม่จบไม่สิ้นนี้เสียที! ความอดทนในการรับมือของเขาใกล้สิ้นสุดแล้ว

เหลียงเอินไจ่แอบถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

“ฝ่าบาท น้องเขยแม้ว่าวิทยายุทธล้ำเลิศ แต่ก็แค่ชาวป่าชาวเขา ไม่เหมาะกับรับตำแหน่งราชสำนัก ฝ่าบาทไยไม่พระราชทานเงินทองให้เขาสักหน่อยพะยะค่ะ” เหลียงเอินไจ่ยิ้มกล่าววาจาแทรกระหว่างสองคนที่กำลังดึงดัน

“เหอๆ…” หลี่เหวินซิวได้ยินเหลียงเอินไจ่กล่าวเช่นนี้ หรือจะฟังไม่ออกว่าเขาแอบออกหน้าช่วยหลินซือเย่า แอบขำพลางส่ายหน้า หันไปเหลียงเสวียนจิ้งอีกทาง “เราไม่คิดว่าลูกเขยท่านแค่ชาวป่าชาวเขา”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!” เหลียงเสวียนจิ้งลุกขึ้นถวายคำนับขอบพระทัย

“ขุนนางที่รัก วันนี้ยังมีอีกเรื่อง เราต้องบอกกล่าว” กล่าวจบ หลี่เหวินซิวก็หันไปทางพระที่นั่งปีกข้าง แวบหนึ่ง “ฟังนานแล้ว สุราก็ดื่มไปมากพอควรแล้ว ก็ควรออกมาได้แล้ว”

พวกเหลียงเสวียนจิ้งหันไปตามหลี่เหวินซิว ต่างหันไปทางพระที่นั่งปีกข้างอย่างอยากรู้อยากเห็น

ตอนที่เห็นชายเดินออกมาจากพระที่นั่งปีกข้างชัดเจน ทุกคนต่างพากันตกใจ ก่อนจะแอบหันไปซุบซิบกันว่า

“เซวี่ยหมิง…ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิง!”

“สวรรค์! ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงจริงหรือ!”

“เขามาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเซวี่ยหมิงกับแผ่นดินต้าหุ้ยไม่ข้องเกี่ยวกันหรือ”

“หรือจะเป็นเรื่องสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง? มาแก้แค้นถึงที่?”

“ฝ่าบาท…คงไม่ได้จะส่งมอบหลินซือเย่าให้ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงจัดการกระมัง”

“เช่นนั้นก็แย่แล้ว!”

———————–

[1] เวลาหนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที